2 ธันวาคม 2554 01:37 น.
ศรีสมภพ
เล่าเรื่องพ่อ.. ขอนำกล่าวเรื่องราวย้อน
เป็นบทกลอนบรรเจิด..เพื่อเทิดเกล้า
องค์ราชัน จอมราชาประชาเรา
น้อมมาเล่า เข้าดิถี ๘๔ พรรษา....
๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑
เล่าเรื่องพ่อ (เรื่องที่ ๒)
" รอยยิ้มจันทร์ ..รอยยิ้มพ่อ "
จวนค่ำย่ำสนธยา สิ้นแสงกล้าแห่งอาทิตย์
จันทร์เสี้ยวเกาะเกี่ยวติด เคียงข้างชิดสะกิดสองดาว
บน..ศุกร์สุกสดใส พฤหัส..ซ้ายคล้ายตาเจ้า
ล่างพริ้มปากยิ้มเย้า เปล่งสกาว พร่างพราวตา
ธรรมชาติวาดเหมือนฝัน ปรากฎการณ์อันเจิดจ้า
จันทร์ยิ้มอิ่มอุรา โปรยจากฟ้า..มาสู่ดิน
บนโลก โศกสลด พลันก็หมด มลายสิ้น
การเมือง เรื่องโหดหิน ทั่วไทยถิ่น สิ้นซาลง
ต่างจ้องมองฟากฟ้า ช่างงามตา อ่าระหง
เคืองโกรธก็ปลดปลง เยือกเย็นลงตรงประเด็น
รอยยิ้ม.. รอยยิ้มพ่อ ! เมื่อไหร่หนอ..พอให้เห็น
เอิบอิ่มยิ้มเยือกเย็น ช่างยากเข็ญไม่เห็นนาน
ลูกหลานพาลทะเลาะ คงไม่เหมาะ จะยิ้มนั่น
กล้ำกลืนฝืนจาบัลย์ จะให้ท่าน..ยิ้มอย่างไร !
อยากเห็น..รอยยิ้มนั้น ต้องร่วมกัน สร้างสรรค์ให้
สมานสมัครรักกันไว้ รวมหนึ่งให้..ท่านได้ชม
มาเถิด..วันเกิดพ่อ ช่วยเติมต่อ พ่อสุขสม
ร่วมมือถือพนม พร้อมกราบก้ม..ชมยิ้มพ่อ
จันทร์ยิ้ม พริ้มสดใส พ่อยิ้มได้ ชื่นใจหนอ
นัยน์ตา น้ำพร่าคลอ รู้แล้วหนอ..พ่อท้อใจ
๑ ธ.ค.๕๑
( ปรากฎการณ์พระจันทร์ยิ้ม )
@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@
ปรากฏการณ์พระจันทร์ยิ้ม หรือ ดาวเคียงเดือน เป็นปรากฏการณ์ที่มีลักษณะเหมือนคนกำลังยิ้ม โดยดาวคู่ดังกล่าว ได้แก่ดาวศุกร์ อยู่เคียงกับ ดาวพฤหัสบดี มองใกล้กันเพียง 2 องศา ในระยะบนท้องฟ้า และจะมีดวงจันทร์เสี้ยว ขึ้น 3 ค่ำ อยู่ข้างล่างดาวทั้งสองดวง ที่ห่างดาว เพียง 2 องศา ซึ่งสามารถสังเกตได้ในประเทศไทยครั้งล่าสุดเมื่อ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2551
ปรากฏการณ์ดาวเคียงเดือนจะเกิด 2 ครั้งห่างกันประมาณ 10 เดือน ทุก 2 ปีครึ่ง มีลักษณะเป็นดวงดาว 3 ดวง ซึ่งได้แก่ ดาวศุกร์ (ดาวประจำเมือง) ดาวพฤหัสฯ และ ดวงจันทร์ โคจรเข้ามาใกล้กัน โดยดวงจันทร์หงายอยู่ด้านล่าง ดาวอีก2ดวง และอยู่ ในระยะที่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน แต่ปรากฏการณ์นี้จะมองเห็นได้ไม่นานนัก เพราะดาวจะตกเร็วลับจากขอบฟ้าจากการ ที่โลกหมุนรอบตัวเองตลอดเวลา
เคยเกิดปรากฏการณ์ดาวเคียงเดือนมาแล้ว 1 ครั้งในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551 และจะเกิดอีกครั้งในวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2551 จากนั้น จะเกิดขึ้นอีกครั้งในช่วงใกล้สว่างของ วัน ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 และช่วงค่ำวันที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2555
ปรากฏการณ์ดาวเคียงเดือนนี้เป็นเหมือนหน้าพระจันทร์ยิ้มบนท้องฟ้ามองลงมา ซึ่งอาจเปรียบได้ว่าอาจจะมีสิ่งดีๆ เกิดขึ้นหลังจากที่บ้านเมืองวุ่นวายมานาน
" ทรงพระเจริญ ยิ่งยืนนาน "
1 ธันวาคม 2554 11:43 น.
