10 พฤษภาคม 2547 12:28 น.

..ปณิธาน...วันวาร..และเงากรรม

วสุนทรา

ร้อยจำนรรจ์พันวจีไม่สุดสิ้น
ร้อยประทิ่นทบทวนถ้อยพิศุทธิ์ศรี
ร้อยประโยคขึ้นเขียนคำกวี
เพื่อยอดเยาว์ยุพดีปรียา

ร้อยหทัยร้อยใจที่เปี่ยมรัก
ร้อยความภักดิ์ร้อยฤดีที่ห่วงหา
ร้อยเอ็นดูร้อยอุระล้นเมตตา
ร้อยพจนาผ่องใสไว้ประทาน

ธูปเทียนทองมองหามาพบเจ้า
โอ้ยอดเยาว์เยาวลักษณ์สมัครสมาน
ความคิดถึงฝากมาหานงคราญ
เยาวมาลย์คนดีมีสิ่งใด

สุทธิจิตสุทธิศรีระพีผ่อง
ธรรมควรครองจิตนี้มิเหลวใหล
หากกำจัดนิวรณ์ไม่มีภัย
โฉมไฉไลควรคู่มองดูธรรม

วอนใจอย่าผลักไสไปมองอื่น
จักขมขื่นหม่นหมองและเจ็บช้ำ
อย่าหลงใหลใฝ่หาแต่น้ำคำ
จงมีธรรมวาสนารักษาใจ

นวลลออขอเถิดอย่าท้อถอย
อย่าใจน้อยให้ขุ่นข้องไม่ผ่องใส
อย่าหม่นหมองตรอมตรมขมหัวใจ
อย่าละทิ้งพระรัตนตรัยนะคนดี

โลกร้อนร้ายหลอกหลอนคลอนไม่หยุด
ทางสมมุติใช่มรรคาพาสุขี
วอนที่รักพิทักษ์ธรรมท่ามฤดี
จงหลีกหนีกามาเยี่ยงสามัญ 

ดวงสุดายาจิตพิสมร
อย่าร้าวรอนวอนเธอหยุดคิดฝัน
เพียงดำรงเมตตาน้อมแบ่งปัน
มิคิดหันคืนสู่ทางมากวัฏฏา

หากจะรักขอเธอรักธรรมพระพุทธ
หทัยเธอจักผ่องผุดดุจอุษา
ส่องรัศมีประกายแก้วดั่งดารา
กัลยามาเถิดจักเพลิดเพลิน

ขอให้นุชรักมั่นองค์ไตรรัตน์
มนะชัดความภักดีไม่ห่างเหิน
มีธารธรรมย้ำบนใจที่ย่างเดิน
เพื่อดำเนินสู่มหานฤพาน

เพียงรักนาฏเช่นมนุษย์ผู้ร่วมโลก
ด้วยจักไม่บริโภคกามสงสาร
เฉกเช่นพจน์สัจจะที่เอื้อนจาร
ปฎิญาณต่อองค์พระปฎิมา

นับตั้งแต่วันนั้นถึงวันนี้
ในฤดีเชิดชูเพียงองค์ตถา
แม้ว่าเคยหวั่นไหวเพียงครั้งครา
แต่ก็เป็นแค่..สัญญาแห่งเงากรรม

........................................๑๑ เมษายน ๒๕๔๗

คนเราที่เกิดมาบนโลกคงไม่อาจจะหนีพ้นกรรมได้เลยสักคน  ไม่ว่ากรรมอดีตหรือกรรมปัจจุบัน......กรรมที่ดูยากและหนักที่สุดสำหรับเส้นทางที่จะต้องต่อสู้ นั่นคือ กามราคะ  ความรัก..ไฟราคะที่เสพแล้วยากยิ่งออกมาจากบ่วง  

