1 มิถุนายน 2547 07:42 น.
วสุนทรา
อ้าองค์ณัฐนรีนามามี สียะตรา
ภิคินีผู้ลึกซึ้งถึงอักษา
เฉิดฉันรัศมีแห่งเมธา
ปานดั่งว่าสรวงเสกสู่คู่ปฐพี
ยามใดยลกาพย์กวีคีตะนาฏ
เฉกอุษาสาดอรุณรุ่งรัศมี
เฉกบุหลันพันนภาอ่าราตรี
เฉกเมฆีสดใสไร้มลทิน
.คำนวลคล้องผ่องใสคล้ายไอเมฆ
ดุจมนต์เสกต้องใจให้ถวิล
พิศคราใดให้ซาบซึ้งกลอนยุพิน
ถ้อยกวินกวีหวานประทานมา
ยอดนารีสียะตรา นามจรัส
กถาชัดเจนจัดไทยภาษา
มธุรงามรังรองดั่งทองทา
เทียมพิชญาครั้งกรุงเก่าแต่เนานาน
สดุดีปิ่นนารีเยาวเรศ
ด้วยเกล้าเกศแห่งกนิษฐ์พิษฐาน
น้อมบารมีพระศรีศาสดาจารย์
ให้นงคราญเปี่ยมสุขทุกราตรี
เชิญเทพไท้เทวามาพิทักษ์
มาอารักษ์มาปลอบมารศรี
พัดความหม่นหมองไหม้ในฤดี
ให้เทวีสิ้นไร้ไอเถ้าตรม
ทุกครั้งที่น้องสาวคนนี้ได้ยลกลอนพี่สียะตราให้รู้สึกว่า
..รสกลอนหวานก็ให้หวานสะท้านจิต
ครบจริตร้อยรสสิเน่หา
รสกลอนเศร้าก็ให้เศร้าเร้าน้ำตา
ซึ้งภาษา ซึ้งถ้อย แน่งน้อยจาร...
ด้วยความเคารพนับถือพี่สาวอย่างสูงสุด
............................................๑ มิถุนายน ๒๕๔๗ นครพิงค์
31 พฤษภาคม 2547 09:05 น.
วสุนทรา
ลานไม้ป่าเขียวชะอุ่มเป็นซุ้มเถา
ดลใจเราให้ก่อเกิดอารมณ์ศิลป์
ร่ายคำหวานปานว่าเป็นศิลปิน
กลั่นจากจินต์สื่ออักขราภาษาใจ
ความงดงามที่ได้พบและสัมผัสท่ามกลางธรรมชาติอันอยู่รายล้อมรอบกายนั้น..
..เปรียบดั่งเป็นเช่นความรักรักคงหวาน
สุขสำราญเลิศเลอมิสงสัย
คงเป็นรักอันซาบซึ้งตราตรึงใจ
เทิดทูนไว้ด้วยหทัยเปี่ยมภักดี
เปรียบดั่งบุญคงเป็นบุญหนุนนำสร้าง
จึงสล้างกระจ่างใจในวันนี้
หวานละมุนกรุ่นอาทรค่อนมากมี
ด้วยรักนี้จักพลีแด่มหาชน
มองดูฟ้าฟ้าสีครามยามเมฆหลบ
เส้นขอบฟ้าคล้ายบรรจบเหนือทิวสน
ยามนี้ใจสุขสงบไม่ทุกข์ทน
คล้ายหยุดซนซอกซอนย้อนมายา
มองตะวันตะวันรอนอ้อนสิงขร
ทิ้งแสงอ่อนหลับลับลงเหลี่ยมผา
งามดั่งมนต์ดลด้วยฤทธิ์เทพยดา
ปานดั่งว่าอยู่ในป่าหิมพานต์
เสียงวิหคนกร้องซ้องสลับ
ราวเสียงกลับขิมพิณสอดผสาน
แสนตะลึงตรึงมนล้นดวงมาน
ให้ใจหวานหวานใจเกินไขคำ
...ยามค่ำท่ามกลางความวิเวก..ใจอาจโหยหาอาวรณ์ถึงทิวาที่กำลังจะจากไป..เมื่อราตรีมาเยือน..หากอยู่ในดงเถื่อนเกลื่อนไพร...ไยมิหวาดไหวเกรงกลัวต่อภยันตรายที่จะมาถึง...
