21 พฤษภาคม 2547 08:20 น.
วสุนทรา
..แด่ชลธารสานวิศิษฐ์จิตหนึ่งสาย....เคยกระจ่างพร่างพรายท่ามหทัย
บัดนี้คงต้องลาเจ้าไปไกล....................มิอาจอยู่ชิดใกล้..ตราบนิจนิรันดร
...............................................
สายลมรินราวพัดพาเพลาผิน
มิถวิลปล่อยวางว่างความหลัง
ความรันทดสลดโศกไม่ประดัง
รักหรือชังพังสลายวายมิคืน
สุข สงบ สยบอยู่คู่สยม
สายบรมพุท-โธทั้งหลับตื่น
เคียงลมปราณผสานใจให้ยั่งยืน
ละคายคืนกามวจรมิย้อนเดิน
ฉันไม่เหมาะเป็นคู่ใจให้ความรัก
เพียงรู้จักชลธาร ผ่านผิวเผิน
บางกรณีไม่เคียร์เหมือนหมางเมิน
ห่างไกลเกินจะใกล้ชิดสนิทใจ
บางเวลาสนิทสนมดูกลมเกลียว
ความแลเหลียวคล้ายดั่งว่าจะชิดใกล้
แต่มิเทียบพุทธธรรมประจำใจ
ยกยอดไปไม่ควรคู่เท่าดูธรรม
ฉันไม่เหมาะเป็นเพื่อนใจให้องค์เชษฐ์
จำกรอบเขตออกจากสายข่ายชอกช้ำ
จึงต้องตัดเส้นทางขวางจองจำ
หยุดบุพกรรมกับเจ้าเท่านี้เอย
...................................................
..เห็นไหม
ตะวันเลือนเหมือนพรากไปจากโลก
ความวิโยคเยือกเย็นในดงเถื่อน
มองปลายฟ้าว่าเหงา..ไร้คนเยือน
ใจไม่เชือนชุ่มเย็นเพราะเห็นธรรม
....ชลธารจ๊ะ...วันจันทร์เมื่อเธอได้รับข้อความที่ฉันเขียนส่งไปให้ เธอจะเข้าใจทุกอย่างแจ่มแจ้ง ขอโทษที่อาจทำให้เสียน้ำใจอีกครั้งนะจ๊ะ
....ส่วนหนึ่งฉันดีใจที่เมื่อวานได้เข้ามาอ่านงานงามของเธอ เมื่อใจเธอได้สัมผัสถึงความปล่อยวาง นั่นย่อมหมายถึง แต่นี้ไประหว่างเราคือ อิสระ ไร้ซึ่งเยื่อใย อาลัยอาวรณ์ ในทุกๆสถานะภาพ และทุกๆอัตภาพบนโลกใบนี้...ฉันเลือกที่เดินไปตามเส้นทางของฉันก่อนที่จะได้รู้จักเธอ และอย่างที่บอกกับเธอว่า ฉันได้เคียร์ทุกอย่างในใจหมดแล้ว บุพกรรมระหว่างเราได้สิ้นสุดแต่เพียงเท่านี้นะจ๊ะ แต่ทว่าไม่เคยลืมคุณ แห่งเธอที่ได้ปลุกให้ช่วงชีวิตหนึ่งของฉันสามารถขีดเขียนบทกวีทั้งหมดขึ้นมาได้