....บนเส้นทางแห่งชีวิตมีมากมายมองเห็นบทเรียนจากชะตาของผู้คนเนื่องด้วยรัก...เกือบยี่สิบปีที่ไม่เคยคิดมาก่อนที่จะเข้าไปยุ่งวุ่นวายกับทางที่ไม่ใช่สายแห่งความหลุดพ้น  ทางที่ทำให้ใจวุ่นวาย  จบจนกระทั่งวันหนึ่ง ก็ยากจะหลีกเลี่ยง...เมื่อกรรมนั้นมาถึง

...สุดท้าย...ได้แต่ขอบคุณกรรม ที่นำพาให้พบ..คำตอบที่เที่ยงแท้  อดีตเคยร้องไห้ เสียน้ำตา  แต่ยามนี้ เมื่อนึกถึงวันเก่า ๆ ได้แต่ยิ้มกับตัวเอง   ยิ้มกับความปรุงแต่งที่หลอกตัวเอง....ยามเมื่อมีรัก กับปัจจุบันเมื่อไม่มีรัก   ไม่มีอะไรต่างกันเลย.....ทุกอย่างคือศูนย์ จับต้องไม่ได้...

.....เหตุใดจะต้องพากันตกลงไปในบ่วงนั้นอีก..ได้แต่ถอดถอนใจ...สักวันเธออาจจะเข้าใจ..เวลานี้รักของฉันไม่ใช่..รักเฉกเช่นที่เคยรัก.....รักของฉันที่มีเป็นเพียงรักเธอเสมอกับมิตรทุกคนที่ฉันรัก....

........ทำไมเราไม่ร่วมกันทำความดีรักษาจิตใจให้สะอาด และอุทิศความดีนั้นให้แก่กันและกัน อุทิศให้สรรพสัตว์ทั้งโลก  นี่แหละคือความรักที่ยิ่งใหญ่ หาใครเสมอเหมือน...รักที่ไม่ข้องแวะกับกาม...ท่ามกลางพรหมจรรย์ที่เต็มไปด้วยพรหมวิหาร 4 

..เงากรรมที่พัดผ่านไปแล้ว  ไม่มีอะไรให้หวั่นไหว....กับกรรมเก่าที่ผ่านมา   เส้นทางของฉันเบื้องหน้า คือ การเดินตามรอยพระพุทธบาท เพื่ออุทิศจิตและวิญญาณแห่งรักให้กับสรรพชีวิต...ตราบจนสิ้นลม...

..............................๑๐  พฤษภาคม  ๒๕๔๗				
10 พฤษภาคม 2547 11:09 น.

กวีบทสุดท้าย: ด้วยจิตวิญญาณแห่งรัก..

วสุนทรา

ขอวอนฟ้าวอนเทวาทั้งพิภพ		       
โปรดจงลบภาพลวงในห้วงฝัน
โปรดจงพาทุกข์จากใจไปนิรันดร์	        
โปรดให้ฉันรับความจริง..ได้เสียที

.จักตอบแทนเทพเทพีด้วยชีวิต	       
 ขอเพียงจิตไร้รักทั้งหมดนี้
จักตอบแทนด้วยวิญญาณพร้อมยอมพลี	         
หากฤดีไร้ภาพจำแห่งวันวาน

ให้อนาถวาสนาชะตารัก		        
สัญญาภักดิ์และความฝันที่เคยสาน
กลับลับหายกลายจากร้างราราญ                   
เกินวิญญาญทุกข์จักเอ่ยเผยจำนรรจ์

หรือคือโศกนาฎกรรมแห่งชีวิต                     
หรือเพราะเป็นฟ้าลิขิตแสร้งเสกสรรค์
หรือเพราะกรรมพันผูกแต่ปางบรรพ์	       
หรือสวรรค์จงใจให้พบเธอ....

