24 สิงหาคม 2549 13:23 น.
วิญญาณศิลา
เพื่อนเอย ! ในใจของเพื่อนคิดอะไรอยู่ มีความสุขอยู่ไหม หรือมีความทุกข์หนักหนามากมาย
เงียบเหงาเศร้าสร้อย มองไปทางไหน ในโลกนี้ก็เป็นสีดำไปหมด มีเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจ
หรือมีสุขหาใดเปรียบปาน มองไปทางไหนก็มีสีสันต์ ชมพูบ้าง แดงบ้าง หรือสีสดสวยสีต่าง ๆ มีแต่เรื่องที่ปิติยินดีตลอดเวลา
คนอื่นไม่สามารถรู้ไม่สามารถเข้าใจ ไม่สามารถเห็นความเข้าใจของเพื่อนได้ ไม่มีใครรู้เลย แต่...เพื่อนอย่าลืม ยังมีบุคคล บุคคลหนึ่งที่สามารถรับรู้ความรู้สึกของเพื่อนได้ แม้เพื่อนจะไม่บอกความรู้สึกหรือความคิดตอนนี้ให้ใครรู้
แต่เขาคนนั้น ก็ยังรับรู้ความรู้สึกที่แท้จริงของเพื่อนได้ แม้เพื่อนจะไม่พูดความจริง แม้เพื่อนจะพูดเบี่ยงเบนความจริงอย่างไร และแม้แต่เพื่อนจะพูดความจริงก็ตาม เขาก็รู้ความจริงอยู่วันยังค่ำ
เพื่อนโกหกเขาไม่ได้หรอก เพื่อนรู้จักเขา เพื่อนสนิทกับเขา เขาอยู่กับเพื่อนตลอดเวลา ... เพื่อนรู้จักเขาหรือยัง แต่เขารู้จักเพื่อนเป็นอย่างดี ทำความรู้จักกับเขาให้ดีสิ แล้วเพื่อนจะเห็นอะไรดี ๆ อีกมาก....
24 กรกฎาคม 2549 09:59 น.
วิญญาณศิลา
ห้าเสือ
เมืองไทยสมัยคุณปู่ สมัยที่หมอปรัดเล มิชชันนารีอเมริกัน ตั้งโรงพิมพ์ พิมพ์หนังสือเรื่องจีน ขายอยู่ปากคลองบางหลวง เรื่องโหงวโฮ้วเพ็งหนำ เป็นนิยายขายดีเรื่องหนึ่ง
กาญจนาคพันธุ์ เล่าไว้ใน คอคิดขอเขียน ว่า โหงวโฮ้ว แปลว่า ห้าเสือ เพ็งหนำ แปลว่า...บุกใต้ รวมความก็แปลว่า ห้าเสือบุกใต้
ปลายราชวงศ์ถัง แผ่นดินจีนแยกเป็นหลายก๊ก เตียวคังเอี๋ยน ปราบทุกก๊กราบคาบ ก็ปราบดาภิเษกเป็น ซ้องไทโจ๊วฮ่องเต้ ปฐมฮ่องเต้ราชวงศ์ซ้อง
เนื้อหาหลักของชื่อเรื่อง ห้าเสือบุกใต้...สมัยฮ่องเต้ซ้องยินจง มีแม่ทัพคู่บารมี ชื่อว่า เต๊กเซง เต๊กเซงกว่าจะมีมากด้วยบารมี ก็เพราะมีสี่ทหารเอกคู่ใจ เวลาจะรบ ก็รวมตัวกันทั้งห้าเสือ
ยกทัพปราบเหนือจดใต้
ปราบตะวันตกราบคาบ ก็เรียกว่าโหงวโฮ้วเพ็งไซ ปราบเหนือได้ ก็เรียก โหงวโฮ้วเพ็งปัก
ปราบใต้ได้ ก็เรียกว่าโหงวโฮ้วเพ็งหนำ...ชื่อเรื่องได้มาก็ตอนปราบใต้นี่แหละ
แม่ทัพสร้างบารมีถึงเพียงนี้ ฮ่องเต้ก็ยกย่องให้เป็น...เพ็งไซอ๋อง เปรียบบรรดาศักดิ์ไทย ก็เท่ากับสมเด็จเจ้าพระยา
แฟนๆนักอ่านนิยายจีน สมัยนั้น...สนุกสนานกับเรื่องทหารเอก จับมือกันรบราฆ่าฟันศัตรู ชนะศัตรู สนุกเหมือนอ่านสามก๊ก ขงเบ้ง ใช้กลอุบายเอาชนะโจโฉ หรือจิวยี่
สามก๊ก ล่อกวนตงแต่งต่อเติมโลดโผนพิสดาร แต่ประวัติศาสตร์จีน โดยเนื้อหาจริงไม่อิงนิยาย ทหารเอก สมัยซ้องไทโจ๊วฮ่องเต้ ชะตากรรมสุดท้าย ไม่สนุกนัก
วันหนึ่ง ฮ่องเต้ถามที่ปรึกษา นับแต่สิ้นราชวงศ์ถัง...เกิดสงครามชิงอำนาจไม่เคยหยุด ฮ่องเต้ถูกแย่งชิงเปลี่ยนไปมาถึงแปดตระกูลแซ่
หากข้อต้องการให้ ราชวงศ์ดำรงมั่น จะมีวิธีการอย่างไร
