7 พฤษภาคม 2548 13:15 น.
วิจิตรวาทะลักษณ์
ต้นไทรใหญ่ แผ่ใบก้าน เป็นลานร่ม
ให้เงาห่ม ผืนแผ่นหล้า ได้อาศัย
เจ้าเด็กน้อย พลอยเริงร่า พาสุขใจ
ฟังผู้ใหญ่ เล่านิทาน ใต้ลานลม
กาลครั้งหนึ่ง นานมาแล้ว เสียงแว่วเริ่ม
ช่วยต่อเติม จินตนาการ อันสุขสม
หลายร้อยเรื่อง เป็นเนืองนิจ จนติดลม
ช่วยฝังปลูก ค่านิยม แห่งความดี
เป็นทั้งบ้าน ให้ร่มเงา เราอาศัย
เป็นครัวให้ ได้ทานข้าว คราวอยู่นี่
เป็นห้องเรียน สรรพวิชา ค่ามากมี
เป็นโรงหนัง นิทานมี ที่เล่ากัน
เมื่อเส้นทาง ความเจริญ เดินมาถึง
ถนนจึง ถึงหมู่บ้าน ในย่านนั้น
ต้องตัดไม้ ทำลายป่า สารพัน
เพื่อเปลี่ยนมัน เป็นถนน บนทางดิน
เส้นทางที่ ทำถนน คนเดินผ่าน
ต้องตัดลาน ร่มไทร ไม่เหลือสิ้น
เพื่อถนน จึงยอมให้ ตัดไทรดิน
เพื่อเจริญ มาสู่ถิ่น แผ่นดินเรา
ไม่มีแล้ว ไทรร่ม เคยห่มหล้า
ร่มนิทาน ของหนูล่ะ ใครจะเล่า
ไม่เอาแล้ว ไอ้ถนน บนบ้านเรา
หนูจะเอา ร่มนิทาน ของหนูคืน
7 พฤษภาคม 2548 12:52 น.
วิจิตรวาทะลักษณ์
ต้นมะเขือ ออกดอกงาม ยามเป็นผล
ดอกโผล่พ้น ชูช่อชั้น ปานบุปผา
ทั้งขาวม่วง เป็นรวงย้อย ห้อยลงมา
ดอกก้มหน้า ลงสู่ดิน ถิ่นเกิดตน
ดั่งดอกเจ้า เขารู้ผล ว่าตนต่ำ
ถ่อมตนนำ จึงอ่อนน้อม ย่อมเป็นผล
ไม่ใฝ่สูง จนฟุ้งทั่ว ตัวของตน
มะเขือผล จึงงดงาม ตามครรลอง
แต่ต้นกล้วย ทวยแทงดอก ออกตรงยอด
เป็นปลีทอด สู่ยอดฟ้า พาหม่นหมอง
แหวกกอกล้วย ด้วยใจฮึก นึกคะนอง
จึงหมายปอง ขึ้นสู่ฟ้า ณ แดนไกล
ดั่งปลีกล้วย ไม่รู้ผล ว่าตนต่ำ
ใฝ่สูงนำ ทะเยอทะยาน ลืมบ้านได้
ลืมกำเนิด เกิดจากดิน ถิ่นพงไพร
จึงมุ่งไป สู่วิมาน ชั้นเบื้องบน
เจ้ามะเขือ เพราะอ่อนน้อม ย่อมดีได้
เพราะคนใช้ ไม่ตัดตอ พอออกผล
แต่ต้นกล้วย ด้วยใฝ่สูง มุ่งเกินตน
พอใช้ผล คนจึงตัด จำกัดไป
จะเลือกเป็น ดอกมะเขือ เพื่ออ่อนน้อม
หรือจะยอม เป็นปลีกล้วย เพื่อม้วยได้
ให้ตรองตรึก แล้วนึกคิด เป็นนิจนัยน์
แล้วเลือกไป ตามครรลอง ของคนดี
7 พฤษภาคม 2548 12:35 น.