นึกถึง กวีผู้เป็นที่รัก.เคยอยู่ร่วมเรียงถ้อยอักษรกันบนลานฝันอันงดงาม  แต่แล้ววันหนึ่งฉันก็พบกับการพลัดพรากอย่างเป็นนิรันดร์.....กับการตายจากไปอย่างไม่มีวันกลับ  ....ความทรงจำยังคงอยู่....แต่ทุกครั้งในความทรงจำของฉันจะมีความหวานปนไปด้วยความรู้สึกโศกเศร้าเสมอ...กับการที่ในความจริงต้องพลัดพรากจากคนที่เรารักตลอดกาลนาน..ทำไมนะ..เมื่อมีรัก..ก็ต้องมีความทุกข์ตามมา..หรือต้องไร้รัก จึงจะไร้ความทุกข์...
ถ้าคนเราไม่มีอดีต..ไม่มีความทรงจำ...คงไม่ทุกข์เลย เพราะไม่ต้องจำ..ไม่ต้องรำลึกถึงวันวานที่ผ่านมา....จะมีสักกี่คน ที่จะลืมเรื่องราวในอดีตได้อย่างสิ้นเชิง....อยากจะหลับตา..อยากจะปิดหัวใจ.ไม่อยากจะรับรู้ถึงความรู้สึกต่าง ๆที่เข้ามา.....

...เธอเหมือนความฝันอันงดงาม...แต่พอตื่นขึ้นมาฉันก็พบว่า มันไม่มีอยู่จริง
..เธอเหมือนดอกไม้ที่กำลังแย้มกลีบทักทายฉัน....แต่แล้วเธอก็ร่วงโรยรา
..เธอเหมือนมีตัวตนอยู่จริง...แต่แล้ว วันหนึ่งเธอกลับไร้ตัวตน....
........ท้องฟ้าเบื้องหน้า....คงไม่มีเธออยู่อีกแล้ว

โค้งฟ้าที่เคยสัญญาจะร่วมเดิน...เหลือเพียงเงาอ้างว้างเดียวดายเพียงลำพัง
น้ำตาเอย..เมื่อไหร่จะหยุดไหล........หัวใจเอยเมื่อไหร่จะหยุดคร่ำครวญ....
ความทรงจำที่งดงาม...ความจริงที่แสนเจ็บปวด....อดีตเอย..เมื่อไหร่จักลืม.....
ปัจจุบันเอย..เมื่อไหร่จักร้างทุกข์      ความฝันเอย..ไยมอดดับฉับพลันกระนั้น
ดวงตาที่แสนเศร้าทอด...มองดอกลีลาวดี   ฤดูนี้ดอกสีขาวส่งกลิ่นหอมปนเศร้า รอยยิ้มที่หม่นหมอง..แย้มยิ้มทายทักดวงดอกสีขาว....กลิ่นของดอกไม้ชนิดนี้  ไม่ต่างกับความรู้สึกในมโนสำนึก...นามธรรมที่รู้ว่ามี แต่สัมผัสไม่ได้ เอื้อมไม่ถึง........และทุกครั้งในส่วนลึกที่ถูกซ่อนไว้  ยามอ่อนไหว มักจะปวดร้าว

...ระหว่างความฝันกับความจริง ระหว่างจินตนาการกับโลกความจริง...บางครั้งก็แยกไม่ออก....ทั้งๆที่ อยากแยกมันออกให้ได้ตลอดกาล.....คงได้แต่พยายาม.... เหลือเหนื่อยเกินที่รัก..กับการต่อสู้ทางจิตใจ......บางครั้งอยากจะหยุดนิ่งไร้ซึ่งอายตนะสัมผัสทั้งหลายทั้งปวงหากไม่สามารถระงับน้ำตาที่ร่วงไหลหลั่งรินนั้นได้..


