16 มิถุนายน 2553 23:16 น.
วิจิตรวาทะลักษณ์
ไปอาบน้ำ แต่งตัว อย่ามัวช้า
ถึงเวลา ทำงาน แล้วหลานเอ๋ย
จะมานั่ง อยู่ทำไม รีบไปเลย
เดี่ยวจะเลย เวลา หาทำกิน
พ่อแม่เจ้า อย่าร้าง แต่ยังเด็ก
ยามเจ้าเล็ก ยายเลี้ยง เพียงดับดิ้น
เมื่อเจ้าโต ถึง ม. สอง ต้องหากิน
เพื่อเป็นสิน น้ำใจ ยายคืนมา
ทั้งตัวเจ้า และน้อง ต้องจำไว้
ยายนี่ไง คนเลี้ยงเจ้า เข้าใจหนา
โตป่านนี้ ต้องแทนคุณ หนุนชีวา
หาเงินมา เลี้ยงยาย ให้อยู่ดี
ฟังยายทวง บุญคุณ ว่าหนุนเลี้ยง
น้ำตาเพียง เอ่อพัง ทั้งสองที่
เข้าอาบน้ำ ล้างคราบไคล ในทันที
สายวารี ไหลหลั่ง ทั้งสองตา
แล้วออกมา แต่งกาย ให้สะสวย
ละเลงด้วย แป้งผง ทาลงหน้า
ลบรอยคราบ น้ำใส ไหลจากตา
แล้วก้มหน้า รับกรรม ช้ำชีวี
พูดสั่งลา น้องสาวตน คนอยู่บ้าน
พี่ออกไป ทำงาน นะน้องพี่
พี่ทำแทน น้องแล้ว แก้วคนดี
อยู่ที่นี่ หุงข้าวหนอ ไว้รอยาย
พอสั่งเสร็จ ไปหายาย ที่ปลายรั้ว
นั่งซ้อนตัว จักรยาน ปั่นเร่ขาย
เมื่อแม่เล้า ได้ขึ้นชื่อ ว่าคือยาย
เอาหลานตัว ออกขาย หมายทำกิน
ให้หนุ่มน้อย หนุ่มใหญ่ ในหมู่บ้าน
เขาเอาหลาน ทำระยำ ให้ช้ำสิ้น
แลกเศษเงิน ร้อยสองร้อย รอยมลทิน
ได้แค่กิน เบียร์เหล้าหนอ ยายก็ยอม
หลานไม่มี ที่พึง จึงอาศัย
หวังเป็นร่ม โพธิ์ไทร ให้ถนอม
แต่คราบยาย กลายแม่เล้า เข้ามาปลอม
หลานต้องยอม ขายตัว เพราะกลัวยาย
นี่นะหรือ สังคมไทย ในกาลนี้
สิ่งดีดี ที่ควรเพิ่ม เริ่มเลือนหาย
เมื่อลัทธิ บูชาเงิน เกินบรรยาย
ความเสื่อมทราม เริ่มทำร้าย ลายแผ่นดิน
วิจิตรวาทะลักษณ์
วันพุธที่ 16 มิถุยายน 2553
13 มิถุนายน 2553 20:18 น.
