1 กุมภาพันธ์ 2553 13:25 น.
วิจิตรศิลป์
ณ ชานเมืองเซียงหยาง มีเหลาสุราหลังเล็กๆหลังหนึ่งอยู่ริมถนนทุรกันดาร มีโต๊ะตัวหนึ่งอยู่มุมอับในเหลา นั่งไว้ด้วยชายหนุ่มสามคน คนแรกสวมเสื้อนักศึกษาเครายาวคล้ายบัณฑิตผู้คงแก่เรียนผู้หนึ่ง อีกคนสวมเสื้อกระสอบ มีร่างกายสูงใหญ่ ไว้หนวดเคราประปราย หน้าตาเหี้ยมหาญดุดัน คนสุดท้ายสวมชุดนักพรต กลางหลังสะพายกระบี่ ใบหน้าเกลี้ยงเกลา หล่อเหลาคมคายยิ่ง กลับเป็นนักพรตผู้หนึ่ง
นักพรตนั้นกล่าวถามบัณฑิตว่า
"พี่ใหญ่ เหตุใดอาจารย์จึงต้องส่งพวกเราสามคนมามอบของขวัญแซยิดเศรษฐีแซ่อู๋ด้วยเล่า"
บัณฑิตนั้นหาได้ตอบคำไม่ ชายสูงใหญ่นั้นจึงกล่าวว่า
"นั่นสินะ สำนักเรากับตระกูลอู๋ก็ไม่ได้มีสัมพันธ์ใดมาก่อน เหตุใดอาจารย์จึงต้องส่งของขวัญมา แล้วยังมอบหน้าที่นี้ให้พวกเราทั้งสามคนด้วย หรือของขวัญนี้มีเลศนัยใด"
กล่าวพลางก็เหลือบไปที่ถุงแดงที่วางอยู่กลางโต๊ะ
ที่แท้ทั้งสามล้วนเป็นศิษย์เอกของหลิวเทียนเอี้ยเจ้าสำนักมังกรฟ้า บัณฑิตนั้นเป็นศิษย์คนโต มีนามว่าจูเพี๊ยะเล้ง ชายสูงใหญ่นั้นเป็นศิษย์คนรอง นามว่าเอี้ยเทียนเล้ง นักพรตหนุ่มเป็นศิษย์ลำดับที่สี่ นามว่าเตียทิเล้ง หลิวเทียนเอี้ยได้ส่งศิษย์เอกทั้งสามมามอบของขวัญงานแซยิดของอู๋ซัน เศรษฐีใหญ่แห่งเมืองเซียงหยาง
บัณฑิตจูเพี๊ยะเล้งจึงกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียดว่า
ิ "เลศนัยหาได้อยู่ที่ของขวัญไม่ หากแต่อยู่ที่หน้าที่ของพวกเรา..."
กล่าวถึงตอนนี้พลันมีชายฉกรรจ์สิบกว่าคนถือดาบบุกเข้ามาในเหลา ขับไล่แขกเหรื่อออกไป เตียทิเล้งเห็นชายเหล่านั้นล้วนถือดาบใหญ่ สวมเสื้อสีแดงเหมือนกัน จึงกล่าวว่า
"นี่มันเรื่องราวใด"
เอี้ยเทียนเล้งจึงกล่าวว่า
"พวกนี่เป็นคนของพรรคฟ้าโลหิต คงจะมาก่อกวนวุ่นวาย"
จูเพี๊ยะเล้งจึงกล่าวว่า
"ที่นี่อนยู่นานไม่ได้ ไปกันเถอะ"
กล่าวจบก็ล้วงทองคำแท่งหนึ่งวางลงบนโต๊ะ เก็บถุงแดงนั้นเข้าอกเสื้อ แล้วจึงกระโดดปราดออกทางหน้าต่าง
เอี้ยเทียนเล้งและเตียทิเล้งเห็นดังนั้นจึงติดตามศิษย์พี่ใหญ่ไป