ผิวขลุ่ยโหยโรยลำนำย้ำความฝัน	
สังคีตสรรค์เพลงรักสมัครสมาน
ราตรีลับเลือนลบจบรุ้งวาน		
อุษาผ่านมาเยือนฝันเลือนลอย

ในม่านฝันวันวานผสานรัก		
ร่มทอถักป่านดวงใจมิท้อถอย
คล้องกรสร้างบทกวีนับพันร้อย	
ศศินคล้อยเหลือเพียงรอยอาลัย

น้ำตารินหยาดหยดรดวันนี้		
คำกวีกรีดกรายคลายสดใส
จากเก่าก่อนเขียนด้วยรักล้นหทัย	
เพื่อมอบให้ยอดนาเรศเอกวิราม

กลั้นสะอื้นฝืนสะท้อนร้อนในอก	
สะท้านทกผ่านทรวงเคยไหวหวาม	
บัดนี้รักเหลือเพียงเถ้าไร้ความงาม	
คือถ้อยท่ามกลางหทัยให้จารจำ

คงต้องลา.ลานจันทร์ ลานในฝัน	
มิอาจสรรค์คำกวีคีตะขำ
ยามรักหมดหมดรักไร้น้ำคำ		
ร้างลำนำ ร้างคำ ทางกวี

นอนเอกาเดียวดายในคืนเงียบ	
ฤดีเฉียบเฉกนภาขาดแสงสีร์
มืดมนนักรักมาพรากจากรตี		
ชลนัยน์แห่งกวี..สิ..พรั่งพรู


..ได้ยินเสียงผิวขลุ่ยแว่วพลิ้วลิ่วผ่านพัดมา  น้ำเสียงที่โศกปนหวาน นั้น ได้ตอกย้ำความทรงจำในอดีตกลับมาอีกครั้ง...เรื่องราวที่เกิดขึ้นคล้ายกับความฝัน..ที่งดงามบนเส้นทางแห่งกวี...แต่ก็คล้ายกับ ยามที่พระอาทิตย์จากไปเหลือไว้เพียงความมืดมนแห่งราตรีกาล....คล้ายกับพระจันทร์ที่เลือนหายจากฟากฟ้า...ทว่าทิ้งรอยอาลัยให้รำลึกนึกถึง....เช่นเดียวกับเธอหญิงสาวที่ฉันรัก ได้จากฉันไปแล้ว....อดีตเราเคยร่วมเรียงร้อยอักษรให้แก่กัน เหลือเพียงความทรงจำและคราบน้ำตาแห่งความอาดูร...
 หลังจากการจากไปของเธอ  ฉันไม่มีแม้แต่ความฝัน  ไม่มีกำลังใจที่จะเขียนบทกวีที่งดงามอีกต่อไป....ใจของฉันได้ตายแล้ว..  สิ้นแสงแห่งชีวิตแล้ว พร้อม ๆกับการจากไปของเธอนะที่รัก

............................................14  กุมพาพันธ์.......2547				
8 พฤษภาคม 2547 12:03 น.

กอร์ปภักดิ์นี้เพียงเจ้านิรธาร

วสุนทรา

....ชโลทรซ่อนร่างกลางหิมวาส 
ร่วมสานศาสตร์จารร้อยแห่งถ้อยศิลป์ 
วจีรักฝากไว้เหนือ..เมทนินทร์ 
แด่..วารินทร์เอกวิรามท่ามอรัณย์ 

แทนหัวใจแห่งป่าวนากว้าง 
อาบสุภางค์ซาบกมลล้นไพรสัณฑ์ 
คือมวลหมู่อณูรัก..จากหิมวันต์ 
เพียรสร้างสรรค์เป็นสร้อยกานท์ผ่านกวี 

..แจงประสงค์บอกความนัยให้วหา 
ทราบห้วงลึกในอุราของไพรศรี 
เป็นเช่นใดต่อปรียาวาหินี 
กอร์ปภักดิ์นี้เพียงเจ้านิรธาร 

..คงอยู่เคียงมิ่งศิรากว่าชนม์สิ้น 
บนมรรคานิจศีลจินต์ประสาน 
เคยพันผูกมาแต่ครั้งบุพกาล 
ปัจจุบัน..ซ้อนประสานคู่มนเดิม 

..เมื่อกระแสแห่งเวลามาบรรจบ 
ความคุ้นเคยแรกสบ..หา..สร้างเสริม 
จำรูญเรืองเนื่องสองใจใช่..แต่งเติม 
มีอยู่เดิมคราวหนหลังครั้งพุทธันดร.. 



