28 มีนาคม 2553 22:32 น.
วิทย์ ศิริ
ระบายภาพ...ความว่าง กลางสายฝน
ไร้ผู้คน วนเวียน เพียรเสาะหา
หวังที่รัก จำเรื่องราว คราวฝนมา
สองอุรา ฝ่าสายฝน บนทางใจ
ระบายภาพ...เขียวขจี ที่กลางทุ่ง
ลำแสงรุ้ง พุ่งพาดผ่าน ม่านเมฆใหญ่
ฟ้าหลังฝน บนฟ้าคราม งามวิไล
เรืองแสงทอง ผ่องอำไพ ไกลสู่สรวง
ระบายภาพ...งามบุปผา พารัญจวน
ใจปั่นป่วน หวนคนึง ถึงแดดวง
มิอาจแสร้ง แกล้งไม่สน ปนห่วงหวง
สิ้นหลอกลวง ตวงตัก รักล้นใจ
ระบายภาพ...แสงแดด แรงเจิดจ้า
ฟ้าเหลืองทอง มองสุดหล้า ฟ้าแดนไกล
เป็นนิมิต จิตสว่าง ทั่วร่างไท
รักนี้ไซร้ ไร้มืดมน กมลกานต์
ระบายภาพ...ผาสูงชัน อันยิ่งใหญ่
แหล่งน้ำตก เกรียงไกร ใครกล่าวขาน
งามจารึก เสียงกึกก้อง ห้องปราการ
สิ้นลมปราณ ดวงมาลย์นี้ ที่จดจำ
28 มีนาคม 2553 00:07 น.
วิทย์ ศิริ
ความวุ่นวาย มากมาย หลายสถาน
สถานการณ์ แหลมคม ซ่อนปมเงื่อน
รานรุกราก หมากกล บนทางเถื่อน
สามัคคึ รางเลือน เปื้อนฝุ่นฝน
ความมักใหญ่ ใฝ่สูง ตัวจูงใจ
หมายอำนาจ กิเลสใคร่ ในกมล
เพราะลิ้มรส จรดลิ้น แลดิ้นรน
ล้วนตัวตน ยึดมั่น กำปั่นหนา
ความแตกต่าง เกิดได้ ใช่เรื่องแปลก
แต่แตกแยก แหลกลาญ ใช่หาญกล้า
ก่อวิบัติ พลัดพราก ทุกข์ยากนา
พสุธา จารึก ทำศึกเอง
ความสับสน ปนเป เล่ห์เหตุผล
แสร้งอวยชัย อดทน พ้นยำเกรง
อัปยศ ชนชั้น นั้นข่มเหง
โหมเพลิงเพลง เท่าเทียม เปี่ยมความฝัน
ความขัดแย้ง ทางแพร่ง แกร่งเหลือหลาย
สั่งสมสร้าง ยากทำลาย มลายพลัน
สุดเยียวยา สาละวน จนนานครัน
ซ้ำมัวเมา ดึงดัน ให้หวั่นภัย
ความวิบัติ เด่นชัด อาจรัดตรึง
พินาศถึง รากฐาน การเมืองไทย
เป็นคราวเปลี่ยน ระบอบ กรอบ...ธิปไตย
ล้านดวงใจ สลดยิ่ง สิ่งฉกรรจ์
ความเข้าใจ บริบท พจน์วาทะ
ผู้ชนะ นั้นไซร้ นัยสำคัญ
แต่งเติมต่อ ก่อสำเร็จ จริงเท็จมั่น
ล้วนเย้ยหยัน ผู้แพ้ ธาตุแท้ใจ
ความจริงแท้ แน่สนิท เป็นมิตรธรรม
เสวยกรรม สถิตล้ำ ค้ำสมัย
ใครเรียนคัด เขียนบรรทัด สุดท้ายไป
การเมืองไทย เดินทางแพร่ง แห่งกงเกวียน
14 มีนาคม 2553 15:55 น.