ทั้งสามวิ่งตะบึงไปทิศใต้สิบกว่าลี้ก็ถึงตัวเมืองเซียงหยาง ทั้งสามสอบถามผู้คนไปครึ่งชั่วยามก็ถึงบ้านของเศรษฐีแซ่อู๋ เมื่อทั้งสามย่างก้าวเข้าประตูบ้าน ก็ต้องภพกับภาพอันน่าสะพรึงกลัว ตระกูลอู๋ถูกฆ่าล้างทั้งตระกูล!!! เตียทิเล้งตกใจยิ่งนัก จูเพี๊ยะเล้งและเอี้ยเทียนเล้งทั้งสองจึงตรวจตราดู ปรากฏว่าไม่มีผู้รอดชีวิตแม้แต่คนเดียว เอี้ยเทียนเล้งเหลือบไปเห็นศพชายชราอ้วนใหญ่ผู้หนึ่ง คาดว่าเป็นเจ้าบ้านแซ่อู๋ ทันใดนั้นเอง ก็มีเกาทัณฑ์ดอกหนึ่งวิ่งเข้ามาหาจูเพี๊ยะเล้งทันที จูเพี๊ยะเล้งจึงชักพู่กันที่เหน็บอยู่ข้างเอวออกปัดดอกเกาทัณฑ์นั้นออก
เตียทิเล้งเห็นดังนั้นจึงชักกระบี่ออกมาขวางไว้เหนืออก เอี้ยเทียนเล้งก็ตั้งท่าหมัดเตรียมรับการจู่โจม
ทันใดนั้นเอง ก็มีกลุ่มชายฉกรรจ์ชุดแดงสิบกว่าคนวิ่งออกมาล้อมจูเพี๊ยะเล้งทั้งสามไว้ ชายฉกรรจ์อายุสามสิบเศษผู้หนึ่งอยู่หน้าขบวนกล่าวว่า
"พรรคฟ้าโลหิตมาเพื่อปล้นชิงตึกตระกูลอู๋ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสำนักมังกรฟ้าท่าน เหตุใดจึงต้องเข้ามายุ่งเกี่ยวมากความ"
เอี้ยเทียนเล้งจึงกล่าวว่า
"อาจารย์ส่งพวกเรามาเพื่อมอบของขวัญแด่ท่านอู๋ ภารกิจพวกเรายังไม่เสร็จ จะไม่ให้ยุ่งเกี่ยวมากความได้อย่างไร"
ชายฉกรรจ์นั้นจึงยิ้มอย่างเยือกเย็นพลางกล่าวว่า
"งั้นพวกท่านก็ลงไปหาอู๋ซันในปรภพเถิด"
ศิษย์พรรคโลหิตฟ้าสิบกว่าคนนั้นจึงเข้าจู่โจมจูเพี๊ยะเล้งทั้งสามทันที
โปรดติดตามตอนต่อไป
2 พฤศจิกายน 2552 22:52 น.
วิจิตรศิลป์
ชาตรี เป็นหัวหน้าครอบครัวชาวนายากจนในเขตชนบท เขามีภรรยาและบุตรชายอีกสองคนคอยเป็นกำลังใจให้ทำงานสู้ความลำเค็ญต่อไป
พิสุทธิ์ บุตรชายคนโตเป็นคนนิสัยดี การเรียนดี ช่วยพ่อแม่ทำงาน เป็นความภาคภูมิใจของครอบครัว ส่วนพีระ บุตรชายคนเล็ก คบเพื่อนไม่ดี จึงทำให้การเรียนตกต่ำ และติดการพนัน เป็นความอัปยศของครอบครัว แต่สองพี่น้องก็รักใคร่กลมเกลียวกันเสมอมา พิสุทธิ์มีความตั้งใจจะเรียนแพทย์ เพื่อที่จะมารักษาโรคหัวใจให้แม่ของตน
ต่อมา ความฝันของพิสุทธิ์เป็นจริง เขาสอบติดคณะแพทยศาสตร์และได้เข้าไปเรียนในมหาวิทยาลัยชื่อดังในกรุงเทพฯ นั่นเอง จึงเป็นแรงบันดาลใจให้พีระเลิกเล่นการพนันแล้วหันมาตั้งใจเรียน แม้ปัญญาของพีระจะไม่ดี แต่เขาก็ไม่ได้ย่อท้อและช่วยงานครอบครัวเสมอ