....แน่นอนว่าบทกวีร้อยกว่าเรื่องตลอดระยะเวลาหนึ่งปีกับอีกหกเดือนที่ได้รู้จักเธอ ฉันเขียนและอุทิศให้น้ำใจของเธอที่มีต่อฉัน แม้นว่ามันจะเป็นเพียง พันธกาล อย่างที่เธอบอกมาก็ตาม ทว่าเวลานี้พันธกาลได้สิ้นสุดลงแล้ว นับแต่นี้ไปจะไม่ปรากฎชื่อของฉัน..เงาของฉัน..บทกวีของฉันอีก ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะสถานะภาพที่เปลี่ยนไปของเธอ...เธอคนเดิมได้ตายจากฉันไปแล้วนี่จ๊ะ ซึ่งหลังจากวันนั้นฉันย่อมไม่สามารถจะเขียนบทกวีที่สื่อ นัยยะ เหล่านั้นได้อีก และอีกเหตุผลหนึ่ง คือ ฉันไม่เหมาะที่จะเดินอยู่บนเส้นทางเหล่านี้ตั้งแต่แรกแล้วมิใช่หรือ..ด้วยมิสามารถจะอยู่เป็นคู่สองครองกมล..บนธารธรรมได้..ด้วยเหตุผลที่เธอกับฉันเข้าใจดี
...อดีตผ่านไปแล้ว ย่อมไม่สามารถจะไปแก้ไขได้ เธอต้องยอมรับนะจ๊ะ..ถึงจะทราบว่าเธอไม่ปรารถนาที่จะให้มิตรภาพสิ้นสุดลงเท่านี้ แต่คงไม่มีประโยชน์อะไรที่จะยื้อเวลาไว้ ในเมื่อครั้งหนึ่งเธอเป็นคนบอกฉันเองว่า สักวันฉันจะต้องเป็นฝ่ายไปจากเธออยู่ดี...แม้ว่าเวลานั้นฉันจะรู้สึกประหลาดใจกับคำพูดของเธอก็ตาม...หวังว่าเธอจะเข้าใจและให้อภัยกับการตัดสินใจของฉันครั้งนี้
...ฉันขอให้เธอมีความสุขตลอดไปนะจ๊ะ สุดท้ายนี้คงยืนยันคำเดิม กับที่ผ่านมาไม่เคยเกลียดเธอเลย..อภัยให้เธอเสมอ...ลาก่อนนะจ๊ะชลธาร....!
........๒๐ พฤษภาคม ๒๕๔๗.....กฤติยา...ณ...รัก คนที่อยู่ไกลแสนไกล...
10 พฤษภาคม 2547 12:28 น.
วสุนทรา
ร้อยจำนรรจ์พันวจีไม่สุดสิ้น
ร้อยประทิ่นทบทวนถ้อยพิศุทธิ์ศรี
ร้อยประโยคขึ้นเขียนคำกวี
เพื่อยอดเยาว์ยุพดีปรียา
ร้อยหทัยร้อยใจที่เปี่ยมรัก
ร้อยความภักดิ์ร้อยฤดีที่ห่วงหา
ร้อยเอ็นดูร้อยอุระล้นเมตตา
ร้อยพจนาผ่องใสไว้ประทาน
ธูปเทียนทองมองหามาพบเจ้า
โอ้ยอดเยาว์เยาวลักษณ์สมัครสมาน
ความคิดถึงฝากมาหานงคราญ
เยาวมาลย์คนดีมีสิ่งใด
สุทธิจิตสุทธิศรีระพีผ่อง
ธรรมควรครองจิตนี้มิเหลวใหล
หากกำจัดนิวรณ์ไม่มีภัย
โฉมไฉไลควรคู่มองดูธรรม
วอนใจอย่าผลักไสไปมองอื่น
จักขมขื่นหม่นหมองและเจ็บช้ำ
อย่าหลงใหลใฝ่หาแต่น้ำคำ
จงมีธรรมวาสนารักษาใจ
นวลลออขอเถิดอย่าท้อถอย
อย่าใจน้อยให้ขุ่นข้องไม่ผ่องใส
อย่าหม่นหมองตรอมตรมขมหัวใจ
อย่าละทิ้งพระรัตนตรัยนะคนดี
โลกร้อนร้ายหลอกหลอนคลอนไม่หยุด
ทางสมมุติใช่มรรคาพาสุขี
วอนที่รักพิทักษ์ธรรมท่ามฤดี
จงหลีกหนีกามาเยี่ยงสามัญ
ดวงสุดายาจิตพิสมร
อย่าร้าวรอนวอนเธอหยุดคิดฝัน
เพียงดำรงเมตตาน้อมแบ่งปัน
มิคิดหันคืนสู่ทางมากวัฏฏา