ที่ปรึกษาสำคัญ กราบทูลว่า ต้นเหตุ...การเปลี่ยนฮ่องเต้ เพราะฮ่องเต้อ่อนแอ ขุนนางกล้าแข็ง เพราะฉะนั้น หากฮ่องเต้ต้องการอำนาจสิทธิขาด ก็ต้องลิดรอนอำนาจ อย่าเปิดโอกาสให้ขุนนางกล้าแข็ง
ซ้องไทโจ๊วฟังแล้ว ไม่นานก็สั่งโยกย้ายทหารเอกใกล้ตัว ที่คุมกำลังรักษาพระนคร
ไปเป็นเจ้าเมืองชายแดน
แต่กระนั้นก็ยังมีทหารเอกบางนาย มิอาจปลด...ย้ายได้ ฮ่องเต้ เรียกมาพระราชทานงานเลี้ยง
เหล้ากำลังออกรส ฮ่องเต้ก็ถอนหายใจ บอกว่า ถ้าไม่ได้พวกท่าน ข้าคงไม่มีวันนี้ แต่การเป็นฮ่องเต้...ข้ากลับไม่เคยนอนหลับสบายสักคืนเดียว
แล้วฮ่องเต้ก็เปิดไต๋ ขอให้ทหารเอก แยกตัวไปหาความสุขสำราญชีวิตในบั้นปลาย ทั้งฮ่องเต้ ทั้งทหารเอก ก็จะพลอยสุขสงบไปด้วยกัน
ทหารเอกฟังแล้วก็ถวายฎีกาสละตำแหน่ง ฮ่องเต้ตั้งให้ไปเป็นขุนนางหัวเมือง แล้วรวบอำนาจทางการทหารไว้ในมือ
เหตุการณ์นี้ ประวัติศาสตร์จีน เรียกว่า สุราหนึ่งจอกปลดล็อกอำนาจทหาร
ห้าเสือในประวัติศาสตร์จีน หรือห้าเสือในประวัติศาสตร์ชาติไหนๆ...ขึ้นชื่อว่าเป็นทหาร รู้ซึ้งถึงคำว่า เสร็จนาฆ่าถึก เสร็จศึกฆ่าทหาร...
นี่คือชะตากรรมที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ทหารทุกนาย คงเตรียมตัวเตรียมใจกันไว้แล้ว.
22 พฤษภาคม 2549 09:18 น.
วิญญาณศิลา
นกอินทรี
มีเรื่องที่เล่าถึงชาวไร่ผู้หนึ่ง วันหนึ่งขณะเดินเล่นที่ตีนเขาได้พบกับไข่ของนกอินทรีทองใบหนึ่งที่ตกลงมาแต่ยังไม่แตก เขาก็เลยเก็บมันกลับไปที่ไร่ให้แม่ไก่ที่กำลังกกไข่ของมันอยู่ลองฟักดู
ในไม่ช้าแม่ไก่ก็ฟักลูกนกอินทรีทองออกมาจากไข่พร้อม ๆ กับลูกของมัน ทั้งหมดจึงเติบโตมาด้วยกัน ลูกนกอินทรีทองจะร้องเช่นเสียงร้องของลูกไก่ตัวอื่น ๆ ที่เดินตามแม่ของมัน และจะหัดคุ้ยเขี่ยดินเพื่อหาอาหารหาแมลงไส้เดือนไปตามเรื่องของไก่ พอโตขึ้นมาอีกหน่อยหนึ่งลูกนกอินทรีก็ขยับปีกได้เช่นไก่กระทงทั้งหลายที่พยายามหัดบิน
และมันก็เหมือนพี่น้องของมันที่สามารถบินได้เพียงช่วงสั้น ๆ และต่ำเรี่ยดิน
หลายปีต่อมา วันหนึ่งขณะที่ลูกนกอินทรีทองเติบใหญ่แล้วกำลังเดินคุ้ยเขี่ยดินหาอาหารกินอยู่นั้น
ได้มองขึ้นไปแลเห็นนกตัวใหญ่ที่สง่างามกางปีกบินร่อนถลาลมอยู่บนท้องฟ้าอย่างไม่กลัวเกรงต่อกระแสลมแรง ปีกสีทองที่กางอ้าสะท้อนแสงตะวันเห็นเป็นประกายเจิดจ้าอย่างน่าประทับใจเป็นที่ยิ่ง
"แม่เจ้าโวย.. ช่างสง่างามอะไรยิ่งนัก ใครรู้บ้างว่านั่นเป็นสิ่งใด ? " ลูกนกตะโกนถามขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น
"นั่นคือ เจ้าแห่งฟากฟ้า พญาอินทรีทอง" ไก่หนุ่มตัวหนึ่งที่อยู่ใกล้ ๆ ร้องตอบขึ้น
"พญานกอินทรีย่อมอยู่แต่บนฟ้า...ส่วนเราที่เป็นเพียงไก่กระจอก ๆ มีสิทธิเพียงเดินดิน อย่าได้คิดโบยบินเหินหาวห้วงเวหา"
ลูกนกอินทรีทองจึงกลายเป็นไก่ นาน ๆ เข้าก็แก่ตัวลงไปอย่างไก่ และสุดท้ายก็ตายไปอย่างไก่ เพราะตัวมันเองเท่านั้นที่คิดอย่างเชื่อมั่นว่าตนเองเป็นไก่
31 มีนาคม 2549 10:21 น.
