13 กันยายน 2549 13:04 น.
ศิลปินป่า
โลกนี้มิใช่อยู่เพียง....หนึ่งด้อยมณีนางแท้
แร่ธาตุผันแปร....ล้วนหนึ่ง...มณีนางสร้าง
ตันตนเราล้วนหนึ่ง...ประดุจเงาครอบกาย
...ภพหล้านี้มิใช่...มีหงส์ทองเดียวเลย
กาดำเจ้าของล้วนครอง...ชีพด้วย..
เมาสมมุติโลกเหว่ยทรนง...จองหอง..
น้ำใจมิตรม้วย....โลกล้วนแลดับ
.......โลกนี้เป็นของเจ้า...คนเดียวเพียงนั้นหรือ
.....คนอื่นล้วนคือ...เงาสมมุติที่สร้างฤาไฉน
.....มนุษย์ล้วนกำหนดสร้าง......เฉกเช่นเงาเสมือน
....ประหนึ่ง...ข้ารับใช้ที่ซื่อสัตย์มิสามารถยึดครองถึงห้วงอารมณ์ก็..เพียงนั้น
....แสงกระทบยามแดดแผดกัดสัมผัสหนังไร้แม่
....แสงกระทบสาดส่องผ่านร่าง...ก่อเกิดกำเนิดชาติเพียงร่างๆหนึ่ง..
...ถ้ามองอย่างรู้สึก...เราจะรู้สึกเสมือน...เป็นร่างที่น้อมเคารพผู้ที่ให้กำเนิดเสมอ
......เงาลางลาง....ร่างตะคุ่มๆเดินตามผู้เป็นเจ้าของ...อย่างผู้ที่ด้อยประหนึ่งปัญญา
....หากแม้นพึงพินิจมองตามที่สายตาอันด้อยเขลากับสมองใบกลวงของข้าผู้น้อยปัญญา...นี้แล้ว
ท่านเคยรู้สึกไหมว่า....จะมีใครที่เฝ้าติดตามตัวท่านเสมอเหมือนเงา...
ผู้ที่จงรักภักดี...แม้ในยามที่ไม่มีใครเลยสักคน....
ในบางเวลาเจ้าก็มักจะหายไปกับความขุ่นมัวของขอบฟ้ากว้างชะเลเขียว
จะมักจะเดินทางร่วมไปกับฟ้า
ไปกับจันทราในยามที่คืนมืดมิด....ประดุจหนึ่งของหัวใจคน
ในยามที่อ้างว้างว่างเปล่า...หัวใจมันมักร้องไห้....ทั้งที่รอยยิ้มภายนอกบ่งบอกถึงความร่าเริงความสุข
ยิ้มในใจยังจะสุขเงียบๆที่มีบางสิ่งบางอย่างมากระทบอารมณ์ที่กำลัง...คิดถึง
เงยหน้ามองฟ้า...วันนี้ฟ้าหม่นจันทราสีหมองๆ....ทำไมนะ
เจ้าไม่ยิ้มไม่ชะโงกลงมามอง.....เงาที่ต้อยต่ำอย่างข้าสักคืน
.........พลีหัวใจดวงนี้นิ่ง.........ถวายโลก
.....ลืมเหงาลืมโศก....จะสร้างสรร...เพื่อดับร้อน
....แรงใจดวงนี้พลีแสวงสวรรค์......ถวายโลก
.....หอมโศกสูบทุกข์....สะท้อน....เสพสู่ห้วงสวรรค์...
...จะเอาอะไรในโลกนี้ที่เป็นของเจ้า...
....หวังหยิบเพียงดาวหรือเดือนเพียงนั้นหรือ
....ธาตุแท้แห่งอนูเราคือ...ความโลภะกามาฤาไฉน
....อยากได้ไว้ทำไมดวงเดือน....มันเสมือนป่าช้ารกชัฎที่กว้างใหญ่
...เอื้อมมือแล้วหมายมุ่งสิ่งใด....รกหัวใจเสมือนขยะปฎิกูลอารมณ์
....ปลงตกคิดจะนับราคาแก้วแหวนเงินทอง...ล้วนของจักรวาลกำหนดเหมือน
...หากแม้นยึดได้ทุกดวงดาว...หยิบสัมผัสฟากฟ้าล้วนเราเป็นเจ้าของ...