หลายปีต่อมา พีระเรียนจบคณะคุรุศาสตร์จากสถาบันในท้องถิ่นและออกมาทำงานเป็นครูที่โรงเรียนประจำหมู่บ้าน พีระได้ขยั่นหมั่นเพียรในการทำงานเพื่อจะเก็บเงินพาพ่อแม่ไปเยี่ยมพี่ชายที่กรุงเทพฯ จนกระทั่งความฝันของครอบครัวเป็นจริง ทั้งสามพ่อแม่ลูกมีเงินพอจึงเข้ากรุงเทพฯ
เมื่อเดินทางถึงกรุงเทพฯ ทั้งสามได้เข้ามาในในโรงพยาบาลใหญ่แห่งหนึ่งกลางตัวเมือง เหลือบแลแต่ไกล พิสุทธิ์เดินคลอเคลียมากับพยาบาลสาวผู้หนึ่ง บัดนี้ พิสุทธิ์ เด็กหนุ่มบ้านนอกได้กลายเป็นนายแพทย์ที่ได้รับการนับหน้าถือตาจากคนทั่วไป สามพ่อแม่ลูกเห็นพิสุทธิ์ได้ดิบได้ดีจึงบังเกิดความปีติยิ่งนัก พีระเห็นพี่ชายของตนก็รีบวิ่งเข้าไปกอดทันที
พิสุทธิ์เห็นพีระวิ่งมาแต่ไกลก็สะดุ้งเล็กน้อย เมื่อพีระวิ่งเข้ามาใกล้จึงผลักมือผลักไสพีระออกไป พีระถอยหลังออกมาและงงงันยิ่งนัก พีระจึงกล่าวว่า
"พี่พิสุทธิ์ ผมพาพ่อแม่มาเยี่ยมพี่แล้ว"
"คุณเป็นใคร!!!"
"พี่จำผมไม่ได้เหรอ เมื่อก่อนเราเติบโตอยู่บ้านนอกด้วยกัน"
พิสุทธิ์เห็นไปมองนางพยาบาลสาวที่เดินมากับตน เห็นนางพยาบาลคนนั้นจ้องมองตนอย่างสงสัย
"ผมไม่เคยอยู่บ้านนอกมาก่อน และไม่รู้จักพวกคุณ"
ตอนนี้พีระล่วงรู้ความในใจของพิสุทธิ์แล้ว พีระกำมือแน่นแล้วกล่าวด้วยความโกรธแค้นว่า
"เฮอะๆ ตอนนี้พี่เป็นนายแพทย์ใหญ่แล้ว คงลืมพวกเราไปแล้วสิ"
"ผมไม่รู้จักพวกคุณมาก่อน คุณมาจากทางไหนก็กลับทางเดิมซะ"
แล้วพิสุทธิ์ก็เงียบงันไม่กล่าวอะไรต่อ พร้อมกับเบือนหน้าหนีไปทางอื่น
ตอนนี้ พิสุทธิ์ เด็กหนุ่มบ้านนอกผู้แสนดี ได้สลัดทิ้งความหลังไว้ที่บ้านเกิด แล้วเดินต่อหาชีวิตอันรุ่งโรจน์ โดยไม่แลเหลียวกลับมามองอดีตอีกเลย แม้แต่พ่อแม่บังเกิดเกล้าที่มีพระคุณล้นฟ้าก็ตาม!!!
ชาตรีและลำดวนสองผัวเมีย ตั้งแต่เดินทางมาพบลูกชายของตัวเองก็ปีติยินดีจนพูดอะไรไม่ออก แต่ความรู้สึกที่โดนลูกชายทอดทิ้งในตอนนี้ มันเจ็บปวดยิ่งกว่าโดนมีดกรีด จิตใจพ่อแม่แทบแตกสลาย
ลำดวน ซึ่งเป็นโรคหัวใจอยู่แล้วแต่เดิม เมื่อได้ยินคำผลักไสจากลูกชายที่ตนเองนั้นรักแสนรัก ความทุกข์ตรมระทมใจพลันประดังเข้ามา ลำดวนเริ่มหายใจติดขัด โรคหัวใจกำลังกำเริบ!!! ลำดวนกำลังจะตายถ้าหากไม่ได้รับการผ่าตัดโดยด่วน!!!