ศรีสมภพ
เล่าเรื่องพ่อ.. ขอนำกล่าวเรื่องราวย้อน
เป็นบทกลอนบรรเจิด..เพื่อเทิดเกล้า
องค์ราชัน จอมราชาประชาเรา
น้อมมาเล่า เข้าดิถี ๘๔ พรรษา....
๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑
เล่าเรื่องพ่อ (เรื่องที่ ๑) พระสหายแห่งสายบุรี
วาเด็ง ปูเต๊ะ.. ต้อนวัวเสียงรัวก้อง
ใบหน้าอิ่มยิ้มย่องมองไปทั่ว
ถึงชราล้าพลังไม่ยั้งกลัว
มีชีวิต จิตไม่ชั่ว กลัวอะไร !
คนแปลกหน้าท่าดีมียศศักดิ์
มาถามทัก ถิ่นนี้มีมาแต่ไหน ?
แห้งแล้งซ้ำน้ำท่วมล้น ผลอย่างไร ?
แถลงไขให้แจ้งชัด เพื่อจัดการ
เป๊าะเด็งตอบ ชอบใจไมตรีจิต
ทำครุ่นคิดจำติดใจ ใครกันนั่น !
ควักธนบัตร ดูรูปองค์เห็นตรงกัน
ใช่แล้วท่าน ! ทั้งพระองค์ อยู่ตรงหน้า
นุ่งโสร่งโปร่งกาย อธิบายชี้
พร้อมถวายที่ ให้โครงการสานคุณค่า
ขุดคลองส่งชลประทานผ่านไร่นา
ทรงตรัสว่า..เป็นสหายแห่งสายบุรี
นับแต่นั้น สิบกว่าปี มีน้ำใจ
เก็บผลไม้ถวายองค์ผู้ทรงศรี
มอบใจภักดิ์ รักในองค์ทรงปรานี
ดูทีวี มีข่าวท่าน ตื้นตันใจ
ข่าวสหาย ได้จากจอพอรู้แจ้ง
รวมเรี่ยวแรง เงินตรามาเยี่ยมไข้
สวดดูอาร์ หน้าตึกองค์ ทรงหายเร็วไว
จากหัวใจ.. สหายแกร่งแห่งสายบุรี !
๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑
วาเด็ง ปูเต๊ะ พระสหายแห่งสายบุรี ลงนามถวายพระพร
เมื่อวันที่ 26 กันยายน2552 บริเวณศาลาศิริราช 100 ปี
โรงพยาบาลศิริราช นายวาเด็ง ปูเต๊ะ หรือ "เป๊าะเด็ง" อายุ 93 ปี
หรือรู้จักในนาม " พระสหายแห่งสายบุรี " พระสหายของพระบาท
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เดินทางโดยเครื่องบิน จากบ้านบาเลาะ ต.ปะเสยะวอ
อ.สายบุรี จ.ปัตตานี เพื่อมาลงนามถวายพระพร โดยนายวาเด็งได้รับ
พระมหากรุณาธิคุณให้เป็นพระสหาย เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
เสด็จพระราชดำเนินไปปฏิบัติพระราชกรณียกิจ ณ โครงการพัฒนาพรุแค
อ.สายบุรี จ.ปัตตานี เมื่อปี พ.ศ.2530 ทรงเห็นว่า นายวาเด็งเป็นคนพูดจา
ตรงไปตรงมา จริงใจ จึงโปรดเกล้าฯ ให้เป็นพระสหาย ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
จากนั้น ในหลวง คงจะทรงลองใจเป๊าะ จึงตรัสถามขอที่ดินเพื่อทำโครงการ
พระราชดำริ ด้วยความปลาบปลื้ม เป๊าะ จึงขอยกที่ดินถวายให้พระองค์ทันที ในหลวง จึงแย้มพระสรวล และมีพระราชดำรัสว่าให้ เป๊าะ เป็น "พระสหาย" ตั้งแต่บัดนั้น ในหลวง ตรัสเรื่องนี้ว่า
" วาเด็งเป็นคนซื่อตรง..จึงขอแต่งตั้งให้วาเด็งเป็นเพื่อนของในหลวง "
พร้อมทรงชวนให้ เป๊าะ และภรรยาเดินทางไปเที่ยวที่กรุงเทพฯ และเมื่อพระองค์เสด็จมาสามจังหวัดก็เรียกให้เข้าเฝ้าที่พระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์
ทุกครั้ง
" ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน "
28 พฤศจิกายน 2554 14:23 น.
