3 กันยายน 2548 13:42 น.
วิจิตรวาทะลักษณ์
บุญข้าวประดับดิน เป็นหนึ่งในสิบสองบุญของชาวอีสาน
ที่จัดขึ้นในวันแรม 14 ค่ำ เดือนเก้า เพื่อเป็นการอุทิศส่วน
กุศลให้กับเปรต และญาติที่ล่วงลับไปแล้ว บุญข้าวประดับ
มีความเป็นมาอย่างไร มีความสำคัญอย่างไร ข้าพเจ้าจักถ่าย
ทอดเรื่องราว ความงดงามแห่งวิถีบุญข้าวประดับดิน ผ่าน
บทกวี ให้ทุกท่านได้รับชม ณ บัดนี้
อดีตครั้ง พุทธกาล ขอขานเล่า
พระญาติพระเจ้า พิมพิสาร ในกาลนี้
ได้ยักยอก เงินวัดวา มามั่งมี
สิ้นชีวี จึงเป็นเปรต เขตโลกันต์
เมื่อพระเจ้า พิมพิสาร ทานถวาย
ญาติผู้ตาย มิกรวดน้ำ ไปตามนั้น
ครั้นกลางคืน เปรตโหยหวน ล้วนโสกันต์
มาขอปัน ส่วนบุญมาก จากพระองค์
จึงทรงถาม พุทธองค์ ให้ทรงแจ้ง
ทรงแสดง แจ้งความหลัง ดังประสงค์
ให้กรวดน้ำ อุทิศบุญ หนุนดำรง
เพื่อเสริมส่ง ให้ภูตผี มีผลทาน
ชาวอีสาน จึงถือเอา เดือนเก้านี้
ทำพิธี ข้าวประดับดิน ถิ่นอีสาน
ในวันแรม สิบสี่ค่ำ ตามโบราณ
ให้จัดงาน ข้าวประดับดิน ในถิ่นตน
ในวันแรม สิบสามค่ำ ทำอาหาร
ทั้งเครื่องหวาน ข้าวต้มไว้ ทั้งไม้ผล
ทั้งเครื่องคาว ปลาเนื้อปิ้ง สิ่งมงคล
บุหรี่มน หมากพลูพร้อม น้อมบูชา
บรรจงต่อ แล้วห่อรอง ด้วยตองกล้วย
มัดให้สวย แล้วเตรียมไว้ ใส่ตะกร้า
พอเช้ามืด สิบสี่ค่ำ ตามเวลา
หยิบตะกร้า เข้ามาวัด จัดพิธี
เครื่องคาวหวาน หมากพลู อยู่ในห่อ
ขุดหลุมรอ กลบดินฝัง ข้างวัดนี้
ข้อสำคัญ ต้องทำแข่ง แสงสุรีย์
สิ้นราตรี สิ้นเวลา มาฝังดิน
แล้วกลับบ้าน อาหารห่อ พอมาวัด
ก็แจงจัด เอาอาหาร มาทานศีล
อยู่รับพร กรวดน้ำ ลงตามดิน
ฝากธรณินทร์ นำกุศล สู่คนตาย
เหล่าภูตผี มีหรือไม่ ใครตัดสิน
ข้าวประดับดิน ทำให้ใคร ไม่เสียหลาย
แต่ที่รู้ สามัคคี มิเสื่อมคลาย
เมื่อเลื่อมลาย ข้าวประดับดิน มิสิ้นมนต์
วิจิตรวาทะลักษณ์
วันเสาร์ที่ 3 กันยายน 2548
เวลา 13.50 น.
25 สิงหาคม 2548 22:59 น.
