19 กุมภาพันธ์ 2553 20:30 น.

อนุทิน...ข้ามภพ

วิทย์ ศิริ

      ภพก่อน.....................

    สุดคาดเดา  เงาเรือนร่าง  ทางสัญจร

เรื่องเหตุการณ์  ม่านละคร  วอนบอกที

กาลชื่นมื่น  ตื่นหรือฝัน  มั่นฤดี

หมายชีวี  ที่สร้างสรร  ' ฉันรักเธอ'


    ภพที่แล้ว  คงไม่แคล้ว  แว่วสัญญา

กาลผ่านแสง  แห่งสารถี  ที่พบเจอ

ร่างแห่งทิพย์  พิศมัย  ใจเสนอ

รักนั้นฤา  เธอใช่ใหม  ในทรงจำ


      ภพนี้............................

    นับเนื่องมา  ครารู้จัก  รักถามหา

วันเวลา  พาสนิท  ชิดถ้อยคำ

ต่างปลุกปลอบ  มอบจริงใจ  ในกระทำ

ล้วนหนุนนำ  อำนาจรัก  จักสำแดง

    เหตุแห่งรัก  ภักดีไซร้  ในสัญญา

ลักขณา  พาสวยสด  หมดระแวง

เหตุทั้งผอง  ตรองถ้วนถี่  ที่แสดง

รักแสวง  แรงศรัทธา  สง่างาม


      ภพหน้า......................

    ภาพความหวัง  ยังคนึง  ถึงภพหน้า

แม้นโลกหล้า  ท้าทุกข์สุข  ทุกโมงยาม

ย่อมต้องพราก  จากอุระ  ประจักษ์ความ

ดั่งประนาม  ความจีรัง  ชั่งพกลม

    หากนิมิต  จิตพิศวาส  วาดหวังได้

กระแสใจ  ในรักแท้  แผ่สร้างสม

สุ่สายธาร  กาลวิจิตร  ชิดเชยชม

เนื่องอารมณ์  พรมทั่วร่าง  กลางใจเอย 				
11 กุมภาพันธ์ 2553 20:41 น.

คำสัญญา กับ ความรู้สึก...ในรัก

วิทย์ ศิริ

      เอ่ยคำมั่น  คำสัญญา  มาจากใจ

ด้วยหทัย  เปี่ยมรัก  ภักดิ์ภิรมย์

ด้วยวาทะ  ตระหนัก  รักเชยชม

ล้วนคารม  เพราะพริ้ง  มิ่งขวัญเอย


      คำสัญญา  พาผูกมัด  รัดใจไว้

ด้วยฝันใฝ่  ในวันคืน  ชื่นสุขเคย

ด้วยวจี  อธิษฐาน  กาลผ่านเลย

ล้วนชมเชย  เอ่ยประสงค์  ตรงความนัย


      นิยามไว้  ในคำมั่น  คำสัญญา

ช่วงเวลา  ลาจากกัน  มากห่วงใย

ช่างถวิล  ยินกับหู  คู่หทัย

มั่นหมายใจ  ในความสุข  ทุกข์แบ่งเบา


      หากเอ่ยถาม  ความรู้สึก  ลึกในใจ

ต่างย่อมรู้  อยู่ในทรวง  ลวงใครเล่า

ต่างซ้อนเร้น  เป็นสมบัติ  มัดตัวเรา

ต่างขลาดเขลา  เงาแห่งรัก  ประจักษ์พยาน


     รักรู้สึก  ผนึกแน่น  แคว้นกมล

ย่อมเวียนวน  ยลติดตรึง  ถึงชั่วกาล

ย่อมอยู่ล้ำ  ค้ำสถิต  จิตต้องการ

เพียงเข้าใจ  ในดวงมาลย์  สานสายใย				
4 กุมภาพันธ์ 2553 14:56 น.