ศรีสมภพ
เห็นน้ำตา..ยังบ่าไหลในน้ำกว้าง
เห็นเยี่ยงอย่าง ไม่อยากเห็นแต่เป็นได้
เห็นความเขลาเบาปัญญา คนหน้าใหญ่
เห็นความร้ายในความดี ..วิถีคน
เห็นความต่างที่ต่างตอบชอบฝั่งฝ่าย
เห็นความพ่ายในที่ต่ำ น้ำหลากล้น
เห็นจอข่าว ความร้าวร้ายใส่ผู้คน
เห็นแห่งผล ความจนตรอก ออกหน้าจอ
เห็นความแพ้ ในชนะ ยังฉะฉาน
เห็นก๋ากั่น บั่นธรรมา หน้าไม่หงอ
เห็นความเปลี่ยนเวียนเสริม ยังเติมต่อ
เห็นความพอ ไม่อยากพอ ล่อหลอกกัน
เห็นน้องน้ำย่ำย่าง ทุกทางถิ่น
เห็นจนชิน จนใจชามหามหันต์
เห็นตอผุดหลุดจากโผ ขุดโชว์กัน
เห็นไฟผลาญราญรอนไหม้ฟ่อนฟาง
เห็นคำตอบ ที่ชอบไม่หลายคำมั่ว
เห็นความกลัวในความกล้า ตั้งท่าขวาง
เห็นความดีมีน้ำใจ ไม่หยุดยั้ง
เห็นความว่างในร่างนิด ..จิตอาสา
เห็นเภทภัยพิบัติ น้ำจัดหนัก
เห็นความรัก ว่ารักสุดไม่ผุดหน้า
เห็นเล่ห์เหลี่ยม เสี้ยมเขาควายให้บีฑา
เห็นความบ้ากล้าถือดี ..วิถีพาล
เห็นน้องน้ำ ใกล้อำลา กล้าจะฝาก
เห็นกองซาก หนักและเน่า ทุกเหย้าย่าน
เห็นวิกฤติ..เป็นโอกาส ปัดกวาดบ้าน
จึงไหว้วาน น้ำพาส่ง ..ลงทะเล !
28 พฤศจิกายน 2554 09:45 น.
ศรีสมภพ
รำลึกก่อน..ย้อนหลังในครั้งนั้น
พม่าโหมโรมรันประจันหน้า
ทัพใหญ่พร้อมล้อมตี ศรีอยุธยา
ทั่วพาราระส่ำระสาย เลือดไหลริน
พม่าจับขับเข็นข่มเช่นทาส
ไล่ต้อนกวาดคัดค้นปล้นทรัพย์สิน
เหยียบย่ำใจใคร่ข่มขืนผืนแผ่นดิน
เห็นทีสิ้น ถิ่นสุด.. อยุธยา !
บางระจัน..บ้านสิงห์ไม่นิ่งน้อม
ทุกคนพร้อมหลอมรวมใจไล่ฟันฆ่า
ทิ้งคมเคียวมือเกี่ยวดาบปราบผู้มา
หักหาญกล้าพม่าสยบ พบคนจริง !