หากจะรักขอเธอรักธรรมพระพุทธ
หทัยเธอจักผ่องผุดดุจอุษา
ส่องรัศมีประกายแก้วดั่งดารา
กัลยามาเถิดจักเพลิดเพลิน
ขอให้นุชรักมั่นองค์ไตรรัตน์
มนะชัดความภักดีไม่ห่างเหิน
มีธารธรรมย้ำบนใจที่ย่างเดิน
เพื่อดำเนินสู่มหานฤพาน
เพียงรักนาฏเช่นมนุษย์ผู้ร่วมโลก
ด้วยจักไม่บริโภคกามสงสาร
เฉกเช่นพจน์สัจจะที่เอื้อนจาร
ปฎิญาณต่อองค์พระปฎิมา
นับตั้งแต่วันนั้นถึงวันนี้
ในฤดีเชิดชูเพียงองค์ตถา
แม้ว่าเคยหวั่นไหวเพียงครั้งครา
แต่ก็เป็นแค่..สัญญาแห่งเงากรรม
........................................๑๑ เมษายน ๒๕๔๗
คนเราที่เกิดมาบนโลกคงไม่อาจจะหนีพ้นกรรมได้เลยสักคน ไม่ว่ากรรมอดีตหรือกรรมปัจจุบัน......กรรมที่ดูยากและหนักที่สุดสำหรับเส้นทางที่จะต้องต่อสู้ นั่นคือ กามราคะ ความรัก..ไฟราคะที่เสพแล้วยากยิ่งออกมาจากบ่วง
....บนเส้นทางแห่งชีวิตมีมากมายมองเห็นบทเรียนจากชะตาของผู้คนเนื่องด้วยรัก...เกือบยี่สิบปีที่ไม่เคยคิดมาก่อนที่จะเข้าไปยุ่งวุ่นวายกับทางที่ไม่ใช่สายแห่งความหลุดพ้น ทางที่ทำให้ใจวุ่นวาย จบจนกระทั่งวันหนึ่ง ก็ยากจะหลีกเลี่ยง...เมื่อกรรมนั้นมาถึง
...สุดท้าย...ได้แต่ขอบคุณกรรม ที่นำพาให้พบ..คำตอบที่เที่ยงแท้ อดีตเคยร้องไห้ เสียน้ำตา แต่ยามนี้ เมื่อนึกถึงวันเก่า ๆ ได้แต่ยิ้มกับตัวเอง ยิ้มกับความปรุงแต่งที่หลอกตัวเอง....ยามเมื่อมีรัก กับปัจจุบันเมื่อไม่มีรัก ไม่มีอะไรต่างกันเลย.....ทุกอย่างคือศูนย์ จับต้องไม่ได้...
.....เหตุใดจะต้องพากันตกลงไปในบ่วงนั้นอีก..ได้แต่ถอดถอนใจ...สักวันเธออาจจะเข้าใจ..เวลานี้รักของฉันไม่ใช่..รักเฉกเช่นที่เคยรัก.....รักของฉันที่มีเป็นเพียงรักเธอเสมอกับมิตรทุกคนที่ฉันรัก....
........ทำไมเราไม่ร่วมกันทำความดีรักษาจิตใจให้สะอาด และอุทิศความดีนั้นให้แก่กันและกัน อุทิศให้สรรพสัตว์ทั้งโลก นี่แหละคือความรักที่ยิ่งใหญ่ หาใครเสมอเหมือน...รักที่ไม่ข้องแวะกับกาม...ท่ามกลางพรหมจรรย์ที่เต็มไปด้วยพรหมวิหาร 4
..เงากรรมที่พัดผ่านไปแล้ว ไม่มีอะไรให้หวั่นไหว....กับกรรมเก่าที่ผ่านมา เส้นทางของฉันเบื้องหน้า คือ การเดินตามรอยพระพุทธบาท เพื่ออุทิศจิตและวิญญาณแห่งรักให้กับสรรพชีวิต...ตราบจนสิ้นลม...