วิญญาณศิลา
ในกาลครั้งหนึ่ง ยังมีหนองใหญ่แห่งหนึ่ง ทั้งกว้างและลึก สมบูรณ์ไปด้วยผักปลาอาหาร เป็นที่อาศัยของสัตว์ใหญ่น้อย
พระเอกของเรื่อง เป็นสุนัขจิ้งจอก ชื่อ สิงคะ มีบริวารมากมายอาศัยอยู่ด้วย
ในป่าใกล้หนองน้ำเป็นที่อยู่ของช้างสาร เข้าฤดูฝน ฤดูกาลที่สุนัขจิ้งจอกออกไปหาอาหารได้ยาก วันหนึ่ง สิงคะไปเห็นช้างสารเข้า ก็เกิดความคิดอยากจะกินเนื้อช้างสาร กลับไปปรึกษากับบริวาร
ตัวท่านน้อย เท่าปลายเท้าช้างสาร สุนัขจิ้งจอกบริวารทัก ซึ่งจะคิดอ่านกินช้างสารนั้น เห็นจะไม่ได้ดังประสงค์
สิงคะตอบว่า ตัวโตใหญ่นั้นไม่เป็นประมาณ สุดแล้วแต่ปัญญา เมื่อความฉลาดดีมีแล้ว แม้ตัวเล็กก็จะคิดฆ่าสัตว์ใหญ่ได้
ว่าแล้วสิงคะก็แบ่งบริวารเป็นสองพวก พวกแรกให้เฝ้าอยู่ในหนอง พวกที่สองไปหาช้างสาร เมื่อไปถึง สิงคะก็หมอบ กรานซบหัวที่เท้าช้างสาร แล้วกล่าวว่า
ข้าแต่พญาช้าง ผู้มีศักดาเดชานุภาพใหญ่ เชิญท่านไปเป็นนายพวกข้าพเจ้าทั้งหลายเถิด
ช้างสารสงสัย...สิงคะก็อธิบาย ในหมู่มนุษย์ก็มีพระเจ้าแผ่นดินครอบครองสั่งสอน จึงได้อยู่เย็นเป็นสุข ในหมู่สุนัขจิ้งจอก ไม่มีนายชี้ขาดตัดสินอรรถคดี ปรานีปรานอม สั่งสอน อยู่ลำพังเช่นนี้
ไหนเลยจะเป็นสุขได้เล่า
ช้างสารฟังคำหวานก็ตกปากรับคำ สิงคะกลับไปจัดเตรียมสถานที่ในหนองน้ำเรียบร้อย เมื่อช้างสารไปถึง สุนัขจิ้งจอกกลุ่มหนึ่ง รวมตัวกันอยู่บนเกาะกลางหนอง...ร้องเห่าหอน เชิญชวน
ช้างสารหลวมตัว เดินลงหนอง ติดอยู่ในหล่มโคลนลึก สุนัขจิ้งจอกได้โอกาส ทำทีเป็นเข้ามาช่วย บางตัวหอนแล้วแหย่หางให้ช้างฉุด แต่หลายตัวถือเป็นโอกาสวิ่งขึ้นไปขี้รดที่ดวงตา
ไม่ช้าช้างก็ตาบอด และตาย
เป็นอันว่าแผนล่อช้างสารบรรลุ สุนัขจิ้งจอกทั้งฝูง ได้อาศัยเนื้อช้างสาร เป็นอาหารตลอดฤดูฝน
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ขึ้นชื่อว่าอำนาจแข็งกล้า ใช้ กำลังช่วงชิงหรือวาจาเกรี้ยวกราดอย่างเดียวคงไม่ได้
ในสงคราม...บางครั้งคำหวานก็จำเป็น เอาชนะใจคนใกล้ตัวยังไม่ได้ ป่วยการที่จะคิดหักหาญเอาบ้านเมือง.
15 ธันวาคม 2548 09:10 น.