หลับตา...อัตตา...จิตตา สาม มิติแห่งปราการที่แตกต่าง

วิทย์ ศิริ


หลับตา: ครรลองที่เริ่มต้น

อัตตา  : วิกฤตที่ท้าทาย

จิตตา  : อานุภาพที่ซ่อนเร้น


หลับตา : ...ทุกครั้งที่เหนื่อยล้า
                     ร่างกายนี้ปรารถนาการเยียวยา
                     วิธีหนึ่งที่แยบยล...เพียงหลับตา
                     ลดเปลือกตาลง...จนแสงสว่างถูกม่าน
                     แห่งอายตนะปิดลง...ถูกขจัดอย่างสิ้นเชิง

หลับตา : ...ทุกครั้งที่ใจนี้ปวดร้าว...ไม่อาจอธิบายให้ใครเข้าใจได้
                     อีกครั้งที่ต้องการหยุดความปวดร้าวนั้น...ความรู้สึก
                     ที่กัดกร่อนจิตใจ...ให้โอกาสแก่ข้าพเจ้าได้
                     ปิดความรู้สึก...ความคิดนั้นด้วยการหลับตาให้อยู่
                     ภายใต้วิถีการอธิษฐานและสวดมนต์ภาวนา...
                     ได้กำหนดลมหายใจ...เข้า...ออกอย่างช้าๆตามจังหวะ
                     แห่งธรรมชาติของชีวิต ด้วยเถิด

หลับตา : ...เพื่อปลดปล่อยความเหนื่อยล้า,ความปวดร้าว
                     กระทั่งอารมณ์แห่งความไม่สมหวังต่างๆนานาที่ถูก
                     กักขังอยู่ในความรู้สึก...ให้สูญสิ้น หรือให้กลายเป็น
                     ผงธุลีจุณแห่งเมฆหมอกขาวที่ล่องลอยบนแผ่นฟ้า
                     เบื้องบนสุดที่กระจัดกระจายทั่วพิภพนี้...ตลอดไป

หลับตา : ...เพื่อที่จะได้ทบทวนและหวนคิดถึงเหตุและผล
                     อีกครั้ง ทุกอย่างย่อมเกิดจากเหตุและเกิดผล
                     ตามมาหลังเกิดเหตุปัจจัย ความบังเอิญไม่มีใน
                     พุทธวจนะ มีแต่เหตุปัจจัยเป็นชนวนเหตุ(บังเอิญ)
                     เป็นปฐมการณ์ของกรรมนำไปสู่ผล...ผลแห่งกรรม

หลับตา : ...เป็นปราการเริ่มต้นที่เราสร้างขึ้นเองในบัดดลได้
                     ...เพื่อเริ่มต้นสู่ความสงบแห่งจิต...ก่อให้เกิดสติหนุน
                     เนื่องสู่สมาธิ...ที่จะนำไปสู่การรู้จักที่อยู่ของ"อัตตา"
                     ...ตัวตนที่ถูกครอบงำด้วยกิเลสนานัปการที่อยู่ใน
                     ก้นบึ้งแห่งธรรมชาติของจิตใจมนุษย์ที่ยังไม่ตื่นจาก
                     หลับใหล...และหาหนทางขจัด...เพื่อให้หลุดพ้น
                    (ชั่วคราว)


อัตตา : ...ร่างอันทรนง...ยิ่งใหญ่...ก่อกำเนิดพร้อม
                   กับการอุบัติขึ้นของจิต...ซึ่งมิอาจมองเห็นด้วยดวงตา
                   แห่งกิเลส..ซึ่งใครเล่าเป็นผู้ประทานจิตและอัตตา...
                   สองสิ่งนี้ให้แก่เรา...
                   ...มันคงเป็นธรรมชาติดั้งเดิมของสรรพชีวิต...โดย
                   ที่เราเองไม่อาจทราบที่มา...และที่สุดท้ายของ
                   การดำรงอยู่

อัตตา : ...ที่คิดไปว่า" คนอื่นเข้าใจฉันและฝันว่าฉันก็
                  เข้าใจตัวเองได้อย่างถ้วนทั่ว"  ดั่งคำกล่าวของปราชญ์
                  เมธี ' คาริบ ยิบราล' ...ซึ่งเป็นข้อสังเกตุที่น่าฟังและน่าคิด