..............................๑๐ พฤษภาคม ๒๕๔๗
10 พฤษภาคม 2547 11:09 น.
วสุนทรา
ขอวอนฟ้าวอนเทวาทั้งพิภพ
โปรดจงลบภาพลวงในห้วงฝัน
โปรดจงพาทุกข์จากใจไปนิรันดร์
โปรดให้ฉันรับความจริง..ได้เสียที
.จักตอบแทนเทพเทพีด้วยชีวิต
ขอเพียงจิตไร้รักทั้งหมดนี้
จักตอบแทนด้วยวิญญาณพร้อมยอมพลี
หากฤดีไร้ภาพจำแห่งวันวาน
ให้อนาถวาสนาชะตารัก
สัญญาภักดิ์และความฝันที่เคยสาน
กลับลับหายกลายจากร้างราราญ
เกินวิญญาญทุกข์จักเอ่ยเผยจำนรรจ์
หรือคือโศกนาฎกรรมแห่งชีวิต
หรือเพราะเป็นฟ้าลิขิตแสร้งเสกสรรค์
หรือเพราะกรรมพันผูกแต่ปางบรรพ์
หรือสวรรค์จงใจให้พบเธอ....
นึกถึง กวีผู้เป็นที่รัก.เคยอยู่ร่วมเรียงถ้อยอักษรกันบนลานฝันอันงดงาม แต่แล้ววันหนึ่งฉันก็พบกับการพลัดพรากอย่างเป็นนิรันดร์.....กับการตายจากไปอย่างไม่มีวันกลับ ....ความทรงจำยังคงอยู่....แต่ทุกครั้งในความทรงจำของฉันจะมีความหวานปนไปด้วยความรู้สึกโศกเศร้าเสมอ...กับการที่ในความจริงต้องพลัดพรากจากคนที่เรารักตลอดกาลนาน..ทำไมนะ..เมื่อมีรัก..ก็ต้องมีความทุกข์ตามมา..หรือต้องไร้รัก จึงจะไร้ความทุกข์...
ถ้าคนเราไม่มีอดีต..ไม่มีความทรงจำ...คงไม่ทุกข์เลย เพราะไม่ต้องจำ..ไม่ต้องรำลึกถึงวันวานที่ผ่านมา....จะมีสักกี่คน ที่จะลืมเรื่องราวในอดีตได้อย่างสิ้นเชิง....อยากจะหลับตา..อยากจะปิดหัวใจ.ไม่อยากจะรับรู้ถึงความรู้สึกต่าง ๆที่เข้ามา.....
...เธอเหมือนความฝันอันงดงาม...แต่พอตื่นขึ้นมาฉันก็พบว่า มันไม่มีอยู่จริง
..เธอเหมือนดอกไม้ที่กำลังแย้มกลีบทักทายฉัน....แต่แล้วเธอก็ร่วงโรยรา
..เธอเหมือนมีตัวตนอยู่จริง...แต่แล้ว วันหนึ่งเธอกลับไร้ตัวตน....
........ท้องฟ้าเบื้องหน้า....คงไม่มีเธออยู่อีกแล้ว
โค้งฟ้าที่เคยสัญญาจะร่วมเดิน...เหลือเพียงเงาอ้างว้างเดียวดายเพียงลำพัง
น้ำตาเอย..เมื่อไหร่จะหยุดไหล........หัวใจเอยเมื่อไหร่จะหยุดคร่ำครวญ....
ความทรงจำที่งดงาม...ความจริงที่แสนเจ็บปวด....อดีตเอย..เมื่อไหร่จักลืม.....
