22 มิถุนายน 2553 09:18 น.

หัวเราะคือ.....ยาวิเศษ(3)

วิทย์ ศิริ

เรื่องที่ 3 

     "ที่รัก  คุณอยาได้รถ BMW  รุ่น Z 4  คูเป้  เป็นของขวัญวันเกิด

ปีนี้ไหมล่ะ"

     "คิดว่าไม่นะ"

"เสื้อขนมิ้งก์จากแคชเมียร์ดีไหมล่ะ"

"ไม่ค่ะ   ขอบคุณ"

"เอาอย่างนี้แล้วกัน  สร้อยเพขรพร้อมต่างหู ชุดใหญ่ ดีไหมล่ะ"

"ไม่ค่ะ     สิ่งที่ฉันอยากได้จริงๆ คือ...การหย่า  ที่เคยพูดมาเมื่อปีที่แล้ว"


"ที่รัก....แย่จัง   ผมไม่เคยคิดเลยว่าจะต้องจ่ายมากขนาดนั้น"


............................555555..........................................

ป.ล.ไปลอก (เขามาและปิดบังข้อเรียกร้องบางเรื่องที่ไม่อาจเปิดเผยต่อ
สาธารณชน)...5555......				
21 มิถุนายน 2553 21:06 น.

หัวเราะคือ.....ยาวิเศษ (2)

วิทย์ ศิริ

เรื่องที่ 2 

คุณแบน  เข้าห้องพักในโรงแรมแห่งหนึ่งและสังเกตุเห็นซาก

แมลงสาบบนพื้น  เธอรีบโทรไปแผนกบริการขอคุยกับผู้จัดการ

และโวยวายยกใหญ่

"สงบอารมณ์บ้างซิครับคุณ"ผู้จัดการตอบ

""ไหนๆมันก็ตายไปแล้วคงรบกวนคุณไม่ได้หรอก"

"ดิฉันก็มิได้กลัวตัวที่ตายไปแล้วหรอก" เธอตอบ

...."แต่กลัวพวกที่แห่ศพมันต่างหาก"

.......................555555...........................


ป.ล.  ไปลอก(เขามาเหมือนเดิมแต่ดัดแปลงนิดหน่อย)				
21 มิถุนายน 2553 12:56 น.

หัวเราะคือ.....ยาวิเศษ (1)

วิทย์ ศิริ

เรื่องที่  1

     ชายหกคนกำลังเล่นพนันบอล จู่ๆนายบิล(ขอปกปิดชื่อจริงเพื่อความเป็นส่วนตัว)
ซึ่งเสียเงิน 50,000 บาทในคราวเดียวก็กุมหน้าอกแล้วล้มลงสิ้นใจ
ชายอีกห้าคนที่เหลือก็มองหน้ากันพร้อมกับคิดว่าใครจะเป็นคนไป
บอกภรรยาของนายบิลดี  จึงตกลงจับไม้สั้นไม้ยาว   ปรากฏว่า นายมาร์ค
(ปกปิดขื่อจริงเหมือนกัน)  จับได้ไม้สั้น  เพื่อนๆก็กำชับว่าเขาต้องบอกเธอ
อย่างนุ่มนวลและค่อยๆเผยเรื่องทีละน้อย

"ไม่มีปัญหา" นายมาร์คตอบแบบไม่กังวล  เขาขับรถไปที่บ้านนายบิล
แล้วเคาะประตูบ้า  น  ภรรยาเป็นคนมาเปิดประตู

"สามีคุณเพิ่งเสียพนันบอลไป 50,000 บาท" เขาบอกเธอ

เธอแผดเสียงในทันทีว่า "บอกให้เขาเตรียมตัวตายได้เลย"

"ตกลงครับ  เดี๋ยวผมจะไปบอกเขาให้"  นายมาร์คตอบ

...........................................55555...........................................

ป.ล.  ไปลอก(เขามา).				
17 มกราคม 2553 15:06 น.

