17 พฤษภาคม 2548 20:31 น.
วิจิตรวาทะลักษณ์
จันทราทาบ อาบนภา สิบห้าค่ำ
เดือนห้าล้ำ ลับล่วงเลือน เดือนหกถึง
ดิถีฤกษ์ เบิกฝั่งฟ้า ราตรีตรึง
ชาวพุทธพึง ถึงบูชา วิสาขะวาร
พุทธองค์ ทรงประสูติ หยุดกิเลส
ตรัสรู้ สู่อารยะประเทศ นิเวสสถาน
แสดงธรรม เทศนา พระธรรมทาน
เสด็จดับขันธ์ ปรินิพพาน ณ วารวัน
วิสาขะ บูชา ณ เดือนหก
พุทธพสก น้อมบูชา พระธรรมขันธ์
เข้าวัดวา รักษาศีล สู่ถิ่นธรรม์
ร่วมรังสรรค์ พุทธวิถี ที่เป็นมา
แต่เด็กไทย ไร้วี่แวว ในแถววัด
ไม่เห็นค่า วิสาขะรัตน์ พิพัฒน์หล้า
มีเพียงเหล่า คนเฒ่าแก่ แห่กันมา
น้อมบูชา พระศาสดา พุทธมุนี
แต่เมื่อคราว เทศกาล งานฝรั่ง
เด็กไทยตั้ง ตารอ ขอเร็วรี่
วาเลนไทน์ กุหลาบให้ ไม่รอรี
ฮาโลวีน ที่หลอกผี ยังมีกัน
แต่วันหยุด พุทธศาสน์ กลับขาดเด็ก
วัดดูเล็ก เข้าไม่ได้ ไม่ใช่ฉัน
โอ้เมืองแห่ง พุทธศาสนา ต้องจาบัลย์
เมื่อเด็กไทย ลืมความสำคัญ ของวันวิสาขบูชา
16 พฤษภาคม 2548 22:17 น.
วิจิตรวาทะลักษณ์
พิภพพื้น ผืนนาเห็น เป็นพยาน
กระท่อมร้าน ร่วมรู้เห็น เป็นสักขี
ตั้งสัจจา เป็นสัญญา ณ นาปี
สองเรานี้ จะคืนคู่ สู่บ้านไพร
ลมพรูพรั่ง ดั่งปากกา มาวางวาด
ใบข้าวสาน ปานกระดาษ มาวาดให้
เอาหมอกม่าน ปานหมึกแม้น เขียนแทนไป
เอาสองใจ ร่วมพากเพียร เขียนสัญญา
เมื่อถึงคราว ใบข้าวเขียว เลี้ยวลมเล่น
ระรอกเห็น เป็นคลองคลื่น ในผืนหล้า
ยามใบข้าว ก้าวระบำ ตามลีลา
เราสัญญา มาคืนคู่ อยู่เคียงใจ
จะคืนสู่ ทุ่งวิมาน อันสุขสม
ดูสายลม พรมพัดพริ้ว ปลิวไสว
ดูใบข้าว ก้าวระบำ ลำนำไพร
ให้สองใจ สูดไอกลิ่น ถิ่นท้องนา
จากข้างเขียว เลี้ยวลอยล่อง ในท้องทุ่ง
ออกรวงรุ้ง คมเคียว เกี่ยวเก็บหล้า
จนหว่านดำ ลำต้นข้าว ยาวอีกครา
แต่สัญญา ณ นาปี ไร้วี่แวว
พิภพพื้น ผืนดินเห็น เป็นพยาน
เธอลืมลา คำสาบาน อันแน่แน่ว
อีกเจ็ดวัน หากเธอไป ไร้วี่แวว
ขอเอาแนว ดินผืนนา ฝังหน้าตน
16 พฤษภาคม 2548 22:05 น.
วิจิตรวาทะลักษณ์
ไทรระย้า ห้อยระโยง ลงค้ำพื้น
แล้วหยัดยืน ตั้งตระหง่าน ปานภูผา
แผ่ใบก้าน เป็นลานร่ม ห่มพนา
ดั่งเทวา มาอารักษ์ พิทักษ์ไพร
ศาลเพียงตา มาต่อตั้ง ยังใต้ร่ม
ให้เงาไทร ได้หอมห่ม บ่มวิสัย
จึงมืดมัว สลัวแสง แห่งเงาไทร
แฝงกลิ่นไอ ให้ดูขลัง ดั่งมีมนต์
มีเรื่องเล่า มากล่าวขาน แต่กาลก่อน
ถึงเรื่องดอน ตาปู่ อยู่ทุกหน
เป็นฐานถิ่น ดวงวิญญาณ บรรพชน
อยู่คุ้มครอง พิทักษ์ชน ให้พ้นภัย
ทุกทุกปี จะมางาน บนบานกล่าว
ทั้งเครื่องคาว เครื่องหวาน บนบานไหว้
บายศรีเห็น เซ่นบวงสรวง พวงมาลัย
อีกเหล้าไห ไก่ตัวตั้ง วางบูชา
หากผู้ใด ได้ตัดไม้ ในดอนปู่
ดั่งลบหลู่ พ่อปู่ผี มิรักษา
ต้องเจอเหตุ หมู่เภทภัย ได้บีฑา
ผีปู่ตา จะแช่งให้ ได้ทุกข์ทน
เรื่องเล่าขาน ตำนานป่า ดอนตาปู่
จะเป็นผู้ อยู่รักษา ป่าทุกหน
หรือเป็นเพียง เรื่องเล่าขาน ผ่านชุมชน
ไม่มีใคร รู้เหตุผล กลสำคัญ
แต่สิ่งหนึ่ง ที่รู้ได้ ในวันนี้
ที่ใดมี ดอนปู่ตา มีป่าที่นั่น
ผีปู่ตา มีหรือไม่ ใช่สำคัญ
ยิ่งกว่านั้น ป่ายังอยู่ เพราะมีดอนปู่ตา
11 พฤษภาคม 2548 15:13 น.
