26 มิถุนายน 2553 14:07 น.
ศุุภนาคราช
แล้วสอนว่า อย่าไว้ ใจมนูษย์
มันแสนสุด ลึกล้ำ เหลือกำหนด
บทบาททอง ของกวี ที่จารจด
สื่อว่าคด ที่สุดใน น้ำใจคน
แม้นเถาวัลย์ เกี่ยวพัน นั้นลดเลี้ยว
ท่านว่ายัง ไม่คดเคี้ยว เที่ยวฉงน
เพราะที่ว่า น่าห่วง ลวงหลงกล
คือใจคน คดแคบ แสนแสบเคือง ๚๛
24 มิถุนายน 2553 22:00 น.
ศุุภนาคราช
ตะวันลับ ลับตา ฟ้าสลัว
เกิดเงามัว มัวเมา เร้ากระษัย
ใยต้องดื่ม ดื่มเมา ไม่เข้าใจ
หรือว่าใคร ใครบังคับ จับกรอกกลืน
สังขารขันธ์ เที่ยงฤๅ ก็หาไม่
แล้วเหตุใด ใฝ่ปอง จ้องจะฝืน
แม้ดึกค่ำ ย้ำริน กินทั้งคืน
ลูกสะอื้น เมียสลด พ่อซดเพลิน
24 มิถุนายน 2553 17:16 น.
ศุุภนาคราช
น้ำหยดลง ตรงหิน ยังบิ่นกร่อน
ใจอาวรณ์ อ่อนไหว ทนได้หรือ
ฟังลมปาก มากเข้า คนเขาลือ
หากจะทื่อ อยู่ได้ ก็ใช่ที
จิตโอนอ่ิอน ผ่อนความ ตามลมปาก
เพราะคนมาก อยากให้เห็น เป็นเช่นนี้
ความเท็จจริง สิ่งใด ไม่พาที
ทำคนดี สีเปื้อน เพราะเอื้อนคำ
อย่าคิดเช่น เป็นความ ตามลมปาก
เขากระชาก ลากไป ให้ตกต่ำ
ใครมากมี ดีชั่ว ที่ตัวทำ
อย่าจดจำ คำกล่าว เขายุยง
มองบุคคล หนใด มองให้ลึก
อย่ารู้สึก นึกเอา เราจะหลง
มิตรภาพ ตราบนาน จะมั่นคง
หากบรรจง พิสูจน์ใจ ใช้เวลา...
23 มิถุนายน 2553 19:02 น.
ศุุภนาคราช
สายตามอง จ้องจดจ่อ รอตะครุบ
มือกำหุบ ฉุบฉวย ด้วยโทษา
เล็งไม่พลาด ฟาดหูที ตีเบ้าตา
ซัดเข้าหน้า น่าจะเหมาะ แล้วเลาะฟัน
ฝ่ายหนึ่ง ยืนตะลึง มึงต่อยกู
ดูซิดู ดูเลือดไหล ปลายคิ้วฉัน
ไม่รู้จัก ชักหมัดใส่ ทำไมกัน
ไหนจะฟัน นั่นจมูก ถูกเต็มเปา
เพื่อนฝ่ายต่อย หน้าละห้อย ค่อยค่อยจ้อง
ยกมือสอง ต้องขอโทษ อย่าโกรธเขา
ผิดที่ใคร ไม่มีผิด ผิดที่เรา
คนชี้เป้า เข้าใจผิด อย่าคิดเคือง
แล้วฝ่ายต่อย ค่อยค่อยพูด สุดรู้สึก
ความสำนึก ต่อยคนผิด หวิดมีเรื่อง
แว่นลืมใส่ ใจก็ร้อน ค้อนชำเลือง
ด้วยแค้นเคือง เรื่องโจทย์เก่า เราจึงทำ
ให้สหาย หมายเป้า เอามือชี้
เราวิ่งปรี่ ตีชก ให้ตกต่ำ
มือหนึ่งฟาด มือหนึ่งเสย เคยกระทำ
ซัดย้ำย้ำ หวังให้แย่ แต่ไม่ตาย
ใจเราร้อน ลืมย้อนดู ให้รู้แน่
ใจรู้แต่ ขุ่นแค้น แว่นก็หาย
กราบขอโทษ โจทย์ที่ซวย ด้วยละอาย
ฉันตาลาย ไร้สติ จะตริตรอง
ฝ่ายคนซวย ด้วยใจดี มีเมตตา
มิถือสา หาความ หรือขุ่นข้อง
เตือนสติ อย่าผลีผลาม ความคะนอง
อาจจมกอง นองเลือด เพราะเดือดดาล
23 มิถุนายน 2553 12:24 น.
ศุุภนาคราช
ตะแบกน้อย ลอยวน บนน้ำหลาก
แรงกระชาก ถากไถ ไหลกระแทก
กลีบขาดฉีก ปลีกปลิ้น สิ้นตะแบก
ดอกหลุดแหลก แหกยับ กับสายน้ำ
ตะแบกบาน แบ่งเบิก ฤกษ์อรุณ
กลิ่นละมุน กรุ่นนาสา พาใจหวาม
หลุดหล่นร่วง ห้วงนที ทวีคำราม
ตะแบกช้ำ น้ำหลาก พรากลานดิน
เปรียบประดุจ มนุษย์หนึ่ง ตะลึงเหลือก
กระสนกระเสือก เลือกคว้า วาจาถวิล
น้ำโครมซัด พัดผ่าน ลานพื้นดิน
สูญชีวิน สิ้นชีพ เหมือนกลีบผกา
เคยแบ่งบาน ละลานตา บนผาใหญ่
หารู้ไม่ น้ำไหลมา พร้อมโถมถา
มัวเพลิดเพลิน ดำเนินสุข ทุกเพลา
ลืมหรือว่า กายา หาแน่นอน
อย่าประมาท ในสิ่ง ไม่พึงประสงค์
พระพุทธองค์ ทรงตรัส ดำรัสสอน
หามีไม่ สิ่งใดแท้ และแน่นอน
พึงสังวรณ์ ก่อนชีพดับ ลับโลกา