4 พฤษภาคม 2547 13:34 น.
วิจิตร ภู่เงิน
ดอกข้าวดอออกรวงล่วงฤดู
บอกให้รู้สิ้นหน้าการเก็บเกี่ยว
เราชาวนาจัดห้อยซ่อนคมเคียว
ไว้รอเที่ยวปีหน้าฟ้าใหม่มา
สิ้นหน้าเกี่ยวเทียวทุ่งจูงวัวควาย
เลาะริมห้วยซุ้มดักยิงแม่ปลา
ว่ายวนเวียนเลี้ยงลูกในธารา
แตะต้องตาพรานน้อยคอยลั่นปืน
มีอาหารพรานน้อยกลับกระท่อม
ถือชะลอมหอบหิ้วดุ้นไม้ฟืน
เดินลัดทุ่งแดดจ้าต้องทนฝืน
หวังกลับคืนทันเที่ยงแม่แกงปลา
ถึงกระท่อมพร้อมหน้าแกงปลาช่อน
แม่เคี้ยวป้อนน้องหญิงดูหรรษา
กระโดดโลดเต้นอิ่มสุขอุรา
ยืนร้องเพลง ป.ปลา ช่างน่าชม
4 พฤษภาคม 2547 13:02 น.
วิจิตร ภู่เงิน
เฝ้าคิดถึงแต่ใครคนไกลนั้น
ใจรำพันห่วงหาอยู่เสมอ
มีความรักมอบให้แต่เพียงเธอ
ไม่พลั้งเผลอเอาใจให้ใครชม
จากกันมาห่างไกลไม่พบหน้า
คำร่ำลาเพียรมาให้สุขสม
ตรึงในโสตประสาทผูกอารมณ์
ให้ฉันจมจองจำแทบเท้าเธอ
เอาความหวานวันวานเป็นต่างหน้า
ได้เยี่ยวยาเติมใจฉันพร่ำเพ้อ
ให้อยู่เรียงเคียงกันแม้ไม่เจอ
หากละเมอพบหน้าในฝันดี
นั่งทบทวนความหลังที่ผ่านมา
วันเวลาผ่านไปหลายครั้งปี
ความทรงจำลางไปในทุกที
แต่ก็ยังคงมีบ้างจดจำ
รอยยิ้มหวานใบหน้ายังสดใส
ถ้อยพูดจาละไมเช้าจรดค่ำ
หยิกหยอกล้อบิดข่วนเธอชอบทำ
ตัวฉันซ้ำระบมไม่เคยลืม
วันวานยังหวานอยู่เป็นเช่นนี้
ทุกวันวี่เวียนมาให้ด่ำดื่ม
เพียงย้อนคิดนึกถึงสุขจนปลื้ม
ยังไม่ลืมวันวานหวานละไม
4 พฤษภาคม 2547 12:24 น.
วิจิตร ภู่เงิน
(พ่อใหญ่เหล้า)
พ่อใหญ่เหล้าเฝ้าเถียงกลางท้องนา
แก่คอยถ้าลูกหลานจะแวะเวียน
ตกกลางคืนมีเพียงแค่เสียงเทียน
สว่างเนียนส่องตาพอทำเนา
มีแต่ควายหนึ่งตัวที่เป็นเพื่อน
แก่พูดเตือนวันตายให้ขายเผา
ถ้าลูกหลานเป็นหนี้แก่ไม่เอา
จึงคอยเฝ้าเลี้ยงควายให้ดิบดี
บนเถียงแก่มีไหใหญ่มังกร
ไว้รอตอนแช่เหล้าสาโทสี
ทำพอกินแต่น้อยคงเข้าที
พึ่งสี่สิบดีกรีมันไม่พอ
ตามคันนาแก่ปลูกมะม่วงแก้ว
ออกลูกแล้วมากมายมีคนขอ
แก่ไม่หวงบอกเก็บเป็นกำกอ
เอาไปฝากแม่พ่อลูกมึงกิน
สระน้ำใหญ่ล้นหลากปลามากมาย
แก่ดักข่ายถักสานกั้นฝายหิน
สอนลูกหลานปักเบ็ดเป็นอาจิณ
รอฝนรินปลาห้าวได้ตัวโต
เรือลำน้อยแจวลอยลำกระโดง
ลูกหลานลงเก็บบัวมีมากโข
แก่ร้องไล่รีบขึ้นตะเข้โซ
หากพบเจ้าคนโก้จะรีบซด
เป็นลูกหลานรำคาญเมื่อแก่ไล่
ตะเข้ไซร้หากมีจะฉี่รด
ให้แสบตากลัวว่ายหนีกันหมด
อย่าพูดปดเด็กเลยมันไม่งาม
พ่อใหญ่เหล้าจึงฟาดก้อนดินใหญ่
บอกเร็วไวขึ้นมาจะพาข้าม
ไปเก็บบัวที่ฝั่งท่ามะขาม
เพราะว่าน้ำตื้นเขินเล่นพอดี
เด็กลูกหลานรีบขึ้นไม่ฝืนต่อ
กลัวได้ห่อหัวโนเขียวเป็นสี
วิ่งขึ้นฝั่งเดินตามในทันที
ไปยังถิ่นที่สถานบ้านบัว
ระเบียงลมเย็น .. ฟ้ามืด .. ดาวส่องแสงระยิบระยับ .. วิจิตรน้ำตาไหล
3 พฤษภาคม 2547 14:47 น.