วิจิตรวาทะลักษณ์
นักศึกษา รุ่นใหม่ ในวันนี้
กับวิธี เป็นศูนย์กลาง การศึกษา
เมื่อทางการ เขาชี้บท กำหนดมา
ชี้ชะตา ให้ท่านเห็น เป็นศูนย์กลาง
ให้ผู้เรียน เป็นสำคัญ พากันว่า
คำเลิศหรู ดูมีค่า มากล่าวอ้าง
เมื่อใช้จริง กลับสับสน คนละทาง
อะไรคือ ศูนย์กลาง ที่อ้างมา
ฝ่ายอาจารย์ บอกสำคัญ อยู่ที่ศิษย์
ยึดนักเรียน ยึดนิสิต เป็นแนวหน้า
อยากจะเรียน แบบไหน ให้ว่ามา
แล้วสอนตาม ศิษย์ว่า มาร่วมเรียน
ฝ่ายนิสิต คนไหน ใฝ่ศึกษา
ก็สมดัง เจตนา มาขีดเขียน
แต่คนไหน ไม่มาฟัง ไม่นั่งเรียน
บอกเขาเขียน ว่าฉัน นั้นศูนย์กลาง
วิชาเรียน ในชั้น ฉันไม่สน
กลับดิ้นรน เรียนนอกชั้น มันกล่าวอ้าง
วิชาเรียน เกรดลด หมดทุกทาง
วิชาสร้าง สืบพันธ์ มันได้เอ
เงินค่าเทอม มหาลัย ไม่ถึงหมื่น
ขอแม่คืน สองหมื่นห้า มาเรียนเก๊
จองโรงหนัง เรียนสังคม บ่มเกเร
จองเธคเท่ห์ เรียนลีลาศ ประกาศใคร
จนสุดท้าย เรียนวิชา แพทยศาสตร์
หมอเถื่อนปาด ตัดเชือด เลือดในไส้
หนึ่งชีวิต ผู้เกิดตาม น้ำมือใคร
ต้องมอดไหม้ ด้วยน้ำมือ ชื่อมารดา
นักศึกษา รุ่นใหม่ ในวันนี้
กับวิธี เป็นศูนย์กลาง การศึกษา
จงตั้งใจ เล่าเรียน เพียรวิชา
ให้สมกับ คำว่า ปัญญาชน
วิจิตรวาทะลักษณ์
วันอาทิตย์ที่ 13 มิถุนายน 2553
12 มิถุนายน 2553 13:47 น.
วิจิตรวาทะลักษณ์
มีนิทาน กาลเก่า มาเล่าใหม่
เพื่อสอนใจ ให้สติ มิลืมหลง
อันโลภรัก หลากล้วน ชวนดำรง
ให้ลุ่มหลง เกิดเรื่องราว จนร้าวใจ
มีครอบครัว พ่อแม่ลูก ผูกสมัคร
อาชีพหลัก ทำนา และทำไร่
ลูกคนโต เป็นหญิง สิ่งภูมิใจ
ดูแลได้ น้องชายตน คนสำคัญ
เมื่อน้องชาย อายุได้ ห้าขวบต้น
ชีวิตแม่ ก็ร่วงหล่น ไปเสียนั่น
เหลือพ่อลูก สามคน บนทางตัน
ต้องฝ่าฝัน ทำกิน บนถิ่นไพร
อยู่ไม่นาน พ่อหม้าย ได้เหว่หว้า
อยากมีเมีย ช่วยทำนา หาปลาให้
ได้พบพาน สาวทองดำ จำฝังใจ
คิดอยากได้ ร่วมห้อง ครองชีวี
จึงลองจีบ สาวทองดำ ในค่ำหนึ่ง
เธอบอกซึ่ง อยากได้ฉัน นั้นฟังนี่
หากเธอกล้า ฆ่าลูกตาย หมายชีวี
ฉันจะยอม เป็นศรี ภรรยา
หากไม่กล้า อย่ามาพร่ำ คำว่ารัก
จะไปไหน ก็จัก อย่าเห็นหน้า
ฝ่ายพ่อหม้าย ฝังจำ คำเธอมา
พรุ่งนี้หนา จะหาทาง ฝังลูกตาย
พอรุ่งเช้า ชวนลูกน้อย ค่อยเดินป่า
บอกจะพา ไปเดินดง ส่งความหมาย
ผลไม้ ในป่านี้ มีมากหมาย
ลูกหญิงชาย ต่างดีใจ ได้เดินดง
เดินไปถึง ป่าลึก นึกอยากน้ำ
บอกลูกน้อย เดี่ยวจะค่ำ เจ้าจะหลง
พ่อจะขุด บ่อน้ำ บอกตามตรง