ความจริงที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

วิทย์ ศิริ

                

คัดจาก ตอนนึง ในหนังสือเรื่อง " ศิลปะแห่งอำนาจ (The Art of power)" 
ของ ติช นัท ฮันห์
หน้าที่ 114 - 115


                พระพุทธองค์ทรงเล่าเรื่องของพ่อค้าม่ายผู้หนึ่ง ที่ต้องเดินทาง
ไปทำธุรกิจ โดยทิ้งลูกชายเล็กๆไว้ที่บ้าน เมื่อเขาจากไป กลุ่มโจรได้เข้า
ปล้นและเผาหมู่บ้านจนราบคาบ เมื่อพ่อค้าผู้นั้นเดินทางกลับมาและไม่พบ
บ้านของเขา เหลือไว้แต่เพียงกองเถ้าถ่านกองหนึ่ง ในบริเวณนั้นมีซาก
ไหม้เกรียมของร่างเด็กอยู่ใกล้ๆเขาล้มตัวลงกับพื้น และร้องไห้อย่างไม่
หยุดหย่อน ทุบอกชกหัวตนเองอยู่อย่างนั้น

                 วันต่อมา เขาลุกขึ้นมาจัดการงานเผาศพให้กับร่างน้อยๆ เขา
เย็บถุงกำมะหยี่เล็กๆที่สวยงาม และเก็บเถ้าอัฐิของลูกชายใส่ไว้ในถุงนั้น 
เพราะลูกชายสุดที่รักนั้นเป็นเหตุผลเดียวที่ทำให้เขามีชีวิตอยู่ เขาพกถุง
นั้นไปกับเขาทุกที่ ไม่ว่าเวลากิน เวลานอน หรือเวลาทำงาน เขาพกถุง
นั้นไว้กับตัวตลอดเวลา แท้ที่จริงแล้วพวกโจรได้ลักพาตัวลูกชายของเขา
ไป สามเดือนต่อมา เด็กน้อยสามารถหลบหนีจากหมู่โจร และกลับคืนสู่
หมู่บ้านได้ เด็กชายมาถึงบ้านประมาณตี 2 เขาเคาะประตูบ้านใหม่ที่พ่อ
สร้างขึ้น พ่อผู้น่าสงสารกำลังนอนร้องไห้อยู่บนเตียง ในมือยังถือถุงอัฐิไว้ 
เขาร้องถามออกไปว่า "นั่นใครอยู่ข้างนอกนั่น" 
"หนูเอง ลูกของพ่อไงจ๊ะ"
ผู้เป็นพ่อตอบไปว่า 
"เป็นไปไม่ได้ ลูกชายข้าตายไปแล้ว ข้าเผาศพของเขาเอง แล้วยังพกอัฐิ
ของเขาไว้กับตัวข้า เจ้าต้องเป็นเด็กซุกซนที่คิดมาหลอกข้า ไปให้พ้น
 อย่ามารบกวนข้าอีก" 
เขาไม่ยอมเปิดประตู ลูกชายไม่สามารถเข้าไปในบ้านได้ จึงต้องเดินจาก
ไป ผู้เป็นพ่อได้สูญเสียลูกชายไปชั่วนิรันดร์

                 หลังจากเล่าเรื่องนี้ พระพุทธองค์ได้ตรัสว่า 
"หากเธอยึดถือเอาแนวคิดหรือความคิดเห็นใดๆว่าเป็นความจริงอันสูงสุด 
เธอได้ปิดประตูแห่งจิตใจของตัวเอง และนั่นคือจุดสิ้นสุดของการเสาะ
แสวงหาความจริง เธอไม่เพียงแค่หยุดแสวงหาความจริงเท่านั้น แม้
ความจริงมาปรากฏอยู่ตรงหน้าและเคาะประตูบ้านของเธอ เธอก็ยังไม่
ยอมเปิดประตูรับมัน การยึดมั่นถือมั่นในทรรศนะ การยึดมั่นถือมั่นใน
แนวความคิด และการยึดมั่นถือมั่นในความคิดเห็น นั้นคืออุปสรรค
ขวางกั้น



....................ความจริงที่ยิ่งใหญ่ที่สุด				
26 กรกฎาคม 2552 22:44 น.

สวนสาธารณะแห่งวรรณศิลป์

วิทย์ ศิริ

          สวนสาธารณะแห่งวรรณศิลป์


          สวนสาธารณะแห่งนี้เป็นที่ทราบกันดีของคนที่เข้ามาชนสวนหรือเดินเล่น
ในสวนโดยมีความประสงค์คล้ายๆกัน........เพราะเป็นสวนที่เราใช้เป็นลาน
สาธารณะในยามเหงา, เศร้า,ดีใจ, เสียใจ, ท้อแท้,และอีกหลายๆอารมณ์
รวมถึง....การแสวงหาตนเองโดยสื่อออกมาในรูปแบบของวรรณศิลป์ที่ขับกล่อม
เป็นร้อยแก้วและร้อยกรองจากใจสู่ใจ