อัตตา : ...จะไม่เป็นเสาหลักของความเห็นแก่ตัวก็คง
                   ไม่ได้...มันน่าจะเป็นถึงรากฐานของความเห็นแก่ตัว
                   ในจิตใจมนุษย์ด้วยซำ
                  ...จะมีสักกี่ครั้งที่เราคิดจะทำเพื่อคนอื่นโดยที่เราไม่คำนึง
                   ถึงความรู้สึกของตนเองก่อน...ตัวเอง...เราเอง ที่พร้อม
                   หรือยังที่กล้าเสียสละ...พร้อมอุทิศ...ยอมรับความ
                   เจ็บปวดหรือความสุขจากการให้ด้วยการเข้าถึง
                   สภาวะแห่งความบริสุทธิ์ของจิตใจโดยปราศจาก
                   ข้อกังขาในเหตุและผลแห่งการกระทำนั้นๆและด้วย
                   ความเข้าใจอย่างถ่องแท้และลึกซึ้ง กับ คนอื่นหรือคนรอบ
                   ข้าง, คนรัก, สมาชิกในครอบครัว รวมถึง บุพการี
                   และญาติพี่น้องของเรา มาเก็บซ่อนไว้ในใจด้วยความ
                   เงียบสงัดโดยไม่ปริปากและความยินดีโดยดุษฎีกระทั่ง
                   บริบทสุดท้ายของชีวิต

อัตตา : ...หากไม่อยู่ในสองสถานของการรับรู้ที่ว่า 
                   " คนอื่นเข้าใจฉัน และฉันเข้าใจตนเอง " ก็
                   คงเหลือรวมเป็นสถานเดียวที่อัตตาแห่งชีวิตของ
                   คนเราจะดำรงอยู่อย่างจีรัง โดยกำเนิดลิขิตบนผิวน้ำ
                   เรียบใส...ผลจากการลิขิตนั้น...ย่อมไม่ปรากฏ
                   รอยจารึกใดๆแห่งอัตตาบนผิวน้ำได้อย่างแน่นอน 
                   ณ ที่นั้น...โอกาสแห่งความเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงอัตตา
                   ที่จะบังเกิดขึ้นโดยปราศจากการปรุงแต่งอีกต่อไป...
                   ลงท้ายที่ปลายสุดของ ความว่างเปล่า

อัตตา : ...เป็นปราการที่สร้างอย่างแข็งแกร่งประกอบ
                   ด้วยกำแพงเหล็ก ซึ่งไม่ยอมให้แม้แต่น้ำซึมผ่าน
                   ได้โดยง่าย...แม้แต่การกัดเซาะก็ยากลำบากยิ่ง
                   ...กว่าที่น้ำจะเล็ดรอดผ่านไปได้ หรือกัดเซาะจนเกิด
                   สนิมแห่งการสลาย
                   ...ปราการที่บดบังทัศนียภาพทั้งสองฝากฝั่ง อัตตาที่
                   ไม่เคยคิดจะหันหลังกลับ...ไม่สามารถเป็นอิสระ
                   จากสิ่งเร้าภายนอก...ยึดติด...ผูกมัดด้วยตัวมันเอง 
                   ทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว...ไม่เคยคิดหรือสังเกตุด้านบน
                   ของอัตตา ที่มีความคิดที่ปลอดโปร่งล่องลอย
                   อยู่...บางครั้งก็เกิดแสงเป็นเงาระยับ เมื่อแสงแห่ง
                   ความคิดอันวิสุทธิ์ได้ตกกระทบปราการแห่ง
                   กำแพงเหล็กนั้น
                   
                   ...และสุดท้ายของอัตตา...คงไม่แตกต่างกับรากเหง้า
                      แห่งความทุกข์ที่ซ่อนตัวอยู่