วิจิตร ภู่เงิน
ผีแห่งป่าหัวเราะเย้ยขุนเขา
กลิ่นเหม็นเน่าสาปอวลกลบบุพผา
แสยะยิ้มเป็นสุขเปรียบฝูงกา
เฝ้ารอถ้ากลืนกินผู้มาเยือน
แผดเสียงร้องโหยหวนดั่งทุกข์เข็ญ
ยะเยือกเย็นเยี่ยงมีดที่กรีดเฉือน
กดลงกลางกระหม่อมอันลอยเลือน
เลือดแดงเปื้อนผาหินกลางพงไพร
ลิ้นสากเลียรสเลือดที่หลั่งหยด
ฝูงห่ามดลิ้มเลือดมิหยุดไหล
เอื้องคำขาวหักซบลงทันใด
ให้ผีป่าได้ใจเหยียบซ้ำลง
เป็นความเถื่อนพงไพรที่ไกลโพ้น
น้อยผู้คนย่างก้าวเข้าเดินหลง
ฝูงผีป่าจึงพากันฟ้อนรำวง
ยึดเป็นถิ่นดำรงพงเผ่าพันธุ์
3 พฤษภาคม 2547 14:00 น.
วิจิตร ภู่เงิน
เจ้าหอยโข่งพูดจาว่าปลาช่อน
ช่างกะล่อนหน้าม่อเป็นไฉน
แม่หอยขมแอบยิ้มอยู่ในใจ
ปลาซิวไล่ตะเข้ในหลึบหิน
ปลาสร้อยน้อยตามตื้อปลาแขยง
ใครกำแหงปลาชะโดตัดสิน
ปลากดว่ายล้อรอเหยี่ยวลงกิน
คุณปลาหมอยลยินแม่ปลาทอง
ปลากัดฟัดเหวี่ยงกับปลาฉลาม
ในห้วงน้ำขุ่นข้นน่าสยอง
ปลาฉลามสิ้นลมลงไปกอง
ในก้นหนองห้วยระหานบ้านปลา
ผักตบชวาร้องด่าบัวหลวง
แมงกระซอนตามทวงหนี้ปลาผา
ดูแมงดายิ้มเย้ยสุขอุรา
ปลาหมึกว่ายมาท้าต่อยปลาขาว
ปลาดุกยังขลุกขลิกอยู่ในครัว
ว่ายริมรั้วเก็บผักนั้นปลาดาว
ปลาตะเพียนปลานิลยังกินข้าว
แต่งเจ้าสาวสวยหรูปลาทับทิม
ปลากะพงตากผ้าที่หน้าบ้าน
หนุ่มปลาไหลเดินผ่านแอบส่งยิ้ม
ปลาแก้วใสแววว่ายเรียงอยู่ริม
ปาตี 2 ยังพิมพ์ งานส่งครู !
กาลครั้งหนึ่งมีเสียงสนทนาของธรรมชาติดังนี้
กวีมันชอบเอาเราไปนินทามั่วๆเรื่อยเลยว่าไหม ท่านธรรมชาติที่ 2 ธรรมชาติที่ 1 ว่า
ใช่แล้วละท่านธรรมชาติที่ 1 กวีมันเป็นสิ่งมีชีวิตที่บ้าน้ำลายที่สุดในโลกา ธรรมชาติที่ 2 ว่า
แต่ในขณะนั้นกวีผ่านมาได้ยินพอดี จึงกล่าวออกไปว่า
ข้าแต่ท่านธรรมชาติทั้ง 3 ข้าน้อยนี้ยังเป็นเพียงแค่กวีเดียงสา .. ความรู้เท่ามูลเล็บ ขอท่านธรรมชาติชี้นำด้วย ท่านธรรมชาติทั้ง 3 นิ่งอึ้งไปชั่วขณะ มองหน้ากวี .. ยิ้ม .. แล้วเดินจากไป