.................๒๗  กันยายน ๒๕๔๖				
7 พฤษภาคม 2547 07:40 น.

ประพาสสวน

วสุนทรา

ประพาสสวน ณ ย่ำค่ำ                            รพีต่ำลับเศขร 
จูบลาฟ้าอัมพร                                       วิหคร่อนสู่รวงรัง 

กลิ่นแต้มแซมบุหงา                               มะลิลามีมนต์ขลัง 
สุคันธ์ชาติอลัง                                        การ สถิต ธ ทรวงใน 

เกี่ยวกรเยาวเรศ                                   ชี้ชายเนตรชมมาลัย 
นานาเหล่าพรรณไม้                               สะพรั่งไพรจรุงหอม 

เสลาโสณลั่นทม                                      รวยรื่นรมย์น่าดมดอม 
เกดแก้วแต้วพะยอม                              ประพรมหอมย้อมกมล 

อัญชันเลื้อยขึ้นฟ้า                                  .มณีเทวาน้ำเต้าต้น 
พวงครามครามน่ายล                              พิมเสนสนมณฑามาลย์ 

ราตรีบานบุรี                                            ปีบนนทรีกลิ่นหอมหวาน 
มหาหงส์ทรงบาดาล                                   เริงสำราญดงผกา....

ลอบยลอนงค์นาฏ                                     ราวอังกาศจากเมืองฟ้า 
สุภางค์กลางสุมนา                                     ลักษณ์หยาดฟ้ามาโลมดิน 

รอยยิ้มหยดย้อยแต้ม                               สองพวงแก้มชมพูริน 
เนตรขำประดุจนิล                                    หมื่นนารินทร์..ฤ..เทียบนาง 

อันกลิ่นสุมาลี                                            บนภพนี้เคยเยื้องย่าง 
มิเท่ากลิ่นนวลปราง                                   มิเคยจางขจรหาย 

ชมดอกชมโฉมเจ้า                                    แดคละเคล้ารักกำจาย 
สายหยุดหยุดกลิ่นสาย                               รักของ อ้าย มิคลายเลือน


.............๑๑  เมษายน  ๒๕๔๖				
6 พฤษภาคม 2547 10:10 น.

อธิษฐานแด่..กัญญา

วสุนทรา



....พฤกษ์สวรรค์สะพรั่งประดับนภา 
ประดิษฐเคียงมณีนิศา                                     มิห่างหาย 

.......ยามยล...... 

เรืองคำนึงสิเนืองสินอง..ฤ..คลาย 
ณ..จิตตมาลย์ระคนมิวาย.                                 จะเอ็นดู 

หลากกระแสประพันธผูกวธู 
อุราละลานรตีดำรู                                             ประจักษ์มน 

ท่องวะฏาอนันต์คณา..ธ..หน 
ก็คุ้นก็เคยสิเกยกมล                                       ณ...แรกเห็น 

เจตจำนรรจ์ผิว่า..จะเคยบำเพ็ญ 
ปะรามิตา..มโนฯ..ก็เห็น                                  อตีกาล 

จารวจีฤดีอธิษฐาน 
ลุวารจะล่วงจะลับจะผ่าน                                  มิแปรผัน 

เคียงชไมฤทัยถวายพระธรรม์ 
ตลอดสมัย..ฤ..จนนิรันดร์                                มิเว้นวาง 

เพียรบำเพ็ญกมลสิจนกระจ่าง 
ประพฤติฤดีผลิผลสล้าง                                    ณ..มานสอง 

เฝ้าประกอบประกับประคับประคอง 
สถิตพระธรรมระเรืองระรอง                             ธ..กัญญา

......................................อีทิสังฉันท์20 

...๒๘  ธันวาคม  ๒๕๔๖				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟวสุนทรา
Lovings  วสุนทรา เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟวสุนทรา
Lovings  วสุนทรา เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟวสุนทรา
Lovings  วสุนทรา เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงวสุนทรา