15 กุมภาพันธ์ 2550 20:57 น.
ศารทูล
วสันตดิลกฉันท์ ๑๔
๐ ลมหวนจะเปลี่ยน ณ คิมหันต์..เพราะวสันตคราจร
เกลื่อนดินก็ล้วนบุษบ์สลอน........จะละเล่นระเริงลม
พิศเบื้องนภาสกุณะร่อน............มนหย่อนและผ่อนตรม
มองผืนอุทกก็สุขะสม................สละร้อนกมลคลาย
อีทิสังฉันท์ ๒๐
๐ ม่านวสันต์จะดับสุรียแสง
นภาแจร่มก็ครึ้มก็แคลง
และหม่นกลาย
เมฆะลอยระเริงละเล่นพระพาย
สกุณถลาทุกขมลาย
รตีรมย์
...........................
ฉันท์นี้ แต่งเมื่อตอนบ่ายวันนี้นี่เองครับ
(16 ก.พ. 50 เวลาประมาณบ่ายสองโมง)
ปล. "มนหย่อน"
ยืมมาจากอินทรวิเชียรฉันท์ของ "ครูเทพ"
(สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน เล่ม 17)
เอนเอกเขนกเหนือ.......ติณนุ่มสนามงาม
ร่มรุกขมูลยาม...............มนหย่อนนิยมเย็น
มน อ่านว่า มะ-นะ แปลว่าใจ
ตามบริบท มนหย่อน ในที่นี้ หมายถึง จิตใจผ่อนคลาย
ซึ่งผมใช้ มนหย่อน ในฉันท์ของผมด้วยความหมายเดียวกันครับ
(ใน "มนหย่อนและผ่อนตรม" บทที่ 2 วรรคที่ 2)
อีกอย่างหนึ่ง
ในบทแรก วรรคที่ 3
"เกลื่อนดินก็ล้วนบุษบ์สลอน"
บุษบ์ อ่านว่า บุ-สะ
มาจาก บุษบา ที่แปลว่าดอกไม้ครับ
สุดท้ายนี้...
ขอขอบพระคุณพี่ "ห้วงคำนึง" และคุณ "สดายุ" ที่ช่วยแนะนำครับ
2 กุมภาพันธ์ 2550 19:55 น.
ศารทูล
๐ ค่ำคล้อยจึ่งเคลื่อนพ้น ขอบนภา
แสงอร่ามสาดเวหา แจร่มเรื้อง
พินิจนักขัตราชา นวลผ่อง
สาคเรศ ณ บาทเบื้อง สะเทื้อนเทิ้มสะท้อนจันทร์
๐ งามใดฤาอาจเทียบ ดวงบุหลัน
พักตร์สะคราญงามครัน พ่ายแพ้
อันโฉมแห่งบุษบัน ฤๅเปรียบ เดือนนา
อินธุพิลาสแท้ เลิศล้ำเลอสรวง