วิญญาณศิลา
กว่าจะรู้
โครม เพล้ง แจกันดอกไม้ ที่ตั้งอยู่บนโต๊ะโชว์ ข้างฝาบ้าน ตกกระทบสู่พื้น แตกละเอียดไม่มีชิ้นดี ตามแรง กระเด็นของทิชา
คุณ เบา ๆ หน่อยสิค่ะ ชลทิพย์ ตะโกน เสียงหลง สุดเสียง เมือเห็น ชานนท์ ผู้เป็นสามีของตนผลัก ทิชา บุตรสาวอย่างแรง ด้วยความโมโห ในขณะที่อีกมือถือก้านมะยม ที่พร้อมจะฟาด บุตรสาวของตนซ้ำ ถ้า ไม่มีคนยั้งมือเอาไว้ มีอะไรก้อ พูดกันดี ๆ ก็ได้นิค่ะ เธอ ยังตะโกนเสียงหลง กลบอารมณ์ฉุนเฉียวของสามีเธอ
นี่กี่โมงกี่ยามกันแล้ว ผู้เป็นสามีหันมาตะหวาด ใส่หน้าภรรยา ที่กำลังหน้าเสียอยู่ ก่อนจะหันไปมองทิชา ลูกสาวของตนที่นั่งทรุดอยู่ข้างแจกันที่แตกละเอียดเหล่านั้น ที่มีใบหน้าเปื้อนไปด้วยน้ำตา และเสียงสะอื้น นี่มันเที่ยงคืน นังลูกไม่รักดี บอกมาไปไหนมา ชานนท์ยังขู่ตะคอก ลูกสาวของตนอย่างฉุนเฉียว
คือ ทิชา จะพยายามพยุงตัวขึ้นมาเพื่อจะอธิบายเหตุผล แต่ ผู้เป็นพ่อ ไม่เปิดโอกาส เดินตรงไปพลักให้ทิชา ทรุดลงไปนั่งกองกับพื้นที่เดิม ทำให้หล่อนต้องก้นจ้ำเบ้า ที่เดิมพร้อมกับมีเสียงสะอื้นมากยิ่งขึ้นจากทั้งแม่ทั้งลูก
คุณ เบา ๆ หน่อยสิ นั่นลูกสาวเราน่ะ ชลทิพย์ ตะโกน ใส่หน้า พร้อมกับน้ำตาที่ไหลอาบแก้มของเธอเช่นกัน
ด้วยความขุ่นใจของทิชาเช่นกันที่ ไม่มีโอกาสที่จะอธิบายเหตุผลให้กับผู้เป็นพ่อ เพิ่มอารมณ์โทสะให้เธอไม่น้อย จึงตะโกน ใส่หน้าชานนท์ผู้เป็นพ่อ ไปแบบ ไม่ทันยั้งคิด หนูโตแล้วนะค่ะพ่อ เสียงสะอื้นยังคงมีอยู่
กลับเพิ่มความโกรธ ให้เขา อย่างไม่แพ้กัน อ้อ นี่ ปีกกล้าขาแข็ง ถียงพ่อได้แล้วเหรอ พร้อมกับ หวดก้านมะยม กระหน่ำใส่ ทิชา อย่างไม่ยั้งเพราะความโกรธ ลูกสาว ก้อได้แต่ปัดป้อง พร้อมกับ กะโกนแข็งกับเสียงของพ่อไป พ่อใจร้าย ไม่ฟังหนู
คุณ จายเย็น ๆ ด้วยลูกก็ตายกันพอดี
ดี ให้มันตาย ๆ ไป นังลูกเลวพรรณนี้
หนูไม่รักพ่อหนูเกลียดพ่อ
เออ ให้มันตาย ๆ ไปเลย พร้อมกับฟาดก้านมะยมไม่ยั้งโดยไม่มีใครทันสังเกตว่า ใบหน้าของชานนท์ผู้เป็นพ่อ ก็มีน้ำตาหลั่งออกมาไม่น้อยเช่นกัน
คุณณณณณณ ชลทิพย์ ตะโกน แข็งกับเสียงพ่อลูก พร้อมกับมือของตนที่พยายามคว้ามือของสามีให้หยุดเฆี่ยนลูกสาว แต่แรงผู้หญิงอย่างเธอไม่สามารถที่จะหยุดอารมณ์ฉุนเฉียวของสามีหล่อนได้
หนูไม่รักพ่อแล้ว ทิชา ตะโกนสุดเสียง พร้อมกับ กระเด้งตัวขึ้น พร้อมกับวิ่งหนีออกไปทางประตูหน้าบ้าน พร้อมวิ่งออกไปจากบ้านโดยไม่คิดชีวิต โดยชานนท์พยายามวิ่งไล่ตาม แต่โดนชลทิพย์ รั้งตัวไว้ ก่อนที่เขาจะวิ่งตามทัน
ไป ๆ เลย แล้วไม่ต้องกลับมาบ้านอีก ไป ให้ไกล ๆ เลย ชานนท์ยังตะโกน ไล่หลัง โดยมีภรรยาของเขา รั้งตัวเอาไว้ คุณพอก่อนเถอะ ไง ๆ ก็ลูกสาวเรา
ลูกสาวเรามันทำตัวอย่างนี้นะ เราไม่มีลูกสาวอย่างนี้
คุณ.ค่ะ เสียงตะโกนทะเลาะกันไล่หลังทิชาออกมา จนทิชาวิ่งไกลจนมาถึงหน้าปากซอย พร้อมกับน้ำตาที่ยังไหลอาบแก้มทั้งสองข้างอยู่
เอี๊ยดดดดดดดดดดด เสียงเบรค อย่างฉับพลันของเซฟิโรสีเหลืองคันหรู เมื่อมีสิ่งเคลื่อนไหวผ่านหน้ารถคันงามอย่างรวดเร็ว เอี๊ยดดดดด.ดดดด โครม ..............................................................................