จิตตา : ...อานุภาพที่ยิ่งใหญ่ที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังอัตตา
                   และเป็นความลับสุดเร้นของสติและสมาธิ...เฉกเช่น
                   บ่อเกิดแห่งปัญญาที่นำเราไปสู่จุดหมายของชีวิต
                   ที่ปราศจากอวิชชาด้วย ไตรสิกขา(ศีล, สมาธิ, ปัญญา)
                   ในพุทธวจนะ...ซึ่งเป็นมากกว่าวิทยาศาสตร์
                   และอยู่เหนือกาลเวลา
                   ...จากอานุภาพสู่พลานุภาพของคนๆหนึ่งซึ่งรู้แจ้ง
                   ด้วยปัญญาที่ก่อเกิดรวมกันเป็นเอกภาพแห่ง 
                   ' จิตตานุภาพ ' ที่มนุษย์พึงสามารถใช้เป็นเครื่องมือ
                   ก้าวล่วงไปได้...สู่ความเป็นอิสระจากอวิชชาทั้งปวง
                   ...ความไม่รู้...อีกนัยหนึ่งของอวิชชา...อันเป็น
                   บ่อเกิดแห่งการเกิด...การตายของทุกสิ่งที่กลาย
                   เป็น' สังสารวัฏ '

จิตตา : ...คงไม่เป็นคำกล่าวที่เกินจริง...หากใครคน
                   หนึ่งได้ตระหนักในจิตตานุภาพโดยมีธรรมานุสติ 
                   เป็นสสารแก่นแท้ของชีวิตนำพาไปสู่ความหลุดพ้น
                   จากการยึดติดในโลกสมมติ และอีกก้าวของความ
                   นึกคิดที่กอปรด้วย ' อุเบกขา' ...จิตที่ปล่อยวางจากอบาย
                   แห่งอารมณ์ทุกรูปแบบย่อมเป็นหนึ่งในธรรมานุสติ
                   ที่ส่งผลต่อ การกระทำของคนเรา

จิตตา : ...ย่อมอยู่เหนือคำบรรยายถึงพลังอันยิ่งใหญ่ที่
                   สามารถเนรมิตสิ่งต่างๆในชีวิตในโลกแห่งธรรม ที่
                   เหนือความคาดหมาย...นั่นหมายถึง...ความมุ่งมั่น
                   แห่งจิตใจที่ยิ่งใหญ่ที่มีความเพียรเป็นสรณะน้อมนำ
                   ไปสู่อานุภาพที่ซ่อนเร้น

จิตตา : ...หากผู้ใดเข้าถึงจิตตานุภาพย่อมหมายถึง 
                   โอกาสทอง ในชีวิต...ซึ่งอาจเป็นเพียงครั้งเดียว
                   ในช่วงชีวิตของคนเราที่จะบรรลุถึงธรรมะ...ซึ่ง
                   เป็นสัจจธรรมสิ่งเดียวที่สถิตอยู่ในธรรมชาติรอ
                   ผู้ใดผู้หนึ่งค้นพบ และเป็นปรากฏการณ์แห่งอดีต
                   ที่พระพุทธโคดมได้ตรัสรู้และทรงไว้ซึ่ง มุทิตาจิต
                   ที่ยิ่งใหญ่โปรดแก่มนุษย์ในโลกสมมตินี้สำหรับผู้ใด
                   ก็ตามที่เข้าถึงจิตตานุภาพของตนเองในการที่จะใช้
                   ความเพียรที่ไร้ซึ่งกาลบรรจบ เดินตามรอยพระบาท
                   ของพระพุทธองค์จวบจนสิ้นแสงแห่งวัฏฏสงสาร
                   ...กลายเป็นบุคคล ' นิรกาล '