ให้เจ้าลง หยั่งนึก ลึกเท่าใด
แล้วก็ขุด ดินลง ตรงที่ชี้
ลึกได้ที่ เก้าวาเป็น เห็นจะได้
สั่งลูกสาว คนโตนั้น ในทันใด
ให้ลงไป หยั่งหลุม สุ่มกี่วา
ฝ่ายลูกสาว เห็นพ่อสั่ง ลงหยั่งหลุม
ก็โดดดุ่ม ลงไป ไม่กังขา
ถึงหลุมน้อย ตะโกนออก บอกบิดา
ว่าท่วมหัว แล้วหนา บิดาเอย
ฝ่ายพ่อหม้าย จับลูกชาย ใส่หลงบ่อ
แล้วขุดดิน ถมต่อ โอ้พ่อเอ๋ย
เสียงพี่สาว ร้องบอกพ่อ อย่าถมเลย
พลางเอื้อนเอ่ย ร้องขอ ต่อบิดา
น้องชายกลัว ร้องไห้ ไม่ยอมหยุด
พ่อก็ขุด ดินถมกลับ ทับถูกหน้า
เสียงร้องไห้ ระงมดัง ทั้งพนา
ดั่งฝืนป่า สะเทือนใจ ในเหตุการณ์
ดินถมถึง คอแล้ว พ่อแก้วจ๋า
โปรดเถิดหนา อย่าถมลง ให้สงสาร
พ่อกลับขุด ดินต่อ ไม่รอนาน
เสียงวอนวาน จากลูกน้อย ก็ค่อยลง
เมื่อฆ่าลูก ได้ดัง ที่ตั้งไว้
เดินลัดดง พงไพร ไม่ลืมหลง
ถึงบ้านสาว ทองดำ พอค่ำลง
ก็รีบตรง ทวงสัญญา วาจานาง
พี่มาทวง สัญญา ที่ว่าไว้
ลูกหญิงชาย พี่ฆ่าได้ ไม่ขัดขวาง
มาเถิดมา ครองครู่ อยู่ร่วมทาง
มาร่วมสร้าง ทางรัก ประจักษ์ใจ
ฝ่ายทองดำ ฟังคำ ที่เขาว่า
ดั่งถูกฟ้า ฟาดหล่น จนมอดไหม้
เจ้าเรียกตน ว่าคน ได้เช่นไร
ลูกในไส้ ใยกล้าฆ่า หาสมควร
ฉันเป็นใคร หาใช่ ในสายเลือด
หากเธอเดือด ฉันคงตาย หมายถูกถ้วน
ไปเถิดไป อย่าพานพบ มารบกวน
เธอไม่ควร เป็นคน บนแผ่นดิน
ได้ฟังคำ สาวทองดำ กรรมเราหนอ
หัวอกพ่อ คิดถึงลูก ถูกถมสิ้น
โดดลงเรือน วิ่งเข้าป่า หาหลุมดิน
ที่ลูกเรา ดับดิ้น ในป่าดง
โอ้ผีห่า ตนใด สิงใจพ่อ
จึงได้ก่อ เหตุทราม ในยามหลง
ถึงหลุมฝัง ลูกน้อย ค่อยบรรจง
เอามือลง ขุดดินขึ้น ฝืนชะตา
มือเป็นเลือด เพราะเศษดิน และหินปัก
ด้วยแรงรัก ไม่ยอมถอย คอยเสาะหา
จนพบร่าง สองลูกน้อย ค่อยดึงมา
แนบอุรา ร่ำให้ ได้รำพัน
ฟื้นขึ้นมา เถิดลูกรัก อย่าจากพ่อ
กรรมใดหนอ พรากสองน้อย ให้จากนั่น
คืนมากิน ผลไม้ หลายร้อยอัน
ที่เจ้านั้น อยากกิน อย่าสิ้นไป
แล้วเอามือ ปัดดิน ออกจากหน้า
เห็นแต่รอย คราบน้ำตา มาร่ำให้
จับดูร่าง ยังอุ่นอุ่น วุ่นหัวใจ
จึงเป็นบ้า วิ่งวนไป ในพนา
จบนิทาน อันรันทด และหดหู่
เมื่อฝ่ายผู้ เป็นพ่อ ก่อกรรมกล้า
ฆ่าลูกน้อย เพียงเพราะหลง ลงกามา
เสียงประณาม ว่าต่ำช้า ตราแผ่นดิน
อันรักโลภ โกรธหลง หากลงแล้ว
ยึดดวงแก้ว แห่งพระธรรม มานำสิ้น
ก่อนจะทำ คิดให้ถ้วน ทวนในจินต์
แล้วจะสิ้น กิเลสนำ เพราะธรรมครอง
วิจิตรวาทะลักษณ์
วันเสาร์ที่ 12 มิถุนายน 2553