เอ๊ก อี้ เอ๊ก เอ๊ก เสียงไก่ ขันยามเช้า ดวงอาทิตย์พึ่งโผล่พ้นขอบฟ้า
ริมรั้วบ้านสวนทรงไทย
คุณเนตรนภา พร้อมสาวใช้ออกมาตักบาตรพระ หน้าบ้านเป็นประจำทุกเช้า
จีวรพระเหลืองอร่าม แลดู สงบเหยือกเย็น ทำให้เป็นที่ศรัทธาของผู้พบเห็นยิ่งนัก อากัปกิริยารับบาตร ก็สำรวมเหมาะกับสมณะเพศ เมื่อรับบาตรเสร็จท่านจึงเดินไปข้างหน้าเพื่อโปรดสัตว์ต่อไป โดยคุณเนตรนภา ไหว้ อย่างสำรวมเมื่อใส่บาตรเสร็จ หันหลังกลับเพื่อเข้าบ้าน พร้อมกับ เจอหน้าเปรมกลมลูกชายของตนเอง เดินยิ้ม ลงมาจากบนเรือน
คุณเนตรนภา ยิ้มกริ่ม ดั่งกับรับผลบุญจากการใส่บาตรพระเมือตะกี้ พร้อมทักทายลูกชายตน ไงพ่อเปรม เมื่อคืนไปหิ้วลูกสาวใครมา ดูขมุกขมอม ไปทั้งตัว มาถึงหลับเป็นตายเลย
อ้อ ทิชา ลูกศิษย์ ที่ผมที่มหาวิทยาลัยเองครับ ลูกชายคนโปรดของคุณเนตรนภาไม่พูดเปล่า เดินตรงเข้าไปโอบกอดผู้เป็นแม่ของตนทำเป็นเหมือนเด็กตัวเล็ก ๆ ขอความรักจากแม่ ตักบาตรหรือครับแม่
อืมม ตื่นเช้า ๆ ทำบุญบ้าง แต่ยังไม่บอกเลยเรื่องมันเป็นมายังไง
ผมไม่รู้หรอกว่า เธอไปทำอะไรมาเห็นอยู่ดี ๆ ก็วิ่งตัดหน้ารถผม ดีน่ะที่ผมเบรคทัน แต่เธอก็สลบก่อน ดีนะไม่เป็นอะไรมาก ทำให้ผมต้องแบกขึ้นรถกลับมาที่บ้านเราก่อนนะครับคุณแม่
คุณผู้ชายขา ผู้หญิงที่คุณผู้ชาย พามาเมื่อคืน ตื่นแล้วค่ะ สาวใช้ เดินตรงมาบอกแม่ลูกที่กำลังสนทนากันอยู่
งั้นผมขอตัวไปดูลูกศิษย์ผมก่อนนะครับคุณแม่ เชิญจ๊ะพ่อเจ้าประคุณ
เออ นี่ คุณเนตรนภา พูดบอกลูกชายของเธอก่อนเดินไป ให้เขาอาบน้ำอาบท่าให้ดีก่อนนะ แล้วมากินข้าวเช้ากัน เปรมกมลยิ้มให้กับผู้เป็นแม่ของตนก่อนเดินไป
ทิชา ตื่น มาอย่างกำลังคิดว่า มันเกิดอะไรขึ้นกับตน เมื่อคืนตนกลับมาถึงบ้าน แล้วทะเลาะกับพ่อของตนแล้วตนเอง ก็วิ่งหนีออกมาจากบ้าน อย่างไม่มีจุดหมาย แล้วจู่ ๆ ตนเองก็เห็นแสงไฟวูบหนึ่ง จากนั้น ก็ไม่รู้อะไรเลย จนถึงในขณะนี้ ตนอยู่ไหนกัน โรงพยาบาล ก็ไม่ใช่ สถานีตำรวจก็ไม่ใช่ แล้วมันที่ไหนกัน ก่อนที่ หล่อนจะคิดอะไรมากไปกว่านี้ เปรมกมล ก็เดินเข้ามา
อาจารย์เปรม ทิชาอุทานขึ้นเบา ๆ เมื่อหันไปพบกับเปรมกมลที่เดินมาถึงพร้อมกับสาวใช้เขาที่เดินตามมา
ตื่นแล้วเหรอ ทิชา เปลมกมล ทักทาย เป็นไงบ้านครูหลับสบายป่าว
ยังไม่ทันที่ทิชา จะตอบอะไรออกไป ไปอาบน้ำอาบท่าก่อนดูสิเนื้อตัวมอมแมม ไปหมด เปรมกมลบอก พร้อมกับให้สาวใช้ พาทิชาไปอาบน้ำ ใช้ชุดของคุณอร ก่อนก็ได้นะ