จิตตา : ...อีกหนึ่งองค์ประกอบที่มีค่าอนันต์ของ
                   จิตตานุภาพของคนเราที่น้อยคนเหลือเกิน
                   จะบรรลุได้..." การให้อภัย " ...ซึ่งเป็นทุกสิ่ง
                   ทุกอย่างที่จะทำให้จิตใจเป็นอิสระ...จิตใจที่มี
                   พลานุภาพที่บริสุทธิ์และทำให้สิ่งที่ทำให้จิตใจ
                   รู้สึกขุ่นเคืองทั้งหมดกลายเป็นโมฆะ
                   ในที่สุด แม้เราอาจไม่สามารถอภัยในสิ่งเลวร้าย
                   ต่างๆที่เขาทำกับเราแต่เราอภัยในฐานะความเป็น
                   มนุษย์ที่มี โลภ โกรธ หลงเหมือนเรา
                      อนึ่ง อิสรภาพสูงสุดเกิดได้จากสันติสุขภายในจิตใจ
                   เท่านั้น

จิตตา : ...เป็นปราการที่สร้างขึ้นได้เพื่อปกป้อง
                   ให้ผ่านพ้นแรงกิเลส, ตัณหา, อุปทานและอวิชชา
                   ทั้งปวง และต่อเมื่อ จิตนั้นได้รับการพัฒนาไปสู่
                   นิรัติศัยแห่งการเข้าใจอย่างถ่องแท้ในสภาวธรรมที่
                   ปราศจากการเกิดและการดับแห่งชีวิต...เหนือสิ่งอื่นใด 
                   หากสามารถกำหนดจิตใจให้เป็นใหญ่เหนืออัตตา 
                   เมื่อไรก็ตาม เมื่อนั้นการบรรลุวิมุติผล
                   ย่อมเป็นที่ประจักษ์แก่ร่างแห่งวิญญาณของทุกผู้ทุกนาม


               ทั้งหมดนี้เป็นการกล่าวถึงสภาวธรรมของการหลับตา, อัตตา
, จิตตาในทัศนะคติของข้าพเจ้าที่ได้ประมวลมา และผูกโยงกลาย
เป็น 3 ปราการที่ตนเองศึกษาเพื่อหาช่องทางที่จะล่วงรู้และสร้างความ
เข้าใจ  ในเรื่องที่เขียนมานี้ ข้าพเจ้าเป็นเพียงผู้ศึกษาธรรมคนหนึ่ง 
มิบังอาจเป็นผู้รู้ด้วยประการทั้งปวง

               อนึ่ง, สภาวธรรมดังกล่าวอาจมีข้อโต้แย้ง ถึงการมีอยู่จริง
หรือไม่มีก็ตามหรือทุกสิ่งอาจเป็นเพียงสิ่งสมมติ หากแต่ธรรมชาติ
เป็นหนึ่งเดียวที่ดำรงอยู่และปรับเปลี่ยนด้วยตัวมันเองเพื่อความคง
อยู่ตลอดไป และหากธรรมชาติจะสูญสิ้นไปก็ด้วยการรับรู้ของมนุษย์
เองต่างหากที่บังอาจและสามารถในการถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดได้ 
และมีเป้าหมายเพื่อเอาชนะธรรมชาติ สุดท้ายของสุดท้ายของสิ่ง
ที่ดำรงอยู่อย่างอสงไขย คงไม่ใช่มนุษย์อย่างเราๆแน่นอน

               (ถึงแม้มนุษย์จะเป็นสิ่งมีชีวิตที่ทรงปัญญาเหนือสิ่งมีชีวิตทั้งปวง
ตามความเข้าใจของมนุษย์เอง แต่ก็เป็นเพียงสิ่งมีชีวิตอย่างหนึ่งใน
สิ่งมีชีวิตอีกหลายล้านชนิดที่เคยอุบัติขึ้นในจักรวาล ธรรมชาติแห่งนี้)

               " ประสบการณ์ที่แท้จริงในวิถีแห่งธรรมเท่านั้นที่
ยิ่งใหญ่เหนือกว่าจินตนาการทั้งปวงในความเป็นมนุษย์ "
                   

                           --------------------ooooooooo---------------------




























				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟวิทย์ ศิริ
Lovings  วิทย์ ศิริ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟวิทย์ ศิริ
Lovings  วิทย์ ศิริ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟวิทย์ ศิริ
Lovings  วิทย์ ศิริ เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงวิทย์ ศิริ