25 พฤศจิกายน 2547 15:46 น.
วิญญาณศิลา
.....ฤดูนี้เป็นฤดูฝน ฝูงลิงฝูงหนึ่งมี ๘ ตัว มีลิงหนุงตัวหนึ่ง เป็นผู้มาพบต้นไม้ประหลาดเข้า ลิงหนุ่มผลไม้ จากต้นไม้ประหลาดต้นนั้นมากัดกิน
กึก...กัดไม่เข้า
มันสงสัยว่าทำไมกัดไม่เข้า มันจึงขว้างทิ้งแบบลิง ไปไกล ๆ แล้วทันใดนั้นก็เกิดเสียงระเบิดอย่างรุนแรง "บรึ้ม ๆๆๆ"
มันเป็นต้นไม้ระเบิด...ลิงตัวนั้นคิด เมื่อลิงตัวนั้นรู้ว่า มันเป็นต้นไม้ที่เป็นอาวุธร้ายแรง มันจึงไปบอกให้ลิงทั้ง ๗ ตัว รู้ว่า มันมีต้นไม้อาวุธนั้น มันจึงขอจองแต่ผู้เดียว
ลิงอีก ๗ ตัว ไม่พอใจ จึงหาโอกาสขโมยผลไม้ประหลาดไปเพาะพันในอาณาเขตของมันเอง
ดังนั้น ลิงทุกตัวจึงมีต้นไม้ประหลาดที่เป็นระเบิดอยู่ในอาณาเขตของพวกมันเอง
การสะสมอาวุธจึงเกิดขึ้น
๘ ลิง กลัวว่า พวกมันตัวใดตัวหนึ่งจะมีต้นไม้อาวุธมากกว่ามันเอง
พวกลิงจึงไปตัดต้นไม้ที่เป็นประโยชน์ต่อชีวิตทิ้ง แล้วมันก็ไปเพาะพันธ์ต้นไม้ประหลาด ต้นไม้ระเบิดนั้นแทน
ป่าทั้งป่าจึงเด็มไปด้วยต้นไม้ระเบิดเหล่านั้ พวกมันจึงไม่มีอาหารกิน
โชคดีที่เหลือกล้วยต้นสุดท้าย ที่จะกินเป็นอาหารได้
สงครามแย่งชิงกล้วยจึงเกิดขึ้น
การเจรจาโต๊ะกลมจึงเกิดขึ้น พวกมันต้องการที่จะเป็นเจ้าของต้นกล้วยนั้น แต่ไม่มีตัวใดตัวหนึ่งยอม เพราะพวกมันต้องการแย่งกันเป็นเจ้าของเนื่องจากท้องหิว เมื่อตกลงกันไม่ได้ สงครามจึงเกิดขึ้น
พวกมันต่างปลิดผลไม้อาวุธมาขว้างโจมตีกัน จนเกิดเสียงสนั่น ดังไปทั่วทั้งป่า ที่พวกมันอยู่
"บรึ้ม ๆๆๆ" "บรึ้ม ๆๆๆ" "บรึ้ม ๆๆๆ" "บรึ้ม ๆๆๆ" "บรึ้ม ๆๆๆ"
การบาดเจ็บ ล้มตาย จึงมีขึ้น
๘ ลิง ตาย ๕ เหลือ ๓
พวกมันจึงได้สำนึกในการทำสงคราม
๓ ลิง จึงตัดต้นไม้ระเบิดนั้นทิ้งแล้วทำลายเสียโดยไม่เพาะพันธ์ไม้ระเบิดนั้นอีกเลย แล้วนำหน่อกล้วย หนอนั้นมาขยายพันธ์แทน
ในอดีตเคยทำลายล้างกันมาด้วยระยะเวลาอันสั้น
๓ ลิง จำได้ดี และจะไม่หันกลับไปสู่อดีตที่มีความสูญเสียนั้นอีก...แล้วมนุษย์ล่ะ ?
10 พฤศจิกายน 2547 20:09 น.
วิญญาณศิลา
เบื้องหน้าถนนอันยาวไกล ทอดไปไม่เห็นที่สุดของปลายทาง
ในขณะนี้ฉันยืนอยู่คนเดียวที่ต้นทางถนนเส้นนี้มันตั้งแต่เมื่อไรนะ ที่เรามายืนอยู่ตรงนี้ จำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่เราจำได้ เรากำลังยืนอยู่ ยืนอยู่กับ ณัฐชา สุดที่รักของฉัน ตรงริมฝั่งของแม่น้ำโขง ศรีสะเกษ เรากำลังทำอะไรนะ ?
เออใช่ เรากำลังขอเธอแต่งงานอยู่ ตอนที่ชมบั้งไฟพญานาคในวันออกพรรษา หลังจากที่เราคบกันมาได้ 5 ปี แล้ว แล้วทำไม เราถึงมาอยู่ที่นี่ แล้วที่นี่คือที่ไหน ? แล้วเราจะถามใครได้ เพราะไม่เห็นใครอยู่เลยในบริเวณนี้สักคนเดียว
ขณะที่ความคิดของฉันกำลังสับสนอยู่นั้น สายตาเหลือบไปเห็นคนกลุ่มหนึ่งประมาณ 10 กว่าคนกำลังเดินผ่านฉันไป ตามถนนเบื้องหน้านั้น
ในใจฉันดีใจมากที่เห็นคนเดินสวนฉันไป ฉันตะโกน ไปยังคนกลุ่มนั้นทันที คุณ ๆ ที่นี่ที่ไหนกัน ? ผมมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง ? แล้วพวกคุณกำลังจะไปไหนกัน ?
ไม่มีเสียงตอบกลับมาจากบุคคลกลุ่มนั้น แม้สักคนเดียว
คนกลุ่มนั้น แต่ล่ะคนแต่งกายชุดขาว เหมือนคนถือศีลในวันพระ แต่วิจิตรกว่าเพราะมีเพชร ประดับตามผ้าเป็นลาย ๆ กันหมดทุกคน แต่ล่ะคนเดินไปอย่างมีระเบียบ เงียบเชียบไม่มีเสียงคุย ไม่มีกระทั่งเสียงฝีเท้า
แต่มีชายคนอยู่คนหนึ่ง ที่เดินนำบุคคลเหล่านั้น แต่งตัวดูพิเศษกว่าคนอื่น ลักษณะการแต่งกายของบุคคลผู้นั้น ไม่ใส่เสื้อมีเพียงสร้อยสังวาล สีทอง ประดับด้วยพลอยนพรัตน์ พาดไขว้ หน้าอก นุ่งจุงกระเบนเป็นลายดอกพิกุลสีทอง ดูสวยงามเป็นยิ่งนัก รองเท้าที่บุคคลผู้นั้นใส่ ดูคล้ายกับว่าเป็นทองคำแท้
เขาเดินนำบุคคลคนกลุ่มนั้นไปโดยเหลียวมามองฉันแป๊บ แล้วพยักหน้าเป็นเชิงว่าให้ฉันตามเขาไป
ฉันหงุดหงิดมากแต่ไม่รู้จะทำยังไงดี เพราะตะโกนถามไป ก็ไม่มีเสียงตอบกลับมา เหมือนกับเสียงตะโกนไปในที่ว่างเปล่า
ทางที่ดีที่สุด คือ ต้องเดินตามคนกลุ่มนั้นไป เพราะหากยืนอยู่เฉย ๆ ก็ไม่รู้ว่าจะไปทางไหนต่อ
ต้องติดตามตอนต่อไป...