คุณอร ทิชา ทวนคำของอาจารย์หนุ่ม น้องสาวครูเอง ตอนนี้ไปเรียนต่อที่อเมริกา เสื้อผ้าเลยไม่มีใครใช้ เธอใช้ก่อนก็ได้แล้วไปกินข้าวเช้าพร้อมกันนะ พูดจบเปรมกมลก็ เดินนำหน้าออกไป แล้วให้สาวใช้พาทิชาไปอาบน้ำ ให้เรียบร้อย
ที่โต๊ะรับประทานอาหาร คุณเนตรนภา และ เปรมกมล นั่งรอทิชาอยู่ก่อนแล้ว
นี่ แม่อาจารย์เอง เปรมกมล แนะนำ ทิชา ไหว้อย่างประหม่า พร้อมกับแลดูมายังอาจารย์หนุ่ม ที่แนะนำเขากับแม่เขาเช่นกัน นี่ ทิชา ลูกศิษย์ที่มหาวิทยาลัยผมเองแหล่ะครับ
ไหว้พระเถอะลูก
ค่ะ
มา มากินข้าวกันก่อน มีอะไรแล้วค่อยคุยกันทีหลัง คุณเนตรนภา เชื้อเชิญเด็กสาว อย่างเป็นกัน
หลังจากรับประทานอาหารมื้อเช้าแล้ว
คุณเนตรนภา เปรมกมล พร้อม ทิชา ก็มานั่งสอบถามเรื่องราวกันที่ห้องรับแขก
เรื่องมันเป็นยังไง หนู ถึงมาสลบอยู่หน้ารถของพ่อเปรม ลูกชายป้าล่ะ คุณเนตรนภา ถามเรื่องราวจากทิชาด้วยน้ำเสียงที่เป็นกันแอง เหมือนแม่ กับลูกสาวคุณหนึ่ง
ทิชา จึงค่อยพอนึกได้ว่า เมื่อคืนหลังจากที่ตน วิ่งออกจากบ้านมาก็ได้ถูกรถเฉี่ยว จน สลบไป ที่แท้เป็นรถของอาจารย์เปรมกมลนี่เอง
ทิชา มีแววตาเหม่อลอย เหมือนกำลังนึกถึงเรื่องราวเมื่อวานนี้พร้อมกับเริ่มเล่า เมื่อวานตอนบ่าย หนูขออนุญาตคุณพ่อคุณแม่ ไปเดินซื้อของที่ห้างสรรพสินค้า พร้อมกับสัญญากับที่บ้านว่าจะไม่กลับให้มืดนัก พอดีไปเจอกับเพื่อนสนิทสมัยมัธยม ที่ได้เจอกันมานาน พอเจอกัน ก็ทักกัน จึงได้รู้ว่า เธอกำลังจะไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ โดยไปเที่ยวบินตอน 5 ทุ่ม ครึ่ง เพื่อนหนูชวนหนูไปส่งขึ้นเครื่อง เพราะ ไปคราวหนี เพื่อนคนนี้ เขาจะไปนาน อีกหลายปีคงไม่ได้เจอกัน หนูก็เลยคิดว่า ไปส่งเพื่อนขึ้นเครื่องคงไม่เป็นไรมาก จึงไปส่งเพื่อนขึ้นเครื่องบิน แล้วนั่งรถ TAXI กลับบ้าน พอถึงบ้านทิชา เงียบสักพักพร้อมใบหน้าที่เริ่มเศร้าขึ้นมาทันที พอถึงบ้าน พ่อหนูไม่ยอมฟังเหตุผลหนู มาถึงก็ผลักหนูไปติดข้างฝาบ้าน และตีหนูด้วยก้านมะยม หล่อนก้มหน้า เริ่มมีน้ำตาไหลออกมา ไม่ฟังเหตุผลหนู หนูเจ็บและโกรธพ่อหนูมาก จึงได้วิ่งออกมาจากบ้านแล้วแล้วแล้วเพียงแค่นี้
ทิชา ก็ร้องไห้ออกมาอย่างไม่อายใคร จนอาจารย์เปรมกมลที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ต้องหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาส่งให้เธอ
ในห้องรับแขก เงียบอยู่สักพัก จนคุณเนตรนภา ต้อง เอ่ยปากออกมา แล้วหนูคิดว่าไงล่ะ
หนูคิดว่า พ่อไม่รักหนู ถึงทำกับหนูอย่างนี้ ทิชา พูดไปสะอื้นไป
ไม่จริงหรอก คุณเนตรนภา เอ่ยขึ้นมาลอย ๆ เพื่อสะกิดใจ ทิชา