นายแท่น นายอิน นายโชติ นายเมือง
พร้อมพันเรือง เคืองแค้นแทนคนสิงห์
มึงเป็นใคร ? ทำไมใจร้ายจริง
เด็กผู้หญิง นิ่งเห็นไม่เว้นวาง
กูขอสู้.. อยู่หรือตายไว้ลายชื่อ
ให้เขาลือว่าชาวบ้าน หาญขัดขวาง
กองทัพใหญ่ที่ใครยอมพร้อมเปิดทาง
น้ำน้อยกร่างกล้าดับไฟใจทระนง
ไอ้ทองเหม็น ไอ้ดอก กรอกปืนใหญ่
ยิงเข้าไปให้มันรู้กูประสงค์
ข้ามศพกู ผู้พร้อมยอมปลดปลง
ให้เลือดไทยไหลหลั่งลง..ชโลมดิน
มาคำนึง..ถึงสมัยในวันนี้
ว่าความรักสามัคคี มีหรือสิ้น ?
ไม่สืบสาน ต้านหรือต่อ ก่อหรือกิน ?
ทั่วธานินทร์ จึงสิ้นสุข ลุกเป็นไฟ !
แย่งกันใหญ่ ขายขี้หน้าบ้าดีเดือด
ไม่มีเลือด บางระจัน อันยิ่งใหญ่
แบ่งพวก แบ่งกลุ่ม สุมฝักฝ่าย
น่าอับอาย ผู้วายชนม์ คน..บางระจัน !
เอาชนะคะคานกัน ..สนั่นเมือง
24 พฤศจิกายน 2554 11:32 น.
ศรีสมภพ
ซากกองสุม คลุ้มคลั่งหลังเรื่องยุ่ง
กลิ่นสาบคลุ้ง ควันชังหลังเผาผลาญ
เสียงสวดส่ง ปลงผู้สิ้นสืบวิญญาณ
ร่ำไห้กัน.. กลั้นสะอื้น ฝืนบรรเทา
ข้างสองฟาก..ซากเคยอยู่ของผู้แพ้
เหลือเพียงแค่ แลร้างความว่างเปล่า
บ้านร่วมอยู่ อู่อิงอุ่นนอนหนุนเกล้า
ถูกสองเรา เผาผลาญคืนผ่านมา
ไฟโกรธา.. แผดเผาเราน้องพี่
โหมความดี ที่เราเฝ้าก่อกล้า
เคยเกี่ยวก้อย คอยช่วยกันฝ่าฟันมา
สร้างหลังคา คลุมดินถิ่นแม่พ่อ
ไฟโลภหลง..ปลงปลด หมดสายเยื่อ
ไม่มีเหลือ เชื้อตระกูลคุณเคยก่อ
เป็นศัตรูไม่รู้ตัว กลัวไม่พอ
ซ้ำเติมต่อ พ่อแม่ยั้ง..ไม่ฟังกัน !
ช่างน่าเศร้า.. ต่างเผาบ้านอนันต์อนาถ
เข้าฟันฟาดประกาศศึก ฮึกเหิมลั่น
เลือดพี่น้องผองเผ่า เราขาดกัน !
ต่อนี้นั้น บ้านจะพังช่างหัวใคร
รวมเพื่อนกล้า.. ถาโถมโรมรันสู้
ถ้ากูอยู่ มึงอย่าอยู่ ..จงรู้ไว้
เร็วพวกเรา ! เผาเข้าไป ให้วอดวาย
เอาให้ตาย ต้องชนะ ฉะพวกมัน !
เห็นกองซากยากกอบกู้..จะอยู่อย่างไร ?
เหลือเศษไฟไหม้ดำ ช้ำโศกศัลย์
เหลือเเต่เราและเถ้ากลบ หลบตากัน
พร่ำรำพัน ฝันหรือจริง นิ่งงงงวย
ใครชนะ..หรือใครแพ้.. ก็แค่นี้
หลงตนดี หลงตัวไปใครจะช่วย
บ้านมอดไหม้ ใครหลายคนก็มอดม้วย
หวังใครช่วย ร่วมด้วยกันเผาบ้านเอง..
เป็นซากเศร้าแห่งเราสอง เคยมองแย้ง
ก่อนแยกแบ่งอุดมการณ์ ..รานข่มเหง
ชิงความใหญ่ ชัยชนะ ฉะกันเอง
หลงบรรเลง บทเพลงพ่าย ..ให้กันฟัง !