3 ธันวาคม 2555 00:13 น.
ศิวสิโรมณิ
มายา.... ทุกสิ่งล้วนเป็นมายา
ทุกสิ่งเกิดจากเหตุและปัจจัย และเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
มีจริงก็เหมือนไม่มีจริง
เหมือนรถ จะว่ามีก็มี
จะว่าไม่มีก็ไม่มี ไม่มีรถ มีแต่ล้อ เพลา พวงมาลัย กระจก ฯลฯ
มาอยู่รวมกันในตำแหน่งที่ถูกต้อง และเวลาที่ถูกต้อง
เมื่อมองลึกลงไปลึกลงไป ก็แค่ ซิลิก้า เหล็ก พลาสติก
ลึกไปอีก ก็ธาตุและอะตอม พื้นที่ส่วนใหญ่ของอะตอม ก็คือความว่างเปล่า
อิเล็กตรอน โปรตอน นิวตรอน ก็เป็นแค่พลังงานที่เป็นกลุ่มก้อน
ทุ่งสิ่งล้วนเป็นแค่กลุ่มก้อนของพลังงาน ที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
ตราบใดที่เรายังไหลและผ่านมิติแห่งกาลเวลาไปเรื่อยๆ
เหมือนมนุษย์ ที่ทุกเสี้ยววินาที ทุกเซลล์ในร่างกายล้วนเปลี่ยนแปลง และเสื่อมสลายตลอดเวลา
แม้แต่เหล็กกล้าก็เสื่อมตลอดเวลา แม้มันอาจจะเล็กน้อยมากจนเราไม่เห็นมันก็ตาม
มันเป็นเพียงมายา
เพราะมนุษย์พยายามจำกัดความและสมมติมันให้เป็น
ทั้งที่มันเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
เหมือนสายน้ำที่ไหลไปเรื่อยๆ แล้วเราพยายามบอกว่า
สายน้ำจากช่วงนี้ถึงช่วงนี้เป็นแบบนี้ คือแบบนี้ เรียกแบบนี้นะ
สายน้ำจากช่วงนั้นถึงช่วงนั้นเป็นแบบนั้น คือแบบนั้น เรียกแบบนั้นนะ
ทั้งที่สายน้ำมันไหลไปเรื่อยๆเนี่ยนะ!
เหมือนมนุษย์ยามมีชีวิตเรียกว่า มนุษย์ พอตาย เรียกศพ พอเน่าเปื่อย เรียกปุ๋ย เรียกดิน
เราลืมรึเปล่าว่าต้นกำเนิดมันเหมือนกัน
มันแค่เปลี่ยนแปลงและเปลี่ยนสภาพตามกาลเวลาเท่านั้น
เรายังยึดติดกับสิ่งที่ไม่จีรังเหล่านี้อีกหรือ
เรายังหลงอยู่ในมายาเหล่านี้อีกหรอ
นี่เป็นเพียงแต่การเปรียบเทียบกับสิ่งที่เป็นรูปธรรมเพื่อให้เข้าใจง่าย
เพราะมนุษย์มักยึดติดกับรูปและสิ่งที่เห็น
หากลองนำไปคิดดูกับสิ่งนามธรรมและสิ่งอื่นๆก็จะพบว่ามันก็ใช้ได้เหมือนกัน
ไม่ว่ากับอะไรก็ตาม
อย่าลืม ทุกสิ่งเกิดจากเหตุและปัจจัยและเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
จะมีข้าวสุก ก็ต้องมีข้าวสาร มีความร้อน มีน้ำ
จะมีความร้อน เราก็ต้องมีเชื้อเพลิง และไปต่อเรื่อยๆ มันเป็นอนันต์
ทุกเหตุและปัจจัย หากขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไป มันก็จะไม่สมบูรณ์
ทุกอย่างมีเหตุผลในตัวของมันเสมอ
อยู่ที่ว่าเราจะมีแสงสว่างแห่งปัญญามากพอจะทราบถึงมันรึเปล่าเท่านั้น
รวมถึงการเคลื่อนไหวและเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาของสรรพสิ่งที่เราต้องระลึกอยู่เสมอในทุกห้วงขณะจิต
แม้จากตาเนื้ออาจจะไม่เห็นมันก็ตาม