....หลงครอบงำเอกสิทธิ์ครองครอบ...กอบได้มือเดียวแค่นั้นหรือ
.......ปรารถนาสิ่งใดในพิภพ...จบอุดมคติที่ใหญ่หลวง
มิได้อยู่เพียงมีมารยาที่หลอกลวง....จมแต่ในห้วงสามานย์
เรียนรู้อะไรในชาติหนึ่ง....ปรัชญาสอนตน.....เสมอเงา....
...................ผู้ที่คอยติดตามโดยมิเคยปริปากบ่นสักคำ......ถึงแม้นจะยากลำบากเพียงใด
...........เจ้าคือเพื่อนแท้......ในยามที่ข้ามิมีใครเสมอ...เพื่อนยาก
13 กันยายน 2549 02:05 น.
ศิลปินป่า
ท่ามกลางสายฝนค่ำคืนนี้
ไออุ่นที่มิเคยสัมผัส....เนิ่นนาน
มิตรภาพวางมือลงบนตักน้อยๆ...
ผายมือบ่งบอกถึงมิตรภาพที่อบอุ่น
รอยยิ้ม...ไออุ่นสัมผัสจากมายาอักษร
รัญจวนหอมจรุง...ชื่นกมล
เพียงรอยยิ้ม...เอียงๆมุมปากเมมประหนึ่ง
ใช้ความคิด
....เสียงสายฝนสาดกระทบโสตประสาท
....ท่ามกลางความเงียบเหงาในค่ำคืนนี้
.......ฝนหยดรินหยาดร่วงริน..เสมือนหนึ่ง
.....น้อมรับ...มิตรภาพ
บางทีนะ........ในท่ามกลางเสียงแห่งความสับสน
ของ...ห้วงอารมณ์...
มันมักจะมีรอยยิ้ม....ที่หลบมุมรอกำลังใจ
แม้นว่า....เป็นแสงวับแววที่...ส่องมาเพียงนิด..
จาก..หลืบมุม..ของอารมณ์...ที่มี...ปรารถนา
มันรู้สึก...มีค่า...ประหนึ่ง...ได้สูดอากาศที่ที่บริสุทธิ์ใสสะอาด...มิปาน
บางครั้งนะ.....ในสมองที่ด้อยเขลาอันน้อยนิดใบนี้....ประสงค์พึงหวังเพียงมี...
แค่...วิญญาณแก้ว...ที่รอเพ่งความเป็นไป...ของอารมณ์ตน
ท่ามความเหน็บหนาว...อ้างว้าง...ของยอดหญ้า...
รอเพียงเสพสัมผัสไออุ่น...จากแสงตะวันฉายสาดส่องกระทบเสมอ...
เวลา....นาที....นับค่าประมาณมิเคยได้เลยสักครั้ง
มันเป็นเพียงความหวัง...ที่ยอดหญ้ารอคอยเสมอ
ยาวนาน....เนิ่นนาน...เพียงใด...ยืนเชิดชูคอรอความตระหง่านของแสงตะวันเสมอ
..........มิวาย.......
ความหวัง....มิเคยสิ้นในเมื่อมีศรัทธาตน...
ความรู้สึก.......มิเคยสิ้นถ้ามีกำลังใจ...
ความสูญเสีย....มองและอยู่อย่างเข้าใจในโลก...แลความเป็นไป
ความเหงา.........มิควรทิ้งไปให้ห่างกาย...ในยามที่ไม่มีใครเลย
บางสิ่งบางอย่างมิใช่สิ่งที่จะเอ่ย...หรือกลั่นจากใจ
มันมีเพียงความอาวรณ์ถวิลวายเสมอ....ฉันใดก็ฉันนั้น
ตัวฉัน.........มันเป็นแค่อนูธาตุ.........ของความรู้สึก.......ในคืนที่ฝนหลั่ง..
......ชะโลมแผ่นดินแม่...ค่ำคืนนี้....
....ขอบคุณไออุ่นของมิตรภาพ
.....ขอบคุณไออุ่นที่สัมผัสด้วย...ความว่างเปล่า...
....ขอบคุณ...จริงๆสำหรับมิตรภาพที่ไร้พรหมแดนครับ