ลำดวนเป็นลมล้มฟุบลงกับพื้น ร่างกายกระตุกหลายคราจนแน่นิ่งไป ชาตรีและพีระเห็นดังนั้นจึงตกใจเป็นขีดสุด พิสุทธิ์เห็นดังนั้นจึงคิดได้และรีบอุ้มแม่ของตนเองเข้าไปในห้องผ่าตัด
สองชั่วโมงผ่านไป ชาตรีรออยู่หน้าห้องผ่าตัดโดยที่จิตใจนั้นไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ส่วนพีระนั้นร้องห่มร้องไห้ไม่หยุด
นางพยาบาลคนหนึ่งเดินออกมาจากห้องผ่าตัดแล้วกล่าวกับทั้งสองว่า
"ขณะนี้ นายแพทย์พิสุทธิ์ได้ผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจให้ผู้ป่วยจนผู้ป่วยพ้นขีดอันตรายแล้ว อนุญาตให้เข้าไปเยี่ยมผู้ป่วยได้ค่ะ"
ทั้งสองได้ยินดังนั้นจึงรีบวิ่งเข้าไปในห้องผ่าตัดทันที
ภาพแรกที่ทั้งสองได้เห็นคือ พิสุทธิ์นั่งอยู่ข้างเตียงของลำดวน พวกเขากุมมือกันแน่นและร้องห่มร้องไห้ พิสุทธิ์กล่าวทั้งน้ำตาว่า
"ลูกผิดเองที่หลงละเมอฟุ้งเฟ้อในทรัพย์สินลาภยศจนลืมพ่อแม่พี่น้อง จนทำให้แม่ต้องอยู่ในสภาพแบบนี้"
ลำดวนก็กล่าวพลางร้องไห้ว่า
"แม่เข้าใจลูกดี ลูกต้องเดินต่อไปเพื่อหาอนาคตที่ดี ลูกทำถูกแล้วที่ไม่มีจมอยู่กับอดีตที่จะทำให้ลูกอายคนอื่นเปล่าๆ"
ตอนนี้ พิสุทธิ์พูดอะไรไม่ออกแล้ว เอาแต่ส่ายศีรษะอย่างเดียว
ชาตรีและพีระจึงเดินเข้ามาสวมกอดพิสุทธิ์ไว้แน่น ทั้งสี่คนพ่อแม่ลูกกอดกันอย่างมีความสุข เป็นความสุขที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เป็นความสุขที่พ่อแม่ลูกให้กันได้เท่านั้น
บัดนี้ พิสุทธิ์ได้ตาสว่างแล้ว พิสุทธิ์คนเดิมที่แสนดีได้กลับมาแล้ว และนี่ก็เป็นบทเรียนครั้งสำคัญในชีวิตอีกครั้งหนึ่งของพิสุทธิ์
ต่อไป พิสุทธิ์ก็จะยึดถือแต่ความกตัญญู ดูแลพ่อแม่เมื่อยามแก่เฒ่า และใช้ชีวิตอย่างสงบสุขท่ามกลางครอบครัวที่แสนดีตลอดไป
2 พฤศจิกายน 2552
วิจิตรศิลป์
1 พฤศจิกายน 2552 20:19 น.
วิจิตรศิลป์
กว่าสองพันห้าร้อยปีที่พุทธศาสนาได้ถือกำเนิดขึ้น เพื่อชำระล้างจิตใจใฝ่ต่ำของมนุษย์ แต่มนุษย์ก็ยังคงหลงใหลอำนาจและเงินตรา ไม่มีใครคิดทำเพื่อเพื่อนมนุษย์และสัตว์โลกทั้งหลายอย่างแท้จริง
หยางตี้ ขุนพลผู้สืบทอดเพลงทวนตระกูลหยางและรับใช้ฮ่องเต้เทียนฟู่แห่งแผ่นดินจีนอย่างใกล้ชิด ฝีมือเพลงทวนของหยางตี้นั้นสะท้านทั่วแผ่นดินจนพระเจ้าเทียนฟู่แต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าราชองครักษ์วังหลวง ครั้งหนึ่งหยางตี้ได้รับราชโองการให้ไปปราบกบฏต่างเผ่า หยางตี้ใช้เวลาเพียงสามวันก็ปราบกบฏลงได้ วีรกรรมครั้งนี้ทำให้เขาได้กระโดดเป็นถึงแม่ทัพใหญ่คุมกำลังพลสิบหมื่นแห่งแคว้นเสฉวนเลยทีเดียว
แต่ใครเล่าจะรู้ จากความดีความชอบครั้งนี้ทำให้ความทะเยอทะยานในตัวของหยางตี้เริ่มปะทุออกมา เขาเริ่มคิดอยากจะเป็นฮ่องเต้เสียเอง เขาเริ่มต้นด้วยการเรียกหาหลี่หมิงซุนกับจางอี้ฟง ขุนพลคนสนิททั้งสองเข้ามาปรึกษากันในจวนแม่ทัพใหญ่อย่างลับๆ
พอทั้งสองมาถึง หยางตี้จึงเริ่มกล่าวประโยคแรกว่า
"พวกเจ้าเห็นเป็นอย่างไร ถ้าข้าฯจะได้เป็นฮ่องเต้"
"ท่านแม่ทัพจะชิงบัลลังก์หรือ"จางอี้ฟงกล่าวทั้งแตกตื่นทั้งสงสัย
"ทำไม?ข้าทำความดีความชอบมากมาย มีคุณสมบัติไม่พอหรืออย่างไร"
"ไม่ใช่อย่างนั้นขอรับ คือว่า...ข้าคิดว่าตอนนี้...หูตาของฮ่องเต้ยังมีมาก..."