วิจิตรวาทะลักษณ์
อดีตกาล เมื่อฝากฟ้า สิบห้าค่ำ
จันทราล้ำ นำแสงส่อง ต้องโลกหล้า
แสงสีนวล ชวนเพลินพิศ แนบนิทรา
ใต้ฟากฟ้า จันทราเจ้า กล่อมเรานอน
ข้าอยากให้ ข้าเต็มดวง ทุกห้วงฟ้า
เพื่อส่องหล้า ให้นอนหลับ หลงกับหมอน
เพราะข้าเห็น เมื่อแสงข้า กล่อมหล้านอน
ช่างโอนอ่อน ลงเบื้องล่าง อย่างอำไพ
สรรพชีวิต ใต้ฟากฟ้า เวลานี้
ในราตรี แห่งคืนเพ็ญ อันเย็นใส
เมื่อมนุษย์ สู่นิทรา ราตรีไกล
ช่างงดงาม ตามวิสัย อำไพพรรณ
แต่บัดนี้ ข้าอยากเป็น เช่นเดือนมืด
มิอยากยืด ให้แสงข้า ส่องหล้านั่น
เพราะภาพใหม่ ในเบื้องล่าง ช่างจาบัลย์
ข้าไม่อยาก จะเห็นมัน คืนวันเพ็ญ
เมื่อหนุ่มสาว ชาวนิสิต นักศึกษา
มาเริงรัก หลากลีลา ให้ข้าเห็น
ใช้ความมืด แห่งราตรี ที่ร่มเย็น
มาลองเล่น เช่นชู้สาว ให้ฉาวใจ
จะมองไป ทางไหนไหน ก็ใช่หมด
ข้าเหลืออด ไม่อยากดู รู้บ้างไหม
ไม่อายผี อายสาง บ้างหรือไร
อายข้าบ้าง จะได้ไหม อย่าได้ทำ
ใต้เงาไม้ ในริมทาง ไม่ว่างเว้น
เห็นข้าเป็น เช่นพยาน มันน่าขำ
เจ้าคือคน มิใช่สัตว์ อย่าอาจทำ
จงน้อมนำ เอาคำข้า มาใส่ใจ
หากไม่เชื่อ จนเหลือขอ ก็ลองเถิด
หากอยากเปิด ศึกกับข้า กล้าใช่ไหม
คำสาปข้า จะสาปส่ง ตรงลงไป
จากนี้ไป พระจันทร์ข้า จะจองเวร
วิจิตรวาทะลักษณ์ (นฤมิตรเทวากร)
วันพฤหัสบดีที่ 25 สิงหาคม 2548
23.03 น.
25 สิงหาคม 2548 22:55 น.
วิจิตรวาทะลักษณ์
เมื่ออาทิตย์ อัสดง ลงดับแสง
ความมืดดำ จึงสำแดง ขับแสงจ้า
ราตรีม่าน จึงสานสั่ง กำบังตา
รัตติกาล จึงผ่านฟ้า มาร่ายมนต์
โรงแรมแห่ง รัตติกาล ถึงการเปิด
ก่อกำเนิด แหล่งเสพย์สุข ทุกแห่งหน
ที่ใดมืด แหล่งซอกอับ ลับตาคน
คือห้องคน บนโรงแรม รัตติกาล
เหล่าหญิงชาย หมายสมสู่ อยู่แห่งนี้
พี่กับน้อง น้องกับพี่ พี่กับหลาน
มาเปิดห้อง ของโรงแรม รัตติกาล
ป่าข้างบ้าน ข้างทุ่งนา ข้างป่าปอ
เสียงหรีดหริ่ง เรไร ในท้องทุ่ง
จึงคละคลุ้ง กับเสียงร้อง ในห้องหอ
ดาราราย ดั่งไฟโคม ประโลมรอ
ราตรีผ่าน ดั่งม่านทอ พอกำบัง
จะเสียเงิน เช่าห้องไป ทำไมเล่า
ในเมื่อเรา มีที่หมาย ให้สมหวัง
เมื่อเสร็จสม ก็แยกทาง ต่างลำพัง
มิหันหลัง ให้ติดค้าง ต่างน้ำตา
เมื่อความมืด มอบชีวิต นิทราให้
มวลมนุษย์ ได้หลับใหล ในโลกหล้า
ควรแล้วฤา มาเปิดให้ ใครเข้ามา
เริงกามา ณ โรงแรม แห่งรัตติกาล
วิจิตรวาทะลักษณ์ (นฤมิตรเทวากร)
วันพฤหัสบดีที่ 25 สิงหาคม 2548
22.59 น.
25 สิงหาคม 2548 22:48 น.