วิทย์ ศิริ
นับเนื่องมา คราเก่าก่อน ตอนรู้จัก
ปลื้มเจ้านัก รักแนบกรุ่น อุ่นแอบใจ
เจ้าบอกข้า ท้าพนัน ข้าต้องใหญ่
วาสนา พาเกริกไกร ในผู้คน
เพียงเชื่อฟัง สั่งสม คมในฝัก
สอนรู้จัก มักคุ้น คุณเล่ห์กล
หัดสร้างภาพ ลาภยศ กดขี่คน
ตราบสังขาร มารผจญ ยลเทิดทูน
เพียงทำตาม ความอยาก มากทวี
ปลื้มชีวี มีตัณหา มาเกื้อกูล
เพิ่มราคะ เสริมบารมี ทวีคูณ
สิ้นอาดูร อาลัย ใจด้านชา
เพียงยกย่อง มองตัวเอง ก่อนเกรงเพื่อน
ซ่อนความเถื่อน เลื่อนฐานะ เกลื่อนมายา
ปล่อยตามใจ ในกิเลส เลศพรรณนา
ปรารถนา แต่'อัตตา' พาก้าวหน้า
ถึงเวลา ใจแกล้วกล้า ขอท้าสู้
หวังกอบกู้ รู้เภทภัย ใจหาญกล้า
ศึกราวี ที่ยิ่งใหญ่ ในโลกหล้า
เผชิญหน้า รุกฆาต มาดอาจอง
เพราะวันวาร กาลก่อน อ่อนกำลัง
จิตพลัง ใฝ่ดี ที่มึนงง
เหตุปล่อยเจ้า เข้าครอบงำ ค้ำมั่นคง
จำต้องปลง ลงดาบ ปราบก่อนตาย
ส่งสาส์นเทียบ เปรียบท้าเจ้า เข้าสัประยุทธ์
เกียรติมนุษย์ หยุดวิโยค โฉดเฉิดฉาย
เหตุจองจำ กรรมทั้งหลาย ต้องสลาย
เซ่นทำลาย สันดานใจ ในเถือกเถา
ถึงแม้เจ้า สิงสู่ อยู่ที่มืด
อำพรางร่าง กร่างยืด ขึงพืดเรา
สร้างภาพลวง สรวงวิมาน มานานเนา
เหตุขลาดเขลา เอาประโยชน์ โปรดปรานใจ
อันรุจี แสงสุรีย์ ที่เหินห่าง
กลับส่องทาง มองร่าง กลางหทัย
หมายประหาร มาร 'อัตตา' ให้บรรลัย
สิ่งสาไถย ไกลออกไป ในชีวี
ด้วยคาถา ธรรมบท กฎเหนือหล้า
ทรงคุณค่า กว่าภพหน้า ถ้าหากมี
สู้ต่อกร รอนราน มานานปี
บนวิถี จนปรากฏ ....กลบสู่ดิน
12 มีนาคม 2553 21:02 น.
วิทย์ ศิริ
มิติที่ซ่อนเร้น จินตนา
มนุษย์สุดบูชา อยากได้
ไกลพ้นกว่าตำรา กำหนด จิตใคร่
อมตะนั้นแน่ไซร้ โลกนี้ มีฤา
ด้วยยึดติดจิตแท้ หลงผิด
โทษที่ไม่ยั้งคิด ไป่สิ้น
ลวงกระทั่งดวงจิต ฝืนกฎ
เจตคติที่ปล้อนปลิ้น ปล่อยให้ ลุ่มหลง
เหตุยึดถือต่อสู้ ความตาย
คนย่อมเล็งมุ่งหมาย หยุดยั้ง
สร้างอวัยวะปลูกถ่าย อมตะ สัมฤทธิ์
ล้วนประดิษฐ์ฉุดรั้ง อยู่ค้ำ ฟ้าดิน
หากอยู่ยงภพย้ำ จีรัง
ทุกสิ่งสิ้นมนต์ขลัง เคลือนพ้น
ไม่เห็นซึ่งความหวัง เกิดใหม่ ท้าทาย
เหตุที่เคยท่วมท้น จบแท้ วังเวง
มีชีวิตอยู่ค้ำ นานปี
บาปทุกข์ชั่วเลวดี ค่าไร้
หมายมั่นจบเสียที วัฏจักร ธรรมชาติ
หากกบฎต่อโลกไซร้ สุดท้าย ใจชา
เพราะอัตตาแน่แท้ อนัตตา
ทุกข์ยิ่งใหญ่ตามมา บ่งชี้
หายนะแห่งวิญญา จุดจบ
ชีวิตเป็นเช่นนี้ ไม่พ้น สัจจธรรม