วิจิตรวาทะลักษณ์
ผ้าแพรวา อาภรณ์พรรณ อันอ่อนช้อย
ร่วมเรียงร้อย หัตถศิลป์ ถิ่นอิสาน
วิจิตรประจักษ์ สลักหล้า มาช้านาน
ผสมผสาน ผ่านเชิงชั้น อันบรรจง
เส้นสายไหม วิไลวรรณ ปานทองแต้ม
กนกแกม แต้มเติมไหม ให้ระหงส์
กระสวยสอด ประสานศิลป์ ดิ้นทองลง
สอดประสาน วิจิตรส่ง คงแพรพรรณ
ฟืมกระตุก รุกเล่นลาย ร่ายลายผ้า
เหยียบซ้ายขวา สอดกระสวย ช่วยเสกสรรค์
กระชับมือ กระตุกกี่ ทุกวี่วัน
เกิดแพรพรรณ อันวิจิตร สถิตย์ไทย
เสียงฟืมกี่ ประสานสลับ กับกระสวย
ระรินระรวย เป็นเพลงผ้า แพรวาไสว
ลำนำล่อง ทำนองยาว สาวผู้ไท
ขิดหมี่ไหม ลายระย้า โสภาพรรณ
หมู่หนุ่มสาว ชาวผู้ไท ใช้นุ่งห่ม
ประสานประสม ระอองกลิ่น ศิลป์เสกสรรค์
ใช่เพียงเห็น แค่ผืนผ้า แพรวาพรรณ
แต่รังสรรค์ เพื่อสืบสาน งานแผ่นดิน
แต่บัดนี้ เพลงผ้า มาเลือนหาย
เสียงฟืมกี่ กระสวยสาย ก็หายสิ้น
เสียงเครื่องจักร ถักทอผ้า มากลืนกิน
ไร้เพลงศิลป์ ถิ่นเพลงผ้า มาบรรเลง
25 เมษายน 2548 18:12 น.
วิจิตรวาทะลักษณ์
ใบข้าวเขียว เลี้ยวเล่นลม พรมพร่างพัด
แล้วปลิวปัด ผัดโอนเอน เช่นรำร่าย
ละลู่ลิ่ว ระลอกลม ล้มเล่นลาย
ขจรขจาย ดั่งหมายแม้น แดนเทวัญ
ประหนึ่งนาง อย่างเทวี ศรีอัปสร
ร่ายรำฟ้อน อรอนงค์ ทรงเสกสรรค์
จึงอ่อนช้อย ร้อยท่วงท่า สารพัน
ระบำบรรณ์ เพื่อบรวงสรวง ปวงเทวา
หมู่เขียดกบ ร้องระงม ผสมเสียง
ประหนึ่งเพียง เสียงเพลงพิณ จากถิ่นฟ้า
กลิ่นดอกไม้ ชายท้องทุ่ง ฟุ้งลอยมา
ดั่งสุคนธา ที่เทพไท้ ได้ประพรม
กระท่อมน้อย ปลายนา ณ ท้องทุ่ง
ดั่งฟ้ามุ้ง ทิพย์วิมาน อันสุขสม
ม่านหมอกมัว สลัวสาง ที่พร่างพรม
ดั่งม่านฟ้า มาหอบห่ม อาศรมวิมาน
เริงระบำ ของใบข้าว ยังก้าวต่อ
ยังเริงล้อ ลู่เล่นลม ผสมผสาน
แต่ขาดคน บนพื้นนา มาช้านาน
เพื่อดูเหล่า ข้าวสราญ ร่านระบำ
25 เมษายน 2548 18:04 น.
วิจิตรวาทะลักษณ์
สัตบุษ ที่โผล่พ้น อยู่บนน้ำ
ช่างเลิศล้ำ วิจิตรา โสภาศรี
บงกชบาน สราญหล้า ทั่วธานี
แต้มนที นี้สดสวย ด้วยดอกบัว
กว่าจะเห็น เป็นบัวงาม ในยามนี้
ใต้นที มีเรื่องราว มากล่าวทั่ว
กว่าจะบาน ให้ท่านเห็น เป็นดอกบัว
เรื่องหมองมัว ภายใต้ตม ยังขมใจ
อันใต้ตม มีบัวหน่อ ที่รอเกิด
ถือกำเนิด เป็นบัวงาม ยามหน้าได้
คอยแหวกตม สู่เบื้องบน ทนทำไป
สู่สดใส เหนือนที มีเบ่งบาน
บัวจะงาม ตามวิถี ที่เป็นอยู่
ก็เพราะรู้ มีลืมหนี้ หนีถิ่นฐาน
ยังฝังราก ฝากตมไม่ ใฝ่ทะยาน
จึงเบ่งบาน อวดชู คู่โลกา
จะกำเนิด จากถิ่นใด ไม่สำคัญ
อย่าลืมดิน ถิ่นฐานนั้น สำคัญกว่า
กำพืดไพร่ แม้ต่ำต้อย ด้อยราคา
จะสูงค่า ถ้าทำตน เป็นคนดี
และยึดมั่น อยู่บนดิน ถิ่นอาศัย
ม้เพียงไพร่ จงภูมิใจ ในหน้าที่
เกิดแต่ตม อาจต้อยต่ำ ตามตนมี
แต่ความดี อย่าต้อยต่ำ ไปตามตม