ปัจจุบันเอย..เมื่อไหร่จักร้างทุกข์ ความฝันเอย..ไยมอดดับฉับพลันกระนั้น
ดวงตาที่แสนเศร้าทอด...มองดอกลีลาวดี ฤดูนี้ดอกสีขาวส่งกลิ่นหอมปนเศร้า รอยยิ้มที่หม่นหมอง..แย้มยิ้มทายทักดวงดอกสีขาว....กลิ่นของดอกไม้ชนิดนี้ ไม่ต่างกับความรู้สึกในมโนสำนึก...นามธรรมที่รู้ว่ามี แต่สัมผัสไม่ได้ เอื้อมไม่ถึง........และทุกครั้งในส่วนลึกที่ถูกซ่อนไว้ ยามอ่อนไหว มักจะปวดร้าว
...ระหว่างความฝันกับความจริง ระหว่างจินตนาการกับโลกความจริง...บางครั้งก็แยกไม่ออก....ทั้งๆที่ อยากแยกมันออกให้ได้ตลอดกาล.....คงได้แต่พยายาม.... เหลือเหนื่อยเกินที่รัก..กับการต่อสู้ทางจิตใจ......บางครั้งอยากจะหยุดนิ่งไร้ซึ่งอายตนะสัมผัสทั้งหลายทั้งปวงหากไม่สามารถระงับน้ำตาที่ร่วงไหลหลั่งรินนั้นได้..
ผิวขลุ่ยโหยโรยลำนำย้ำความฝัน
สังคีตสรรค์เพลงรักสมัครสมาน
ราตรีลับเลือนลบจบรุ้งวาน
อุษาผ่านมาเยือนฝันเลือนลอย
ในม่านฝันวันวานผสานรัก
ร่มทอถักป่านดวงใจมิท้อถอย
คล้องกรสร้างบทกวีนับพันร้อย
ศศินคล้อยเหลือเพียงรอยอาลัย
น้ำตารินหยาดหยดรดวันนี้
คำกวีกรีดกรายคลายสดใส
จากเก่าก่อนเขียนด้วยรักล้นหทัย
เพื่อมอบให้ยอดนาเรศเอกวิราม
กลั้นสะอื้นฝืนสะท้อนร้อนในอก
สะท้านทกผ่านทรวงเคยไหวหวาม
บัดนี้รักเหลือเพียงเถ้าไร้ความงาม
คือถ้อยท่ามกลางหทัยให้จารจำ
คงต้องลา.ลานจันทร์ ลานในฝัน
มิอาจสรรค์คำกวีคีตะขำ
ยามรักหมดหมดรักไร้น้ำคำ
ร้างลำนำ ร้างคำ ทางกวี
นอนเอกาเดียวดายในคืนเงียบ
ฤดีเฉียบเฉกนภาขาดแสงสีร์
มืดมนนักรักมาพรากจากรตี
ชลนัยน์แห่งกวี..สิ..พรั่งพรู
..ได้ยินเสียงผิวขลุ่ยแว่วพลิ้วลิ่วผ่านพัดมา น้ำเสียงที่โศกปนหวาน นั้น ได้ตอกย้ำความทรงจำในอดีตกลับมาอีกครั้ง...เรื่องราวที่เกิดขึ้นคล้ายกับความฝัน..ที่งดงามบนเส้นทางแห่งกวี...แต่ก็คล้ายกับ ยามที่พระอาทิตย์จากไปเหลือไว้เพียงความมืดมนแห่งราตรีกาล....คล้ายกับพระจันทร์ที่เลือนหายจากฟากฟ้า...ทว่าทิ้งรอยอาลัยให้รำลึกนึกถึง....เช่นเดียวกับเธอหญิงสาวที่ฉันรัก ได้จากฉันไปแล้ว....อดีตเราเคยร่วมเรียงร้อยอักษรให้แก่กัน เหลือเพียงความทรงจำและคราบน้ำตาแห่งความอาดูร...