ทำไมคะ คุณพ่อหนู ตีหนู ยังกะไม่ใช่ลูกของท่าน หนูเจ็บนะค่ะ ขนาดคุณแม่มาห้าม คุณพ่อก็ไม่ยอมหยุด
ที่พ่อหนู ตีหนูให้เจ็บวันนี้ เพื่อไม่ต้องการให้หนูไปเจ็บในวันข้างหน้า คุณเนตรนภา เริ่มให้สติ ทิชา หากวันนี้ พ่อหนูไม่ตีหนู แล้วหนู ไปเกิด อันตรายในวันข้างหน้า คนที่จะเสียใจ ไม่ใช่หนู แต่จะเป็น ตัวคุณพ่อหนูและแม่หนูเอง ทิชา ฟังอย่างเริ่มคิด หนูกลับบ้านมืด ๆ ค่ำ ๆ พ่อแม่ทุกคนย่อมเป็นห่วง กลัวว่า จะเกิดอันตรายกับลูกตนเอง ต้องอดหลับ อดนอน เพื่อรอเวลาที่ให้ลูกตัวเองกลับถึงบ้านอย่างปลอดภัย
อันตรายตอนกลางคืนมีมากมาย เขาย่อมห่วงลูกตนเองเป็นธรรมดา
หนูคงไม่รู้หรอกว่า คนที่เขาตีหนู หนูไม่ได้เจ็บคนเดียว ตัวคนตีก็เจ็บด้วย
ป้า เคยตี เจ้าเปรม ลูกชายตัวดีของป้า คุณเนตรนภา พูดพลางชำเลือง ไปทางอาจารย์เปรมกมล
มือป้าตี แต่ใจป้าเจ็บ เจ็บเหมือนใครเอาอะไรแหลม ๆ มาทิ่มที่ใจป้า แต่ป้าต้องทำ
ใช่ แล้ว ทิชา ถ้า แม่ไม่ตี เมื่อวันนั้น อาจารย์ คงไม่ได้มาเป็นอาจารย์สอนเธอในวันนี้แน่นอน อาจารย์เชื่ออย่างนั้น เปรมกมล สนับสนุนแม่ตนเองพร้อมกับส่งสายตายิ้มให้ลูกศิษย์ของตัว
ทิชา เงียบพักใหญ่ แล้วจะให้หนูทำอย่างไรล่ะค่ะ หล่อนก้มหน้าที่เปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา ถามอย่างเบา ๆ
สองแม่ลูกหันสบตาแล้วยิ้มให้กัน กลับไปถึงบ้านกราบเท้าคุณพ่อ แล้วสัญญา กับท่านว่า จะไม่ทำอย่างนี้อีก คุณเนตรนภา พูดสอน อย่างให้ความอบอุ่นแก่ทิชา ทางวาจา
พ่อแม่ ทุกคน ล้วนรักลูกของตัวเอง หากโกรธ ก็โกรธได้ไม่นานหรอก เชื่อป้าเถอะ
เดี๋ยวอาจารย์จะไปส่งที่บ้าน เปรมกมล อาสาเป็นสารถี ไปส่งที่บ้าน ทิชา ไป
ค่ะ ทิชารับแต่โดยดี พร้อมกับกราบเท้า ขอบคุณ คุณเนตรนภา ที่ช่วยเตือนสติ ตน
จ๊ะ คุณเนตรนภา ลูบหัว ทิชาเบา ๆ มีปัญหาอะไร ก็มาคุยที่บ้านป้าได้เสมอนะ ดีซะอีก ป้าจะได้มีเพื่อนคุย เพราะเจ้าเปรม ลูกป้าไม่ค่อยอยู่บ้านหรอก ออกทุกวัน ไม่วายที่คุณเนตรนภาจะแหนบลูกชายของตน ทำให้ทิชายิ้มออกมาบ้าง
ขับรถพา หนูทิชา เขากลับบ้านดี ๆ ล่ะพ่อเปรม คุณเนตรนภา เดินออกมาส่งทิชา ที่รถเซฟิโร สีเหลืองคันหรู
ครับคุณแม่ เปรมกมลยิ้มรับคำ พร้อมกับเคลื่อนพาหนะคู่ใจ ออกจากประตูรั้วบ้านไป
ระหว่างทาง อาจารย์เปรมกมล และ ทิชา ได้แต่นั่งเงียบกันทั้ง คู่ โดยคิดว่า เมื่อถึงบ้าน แล้วอะไร ๆ จะดีขึ้น
อาจารย์ค่ะ ทิชา เอ่ยขึ้นมาท่ามกลางความเงียบในรถ อาจารย์ว่า หนูไม่ดีหรือเปล่าค่ะ