หลี่หมิงซุนจึงกล่าวประจบว่า
"ด้วยคุณวุฒิและคุณธรรมของท่านแม่ทัพ ล้วนเหนือกว่าองค์ฮ่องเต้เป็นร้อยเท่า การที่ท่านจะได้เป็นฮ่องเต้ก็สมควรแล้ว"
หยางตี้ได้ยินดังนั้นจึงหัวร่อดังกึกก้อง
วันรุ่งขึ้น หยางตี้มีบัญชาหลี่หมิงซุนและจางอี้ฟงจัดทัพกำลังพลสิบหมื่นเคลื่อนประชิดเมืองหลวงทันที ระหว่างทางหยางตี้ทำการรบสิบกว่าครั้ง ในที่สุดก็สามารถจับพระเจ้าเทียนฟู่ประหารชีวิตลงได้ ส่วนราชบุตรเทียนตี่นั้นถูกจองจำในคุกใต้ดินอย่างทุกข์ทรมาน
หยางตี้ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นฮ่องเต้ ทรงพระนามว่า หยางไท่จูฮ่องเต้ พระองค์ทรงปกครองด้วยความทารุณโหดเหี้ยม ราษฎรได้รับความเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า พระองค์เป็นฮ่องเต้มาได้2เดือนก็สั่งประหารคนบริสุทธิ์ไปพันกว่าคน ราษฎรต่างโกรธแค้นพระองค์
ในที่สุด มีชายหนุ่มผู้หนึ่งนามว่าจูหยินปลุกระดมราษฎรทั่วแผ่นดิน ลุกฮือบุกเข้าเมืองหลวง ราษฎรและทหารในเมืองหลวงล้วนเกลียดแค้นพระเจ้าหยางไท่จูอยู่เป็นทุนเดิม จึงช่วยจับพระเจ้าหยางไท่จูได้ พระเจ้าหยางไท่จูเห็นทหารบุกเข้าวังหลวงจึงคว้าทวนยาวเล่มหนึ่งได้แล้วทำการต่อสู้กับเหล่าทหารเพียงลำพัง แม้พระองค์จะมีเพลงทวนเป็นหนึ่งในแผ่นดิน แต่ไหนเลยจะต้านทานกองทหารนับหมื่นนับแสนได้ ในที่สุดพระองค์ก็ถูกอาวุธนานาชนิดแทงพรุนทั่วพระวรกาย พระองค์ทรงเดินโซเซไปนั่งลงที่แท่นบัลลังก์ทอง
บัดนี้ จิตใจขององค์หยางไท่จูเลื่อนลอย พระองค์ทรงหวนนึกถึงเมื่อที่พระองค์ยังเป็นขุนพลที่ซื่อสัตย์สุจริต นึกถึงยามที่พระองค์ทรงปราบกบฏเพื่อประเทศชาติบ้านเมือง
จูหยินหลังจากชิงบัลลังก์จากพระเจ้าหยางไท่จูลงได้ก็ทรงปลดปล่อยราชบุตรเทียนตี่ออกจากคุกใต้ดิน แล้วปราบดาภิเษกให้ราชบุตรเทียนตี่เป็นฮ่องเต้ ทรงพระนามว่า ต้าเทียนไท่จูฮ่องเต้ พระองค์ทรงแต่งตั้งให้จูหยินเป็นแม่ทัพปราบมาร ดูแลกองทหารทั่วราชอาณาจักร
เสียงโห่ร้องของราษฎรทั่วแผ่นดินดังกึกก้อง พวกเขาดีใจที่จูหยินสามารถปราบจักรพรรดิจอมโหดลงได้ นับแต่นี้แผ่นดินจีนคงจะมีแต่ความสุขสงบตลอดไป