วิจิตรวาทะลักษณ์
วายุว่าย พระพายพริ้ว ลิ่วสะบัด
พรมพร่างพัด สะบัดมา จากฟ้าไหน
ปะทะทาบ ปราบไม้ต้น จนหล่นใบ
ต้นเอนไหว ละลู่ลม ก้มลงดิน
พฤกษาสณฑ์ โดนลมลู่ ฤาสู้ไหว
จึงปลิดใบ ให้หล่นหลง ลงสู่สินธุ์
เมื่อไม้หมด ใบเคยเคียง ลงเรียงดิน
ใบจึงสิ้น เหลือแต่ก้าน ไว้ต้านลม
ลมจะแรง สักเพียงไหน พัดไม้ต้น
แค่ใบหล่น จนหมดสิ้น ให้ดินถม
แต่รากไม้ ใต้แผ่นดิน ไม่สิ้นคม
แค่แรงลม ฤาข่มไม้ ให้ไหวเอน
ประเทศไทย จะดำรง คงเป็นไทย
เมื่อรากไม้ ไทยมั่นคง ดำรงเห็น
ยังคงรักษ์ รากแห่งไทย มิไหวเอน
ไทยจะเป็น เช่นไทย ไม่สั่นคลอน
กระแสแห่ง กาลวิวัฒน์ จะพัดผ่าน
ไปสู่กาล เทคโนโลยี ที่หลอกหลอน
ความเป็นไทย จะคงมั่น มิสั่นคลอน
หากรากไทย ไม่ถูกถอน ขึ้นก่อนดิน
แด่รากเมือง ผู้เรืองยศ หมดทุกท่าน
อันเมืองบ้าน จะดำรง คงศักดิ์ศิลป์
อยู่ที่เรา ดำรงรักษ์ รากแผ่นดิน
อย่าลืมสิ้น ข้าขอฝาก รากนครา
วิจิตรวาทะลักษณ์ (นฤมิตรเทวากร)
วันพฤหัสบดีที่ 25 สิงหาคม 2548
22.56 น.
14 สิงหาคม 2548 21:01 น.
วิจิตรวาทะลักษณ์
สองมือกุม ถุงกาว แล้วสาวฟ้า
เอื้อมแขนคว้า เอาดวงดาว พราวสดใส
เอามือดึง ให้ถึงดาว อันยาวไกล
มาอยู่ใน กำมือ แล้วถือดม
ไม่มีเงิน ซื้อยาบ้า มาร่วมเสพย์
ใช้เงินเก็บ ซื้อกาวตรา มาเสพย์สม
เปลี่ยนกาวทา ปะยางรถ หมดนิยม
มาเสพย์สม ดั่งของดี มีราคา
สารระเหย จึงครอบงำ นำไปสู่
ความเป็นอยู่ แห่งจินตนาการ อันเลิศหล้า
ภาพหลอนร้อย ลอยสะพรั่ง กำบังตา
สวยโสภา ดั่งวิมาน อันเลิศลอย
เมื่อสองเท้า ยังติดดิน บนถิ่นพื้น
แต่กลับยื่น เอามือคว้า ดาราร้อย
อีกมือหนึ่ง กุมถุงกาว ชมดาวลอย
ว่าตนสอย ดาวลอยฟ้า ลงมาดิน
ทั้งเด็กหญิง เด็กชาย หมายร่วมเสพย์
หมดเงินเก็บ ก็หาขอ พอไม่สิ้น
บ้างขายตัว มั่วขโมย หวังโบยบิน
เท้าติดดิน แต่มือสอย รอยดารา
ผู้ใหญ่เห็น เป็นเด็กน้อย ไม่ค่อยสน
ใช่ลูกตน หลานของตน ไม่สนหน้า
เด็กจึงดม ตามซอกอับ ที่ลับตา
ให้กาวพา อนาคต เด็กหมดไป
โอ้กาวเอ๋ย ระเหยไป ไม่เหลือหรอ
อนาคต เด็กไทยหนอ ก็มอดไหม้
หากปล่อยว่าง แล้ววางเฉย ให้เลยไป
อนาคต ของชาติไทย คงหายพลัน
หรือดมกาว ความผิดนั้น มันไม่ใหญ่
ตำรวจจึง ไม่สนใจ ให้เลยนั่น
ขึ้นชื่อว่า ยาเสพย์ติด พิษเท่ากัน
ควรหรือนั่น ปล่อยให้เขา ดึงดาวดม
วิจิตรวาทะลักษณ์
วันอาทิตย์ที่ 14 สิงหาคม 2548
21.06 น.