หลังจากการจากไปของเธอ ฉันไม่มีแม้แต่ความฝัน ไม่มีกำลังใจที่จะเขียนบทกวีที่งดงามอีกต่อไป....ใจของฉันได้ตายแล้ว.. สิ้นแสงแห่งชีวิตแล้ว พร้อม ๆกับการจากไปของเธอนะที่รัก
............................................14 กุมพาพันธ์.......2547
8 พฤษภาคม 2547 12:03 น.
วสุนทรา
....ชโลทรซ่อนร่างกลางหิมวาส
ร่วมสานศาสตร์จารร้อยแห่งถ้อยศิลป์
วจีรักฝากไว้เหนือ..เมทนินทร์
แด่..วารินทร์เอกวิรามท่ามอรัณย์
แทนหัวใจแห่งป่าวนากว้าง
อาบสุภางค์ซาบกมลล้นไพรสัณฑ์
คือมวลหมู่อณูรัก..จากหิมวันต์
เพียรสร้างสรรค์เป็นสร้อยกานท์ผ่านกวี
..แจงประสงค์บอกความนัยให้วหา
ทราบห้วงลึกในอุราของไพรศรี
เป็นเช่นใดต่อปรียาวาหินี
กอร์ปภักดิ์นี้เพียงเจ้านิรธาร
..คงอยู่เคียงมิ่งศิรากว่าชนม์สิ้น
บนมรรคานิจศีลจินต์ประสาน
เคยพันผูกมาแต่ครั้งบุพกาล
ปัจจุบัน..ซ้อนประสานคู่มนเดิม
..เมื่อกระแสแห่งเวลามาบรรจบ
ความคุ้นเคยแรกสบ..หา..สร้างเสริม
จำรูญเรืองเนื่องสองใจใช่..แต่งเติม
มีอยู่เดิมคราวหนหลังครั้งพุทธันดร..
.................๒๗ กันยายน ๒๕๔๖
7 พฤษภาคม 2547 07:40 น.
วสุนทรา
ประพาสสวน ณ ย่ำค่ำ รพีต่ำลับเศขร
จูบลาฟ้าอัมพร วิหคร่อนสู่รวงรัง
กลิ่นแต้มแซมบุหงา มะลิลามีมนต์ขลัง
สุคันธ์ชาติอลัง การ สถิต ธ ทรวงใน
เกี่ยวกรเยาวเรศ ชี้ชายเนตรชมมาลัย
นานาเหล่าพรรณไม้ สะพรั่งไพรจรุงหอม
เสลาโสณลั่นทม รวยรื่นรมย์น่าดมดอม
เกดแก้วแต้วพะยอม ประพรมหอมย้อมกมล
อัญชันเลื้อยขึ้นฟ้า .มณีเทวาน้ำเต้าต้น
พวงครามครามน่ายล พิมเสนสนมณฑามาลย์
ราตรีบานบุรี ปีบนนทรีกลิ่นหอมหวาน
มหาหงส์ทรงบาดาล เริงสำราญดงผกา....
ลอบยลอนงค์นาฏ ราวอังกาศจากเมืองฟ้า
สุภางค์กลางสุมนา ลักษณ์หยาดฟ้ามาโลมดิน
รอยยิ้มหยดย้อยแต้ม สองพวงแก้มชมพูริน
เนตรขำประดุจนิล หมื่นนารินทร์..ฤ..เทียบนาง
อันกลิ่นสุมาลี บนภพนี้เคยเยื้องย่าง
มิเท่ากลิ่นนวลปราง มิเคยจางขจรหาย
ชมดอกชมโฉมเจ้า แดคละเคล้ารักกำจาย
สายหยุดหยุดกลิ่นสาย รักของ อ้าย มิคลายเลือน
.............๑๑ เมษายน ๒๕๔๖