วิจิตรวาทะลักษณ์
ณ ท้องทุ่ง ยามเก็บเกี่ยว เรียวรวงข้าว
ก็ถึงคราว เอาข้าวมัด รัดเป็นฟ่อน
เอารวมเรียง เคียงขนาน ในลานนอน
เพื่อก่อก่อน ตีต่อให้ ได้เมล็ดมา
ไม้ตีตั้ง เกี่ยวกวัด รัดคอข้าว
แล้วยกเอา มัดข้าวขึ้น ยืนตั้งท่า
ตามตวัด มัดข้าวรัด ฟาดลงมา
ข้าวทองทา ก็หลุดลอก ออกจากรวง
คนหนึ่งยก คนหนึ่งย้ำ ตามติดต่อ
เสียงตุบตับ สดับคลอ ล้อลมล่วง
ระคนคู่ ระลู่ลม ล้มเล่นรวง
บังเกิดท่วง ทำนองเพลง บรรเลงลาย
ตั๊กแตน ร้องระงม ประโคมเสียง
ดั่งร้อยเรียง ท่วงทำนอง ร้องหลากหลาย
ลมหวีดหวิว ประโคมคู่ หมู่หรีดลาย
ประสานสาย เสียงตีข้าว ในเหล่าลาน
หมู่เด็กน้อย ร่วมร้อยเล่น เป็นเพลงว่าว
ลมพัดพราว ให้ว่าวว่าย สายลมสาน
เสียงธนู อยู่ปลายว่าว คราวลมลาน
ผสมผสาน กล่อมทุ่งทอง ให้ผ่องพรรณ
น่าอนาถ นาฎกรรม บนลานข้าว
ที่เหลือเพียง แค่เรื่องราว มากล่าวกั้น
รถสีข้าว เข้ามาแสน แดนลานพลัน
คีตศิลป์ ถิ่นลานนั้น พลันลบเลือน
11 พฤษภาคม 2548 14:53 น.
วิจิตรวาทะลักษณ์
พิรุณหล่น ร่วงล้นริน จากถิ่นเทพ
ระอองไอ ประกอบเก็บ เสพย์สวรรค์
ผสานผสม ภิรมย์รื่น ชื่นชีวัน
จากเทพธรรม์ วิมานเมือง อันเรืองรอง
แล้วร่วงริน สู่ถิ่นฐาน ชั้นโลกล่าง
เป็นทิวทาง ที่พร่างพรม ภิรมย์ผอง
ประกบดิน ประกอบหล้า พาเรืองรอง
จึงเจิ่งนอง ให้ดินชุ่ม ชะอุ่มปน
ระอองไอ สายฝั่งฝน หล่นลงป่า
กระทบชั้น พรรณพฤกษา พนาสณฑ์
ดังแกรบกรอบ ประกอบฟ้า มาคำรณ
ได้ยินยล ดั่งเทพไท้ ได้บรรเลง
วายุย้อน ผ่อนพัดผ่าน ชั้นยอดไม้
อ่อนเอนไหว ไปตามลม ล้มลอยเร่ง
ดั่งพฤกษา เริงระบำ ไปตามเพลง
ที่บรรเลง จากเสียงฝน หล่นลงใบ
ระอองฝน ที่หม่นมัว สลัวป่า
ดั่งแพรพรรณ ชั้นม่านฟ้า มาห่มให้
ฟ้าคำรณ ระคนฝน หล่นลงใบ
ดั่งกลองชัย ประโคมคู่ สู่แผ่นดิน
แต่ยามนี้ พิรุณหล่น จากบนฟ้า
สู่แผ่นดิน ที่สิ้นป่า ธาราสินธุ์
ไม่มีแล้ว เพลงแห่งฝน บนแผ่นดิน
ได้ยลยิน แต่ร่ำให้ ใต้ธารา