เมื่อเราเห็นถึงความเป็นจริงของสรรพสิ่ง เราจะรู้จักวาง
วางอัตตา ไม่มีตัวกู ของกู เพราะแม้แต่ร่างกายเรา มันก็ไม่ได้เป็นของเราอย่างแท้จริง
สักวันจะกลับคืนสู่ผืนดิน คืนสู่พระแม่ธรณี
ความรู้สึกโกรธ อิจฉา ริษยา โลภ หลงต่างๆก็จะไม่มีประโยชน์
เพราะ สิ่งที่เราโกรธ อิจฉา ริษยา โลภ หลงไปนั้นเป็นเพียงมายา
และความรู้สึกเหล่านี้ เมื่อเกิดขึ้น มีคงอยู่ ก็ต้องมีดับไป
แล้วเราจะปล่อยจิตไปกับมัน ให้จิตเรามัวหมองทำไม
มีแต่จิตที่คอยบันทึกสิ่งที่เกิดขึ้น
ความดี ความชั่วที่จะถูกบันทึก จากการสั่นสะเทือนของพลังงาน
ทั้งกายกรรม วจีกรรม และมโนกรรม
กรรม แปลว่าการกระทำ
เมื่อทุกสิ่งล้วนเกิดจากเหตุและปัจจัย
เมื่อเรากระทำการใด เราก็ได้ผลจากการกระทำนั้น
เหมือนเช่น เรากระทำการจุดไฟ เราก็ได้ไฟ
เราหยิบพัดมาพัด เราก็ได้ลม
ทุกสิ่งล้วนเป็นเพียงมายา
ขนาดเทวะก็เป็นเพียงพลังงาน
จงพยายามให้ดีที่สุด อย่าให้มายามาปรุ่งแต่งจิตเรา
หากเข้าใจได้ตามนี้และจะเข้าใจส่วนหนึ่งของธรรมะอันยิ่งใหญ่
เข้าใจ หมายถึง เข้าไปใน 'ใจ' จริงๆนะ ถึงสิ่งที่เกิดขึ้น
ธรรมะ คือ ธรรมชาติ
เข้าใจในธรรมชาติของสิ่งที่เป็นไป
ขอทุกท่านเจริญยิ่งในปัญญายิ่งๆขึ้นไป
เพื่อมีปัญญาที่มากพอที่จะเข้าใจในธรรมะอันยิ่งใหญ่ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสรู้
เพื่อขัดเกลาจิตใจเราให้สูงยิ่งๆขึ้นไป
สิ่งเหล่านี้คือ อิทัปปัจจยตา และ ไตรลักษณ์ อันสำคัญ
โอม ตัสสะฯ
ศิวสิโรมณิ
Sunday 9.23 p.m., December 2, 2012
อภิณหปัจจเวกขณ์ ๕
ชราธัมโมมหิ ชะรัง อะนะติโต
เรามีความแก่เป็นธรรมดา จะล่วงพ้นความแก่ไปไม่ได้
พะยาธิธัมโมมหิ พะยาธิง อะนะตีโต
เรามีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา จะล่วงพ้นความเจ็บไข้ไปไม่ได้
มะระณะธัมโมมหิ มะระณัง อะนะตีโต
เรามีความตายเป็นธรรมดา จะล่วงพ้นความตายไปไม่ได้
สัพเพหิ เม ปิเยหิ มะนาเปหิ นานาภาโว วินาภาโว
เราจักพลัดพรากจากของที่รัก ของชอบใจทั้งหลาย
กัมมัสสะโกมหิ กัมมะทายาโท
เรามีกรรมเป็นของๆตน เราจักเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น
กัมมะโยนิ กัมมะพันธุ
เรามีกรรมเป็นแดนเกิด เรามีกรรมเป็นเผ่าพันธ์
กัมมะปะฏิสะระโน ยัง กัมมัง กะริสสามิ
เรามีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย เราทำกรรมอันใดไว้
กัลยาณัง วา ปาปะกัง วา
เป็นกรรมดีก็ตาม เป็นกรรมชั่วก็ตาม
ตัสสะ ทายาโท ภะวิสสามิ
เราจักต้องเป็นผู้รับผลแห่งกรรมนั้น
เอวัง อัมเหหิ อะภิณหัง ปัจจะเวกขิตัพพัง
เราทั้งหลายพึงพิจารณาเนืองๆอย่างนี้แล.