ก็ไม่หรอก มันเป็นเพียงอารมณ์ชั่ววูบเท่านั้นเอง คนเราหากรู้จักเอ่ยคำว่า ขอโทษ เป็น คน ๆ นั้น ไม่ถือว่าเลวหรอก เชื่ออาจารย์เถอะ
ค่ะ อาจารย์ แต่หนูก็ยังรู้สึกว่าหนูผิด
อาจารย์เปรมกมล เหลียวมามองดูลูกศิษย์ของตนที่เริ่มมีสีหน้าเศร้าอีกครั้งหนึ่ง
ตอนนี้ ยังมีเวลา อยู่ เราไปไหว้พระที่วัดกันก่อนมั๊ย เปรมกมลพยายาม สร้างบรรยากาศในรถให้ดูดีขึ้น ทำให้ลูกศิษย์สาว ยิ้มออกบ้างเล็กน้อย ได้ค่ะ
รถเซฟิโร่ คันหรู พา ลูกศิษย์กับอาจารย์เลี้ยว เข้าวัดที่อยู่หน้าปากซอยเข้าบ้านของทิชา
ภายในวัด ดู กำลังวุ่นพอสมควร เหมือนกำลังเตรียมงานอะไรบางอย่าง
รถของทั้งคู่ จอดสนิท หน้าโบสถ์ ทั้งคู่ลงจากรถ สายตาจับจ้องไปที่ศาลา ที่ดูเหมือนวุ่นวายเพื่อเตรียมงานกันอยู่
พลันสายตาของทิชา ชำเลือง ไปเห็น ผู้หญิงคนหนึ่งในชุดดำ ใบหน้าหมองหม่นนัก ก้มหน้าสะอื้น อยู่ที่ม้าหินหน้าศาลานั้น
ใจของทิชา ดูเหมือนวูบ ไปสักพักใหญ่
คุณแม่ ทิชา ตะโกนไปยังผู้หญิงคนนั้น อาจารย์เปรมกมล มองตาม
ชลทิพย์ มองตามเสียงนั้น พร้อมกับหันหน้าไปมอง ทิชา ร้องไห้วิ่งไปหาแม่ของตนพร้อมกับโอบกอดเหมือนกับไม่เคยทำมาก่อน
ชลทิพย์ ร้องไห้ กอด ตอบบุตรสาวของตัว พร้อมกับ หันหน้าเข้าไปในศาลา ทิชา มองตาม
ชาย คนที่นอนอยู่บนโต๊ะตัวยาว มีผ้าขาวคลุมทั่วตัว ไร้ความรู้สึก ไร้ลมหายใจ ชานนท์ พ่อของทิชานั่นเอง
คุณพ่อ ทิชาตะโกนสุดเสียง พร้อมกับวิ่งตรงไปยังร่างที่ไร้วิญญาณนั้น ยืนเหม่อ ร้องไห้ นั่งลง ร้องไห้ และกอดร่างนั้น อย่างปวดร้าวที่สุด คุณพ่อ คุณพ่อ คุณพ่อ ทำไมเป็นอย่างนี้ คุณพ่อ คุณพ่อ คุณพ่อ ค่ะ ตื่นมาก่อน คุณพ่อ
ชลทิพย์เดินตาม ทิชา เข้ามา พร้อมอาจารย์เปรมกมล อย่างช้า ๆ พร้อมกับนั่งลงข้าง ๆ ลูกสาวของตนพร้อมกับจับที่หลังทิชาเบา ๆ ทำให้ทิชา หันกลับมาร้องไห้ กอดแม่ตนเอง โดยมีอาจารย์เปรมกมล ยืนมองไม่ไกลนัก
เมื่อ คืน หลังจากลูกวิ่งออกไป เสียงของชลทิพย์สั่นสะอื้น พ่อเขาก็ ล้มลง พวกแม่ช่วยกันพา ส่งโรงพยาบาลคุณพ่อ คุณพ่อท่านหัวใจล้มเหลว ก่อนตายท่านยัง เพ้อ ถึงลูกตลอด ว่า เขารักทิชามาก
สองแม่ลูกกอดกันร้องไห้ อย่างไม่อายใคร ๆ
คุณพ่อขา ลูกขอโทษค่ะ น้ำตา หลั่งออกมา ก็เมื่อทุกอย่างมันสายไปแล้ว
จากวันนี้ ใครเล่า จะคอยเฝ้า
จากวันนี้ ใครเล่า จะคอยด่า
จากวันนี้ ใครเล่า จะเตือนเรา
จากวันนี้ ใครเล่า จะเข้าใจ
พ่อจ้าพ่อ ลูกนี้ อยากให้ พ่อดุ พ่อด่า
แต่วันนี้ ไม่มีพ่อ จะดุ จะด่า
วันผ่านมา ลูกนี้ผิด ลูกสำนึกแล้ว
พ่อจ้าพ่อ ลุกขึ้นมาดุ ลุกขึ้นมาด่าลูกทีเถอะ ขอร้อง
พ่อขา ลูกขอโทษ