          คนที่มาชมสวน...บ้างก็เดินมาแล้วก็ผ่านไป  บ้างก็เปิดเผยตัวตนในรูปแบบของความรู้สึกในส่วนที่ต้องการสื่อสารกับคนอื่นๆในสวนฯ    จาการที่มา
ชนสวนผ่านอักษรสานสัมพันธ์โดยการทักทาย  เริ่มจากการเป็นคนแปลกหน้า
ต่างถิ่น  ก็ค่อยๆสร้างเสริมความเข้าใจทีละเล็กละน้อยจนกลายเป็นคนรู้จัก
....คนคุ้นเคย...กระทั่งกลายเป็นคนรู้ใจก็เป็นได้....เป็นเพื่อนปลอบใจในหลายสถานการณ์ที่เคยอุบัติขึ้นในสวนฯแห่งนี้      เป็นปรากฏการณ์รูปแบบใหม่ของสังคมไร้พรมแดนบนความนิยมชมชอบสิ่งเดียวกัน.....นั่นคือ...วรรณศิลป์
ที่สร้างสรรค์ได้อย่างต่อเนื่องเป็นความสุขรูปแบบหนึ่งที่มอบให้แก่กัน


          สวนฯแห่งนี้.... ที่หลายคนก็เหมือนคนกันเองที่สนิทกันมากขึ้นที่มา
พักผ่อนเดินเล่นสวนฯนี้เป็นประจำ   บางขณะก็สามารถจับกลุ่มกันเล่นตระกร้อ
ได้อย่างสนุกสนาน  เพลินเพลิน...ทำให้คนที่มาชมสวนฯ ทีหลังก็อดแปลกใจ
ไม่ได้เหมือนกันคงเป็นเพราะเป็นสวนฯแห่งวรรณศิลป์กระมั่งที่เป็นมากกว่า
การวิสาสะแบบพื้นๆเมื่อเปรียบกับแวดวงสังคสมไร้พรมแดนที่อื่นๆ  แต่มิได้
หมายความว่า  เหนือกว่าสังคมอื่นๆ   เพียงแต่  สวนฯนี้มีเอกลักษณ์ที่แตกต่างออกไปอย่างชัดเจนจากอัตลักษณ์ของสังคมอื่น และบางครั้งกลายเป็น
แรงบันดาลใจให้คนชมสวนที่เพิ่งเข้ามาเดินทอดน่องคนอื่นๆได้เข้ามารวมเสวนารวมทั้งเป็นส่วนหนึ่งของสวนแห่งวรรณศิลป์ด้วยคนไปโดยปริยาย


          ในสวนฯนี้กอรปด้วยมวลพฤษชาติ  ดอกไม้นานาพรรณ มีแกบทุกลักษณะ
ของความสวยงาม   อาจมีบ้าง บางมุมของสวนฯที่ดูไม่สวยงามอยู่บ้างก็ต้องอาศัยคนชมสวนด้วยกันและอาจรบกวนคนดูแลสวน  ช่วยกันดูแลให้เรียบร้อยและเหมาะสม     รวมถึงแมลงหลากหลายชนิด  ผึ้งก็มี  ผีเสื้อก็มี  เพลียหนอนก็ยังมีบ้าง.........เป็นเรื่องธรรมดาที่เราๆท่านๆเคยพบเห็นในสวนฯ แห่งอื่นๆเช่นกัน..............เป็นสังคมที่ยอมรับได้ถึงความแตกต่าง  หากความแตกต่างนั้น
ไม่ได้ก่อให้เกิดมลภาวะแก่จิตใจส่วนรวมมากนัก


           บางครั้งสวนฯแห่งนี้ก็มีบ้างที่ถูกปกคลุมด้วยเมฑหมอก, ฝน, ลมพายุ จากมวลอากาศที่แปรปรวน   ฟ้ามืดครึ้มบางช่วงบางขณะ  ก็เป็นธรรมชาติของทุกๆสิ่งที่มีการตื่น  การหลับไหล  รวมทั้งครึ่งหลับครึ่งตื่นตามสภาวะธรรมชาติที่เข้าใจได้


           บางครั้งหากมีเรื่องเสวนาหรือความเห็นที่ไม่ตรงกัน อาจนำไปสู่ความขัดแย้ง  และเป็นประเด็นปัญหาที่แตกต่างจากจุดมุ่งหมายหรือวัตถุประสงค์ของการก่อเกิดสวนฯแห่งนี้......ผู้ดูแลสวนก็แสดงบทบาทผู้จัดการดูแลสวนฯได้อย่างเหมาะสมที่ผ่านมา


          ในฐานะของคนชมสวน...ก็พูดกับตัวเองว่า...เช่น...คำว่า  "ไม่เป็นไร"  
"พอทนได้"  "ลืมเสียเถิด"    ที่เคยได้ยินมาก็นำมาใข้ได้ในการชมสวนหรืออยู่ในลานกลางสวนเพราะในการดำเนินชีวิตในแต่ละวันก็ต้องสะกดใจตังเองกับความรู้สึกต่างๆที่กระทบจิตใจไม่ให้ติดยึดกับอารมณ์ขุ่นมัวต่างๆหรือคล้ายตามกับอารมณ์ดีใจอย่างเด่นชัดเพราะ บางครั้งอาจไม่เป็นอารมณ์เดียวกันกับคนรอบข้าง  ซึ่งอาจทำให้เสียบรรยากาศเปล่าๆ


         การหลงเสน่ห์ของสวนฯแห่งนี้หรือเรียกว่าความประทับใจน่าจะถูกต้องกว่าเพราะทุกๆคนในลานกลางสวนฯล้วนมีไมตรีจิตและมีความเข้าอกเข้าใจโดยผ่านตัวอักษรที่ร้อยเรียงอย่างมีศิลปะ หรือการให้กำลังใจที่สัมผัสด้วยประโยคเพียงบางประโยคแต่ก็มากด้วยคุณค่า  รวมถึงความขัดแย้งกรณีถ้ามีก็มีการประนีประนอมได้อย่างน่าชื่นชม


          ที่สังเกตุได้จากลงสวนฯของหลายๆคนก็หลายๆลีลา  มีความแตกต่างของรูปลักษณ์วรรณศิลป์ที่งดงามน่าติดตาม  น่าค้นหา   ...รวมถึงจินตนาการหลากหลาย
สุดที่จะคาดเดาได้  บ้างก็เป็นเอกทางด้านธรรมลีลา   บ้างก็บันเทิงลีลา  บ้างก็นิราศ  และอื่นๆ  กระทั่งจินตลีลา....สุดบรรยายจริงๆ


          ตามที่ทราบกันดี  สวนฯปห่งนี้ไม่เคยปิด...เหมือนร้านเซเว่นฯ ยกเว้น
วันที่ผู้ดูแลสวนหรือเจ้าของสวนเกิดเปลี่ยนใจไปทำอย่างอื่นแทน  อันนี้ช่วยไม่ได้ครับ


          อนึ่ง ในฐานะคนชมสวนฯ บางก็อยู่กลางสวน ก็ชื่นชมในมิตรภาพที่งดงามที่มอบให้แก่กัน  ทุกวรรณศิลป์ได้ถ่ายถอดสารัตถะที่มีคุณค่า  เป็นงานสร้างสรรค์
ที่เขียนด้วยใจรักกันทุกคน         สิ่งหนึ่งที่เตือนตัวเองตลอดเวลา......การคาดหวังว่าสิ่งนั้นสิ่งนี้ในวรรณศิลป์แห่งนี้จะสามารถเติมเต็มช่องว่างในสิ่งที่ตัวเองคิดว่าขาดหายไป  ซึ่งจะกลายเป็นว่าเอาตัวเองไปยึดติดหรือผูกมัดกับความเป็นไปในบทร้อยแก้วหรือร้อยกรองเหล่านั้น....อาจกลายเป็นการเนรมิตความสุขที่ปรุงแต่งขึ้นเองโดยมิได้ตั้งใจก็เป็นได้   หากแต่ต้องวางใจให้เป็นกลาง  เปิดกว้างกับทุกความเห็น  ทุกความรู้สึก  ด้วยความสุขุม   ทั้งหมดเป็นการบอกตัวเองรวมถึงการปรับตัวให้เข้ากับคนอื่นหรือเข้ากับเหตุการณ์  มิได้คาดหวังให้คนอื่นปรับตัวเข้าหาตัวเอง.......................(ความเห็นของคนชมสวนฯคนหนึ่ง)				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟวิทย์ ศิริ
Lovings  วิทย์ ศิริ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟวิทย์ ศิริ
Lovings  วิทย์ ศิริ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟวิทย์ ศิริ
Lovings  วิทย์ ศิริ เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงวิทย์ ศิริ