..เสียงสวดมนต์ในวิหารขานคำแว่ว
สยบแน่วใจโลเลไม่เซถลำ
วรบทพุทธพจน์ลดล้างกรรม
คอยขย้ำห้ำหั่นบั่นมลทิน
...หากว่าไร้ซึ่งภาระทั้งปวง...คงจะ
..สยายผมปลงเกศาแทบเบื้องบาท
ปทุมาศมารองรับวัตรแห่งศีล
สัตยาดิษฐานจารจดจินต์
แม้นกายสิ้น...ขอใจเราเฝ้าพุทธองค์
....เนื่องในวันใกล้วิสาขบูชามหาบูรณี ลูกน้อยขอนอบน้อมดวงฤดีอภิวาทแทบพระบาทพระชินสีห์...ผิ...ที่แล้วมานับแต่ชาติภพแรกมาจนถึงณวันนี้ไซร้..ลูกน้อยได้พลั้งผิดพลาดปรามาศองค์รัตนตรัยมณีศรีพุทธันดร ประการใด...ลูกขอกราบขอขมาโทษด้วยใจเปี่ยมภักดีไม่มีเสื่อมคลาย ด้วยบท...
...สัพพังอะปะราทัง ขะมะถะเม ภันเต อุกาสะ ทะวาระตะเยนะกะตัง
..สัพพังอะประราทัง ขะมะถะเม ภันเตอุกาสะ ขะมามิภันเตฯลฯ
คนยื้อแย้งผ้าขี้ริ้ว..ทำไมจิตตนชอบวกวน เสาะแสวงหาสิ่งที่คนยื้อแย่ง นิพพานล้ำค่าราคาแพง ไม่ต้องยื้อแย่งไยไม่ไป
..พระโอษฐ์เอื้อนเอ็นดู
พระสัพพัญญูพุทธเจ้า
พระเมตตาเวไนยเหล่า
พระชี้ทางเข้านิรวาน
..วิสาขใกล้เวียนมาบรรจบ
สองพันห้าร้อยสี่สิบเจ็ดครบพุทธขาน
ถ่ายทอดธรรมย่ำเหนือโลกสู่นิพพาน
ปิดสังสารปิดชาติภพจบไตรภูมิ
..../I.... .../I.... ..../I....
..................๓๑ พฤษภาคม ๒๕๔๗ ณ เวียงนพบุรีศรีนครพิงค์อิงสุเทพบรรพชาล
31 พฤษภาคม 2547 08:18 น.
วสุนทรา
ขอลิขิตวิจิตรคำที่พร่ำวาด
เพื่อหมายมาดเป็นอนุสรณ์แด่จอมขวัญ
พระหน่อเนื้อเพริศแพร้วกลางชีวัน
พระผู้มีไตรรัตน์อันมั่นฤทัย
เมื่อพบเธอเหมือนฉันได้พบพระ
พบชนะสมหวัง ณ..โลกใหม่
พบเธอเหมือนพระนิพพานหวานกลางใจ
ความเป็นเธอประทับไว้ไปนิรันดร์
สบตาเธอช่างอาทรเหมือนวอนกล่าว
ดั่งดวงดาวสุกสว่างศรีเฉิดฉันท์
คำพูดเธอพาให้ใจสงบพลัน
โอ้จอมบุญจอมขวัญหรือฝันไป
ยิ้มเธองามท่ามกลางความประณีต
ชโลมจิตของฉันให้สดใส
โลกวันนั้นช่างแสนสุขสุดวิไล
มีพระธรรมส่องไสวกลางชีวา
ฉันพบเธอครั้งแรกแปลกใจเหลือ
ให้การุญเอื้อเฟื้อและห่วงหา
เธอพาฉันกราบองค์พระปฐมา
ท่ามศาลามณฑปแก้วแพรวพรรณราย
คงเป็นฟ้าดลบันดาลให้พานพบ
แรกสยบตกตะลึงตรึงใจหมาย
ผิ..ว่าเป็นผู้ผ่านภพเคยเคียงกาย
ขอให้สายปฏิพัทธ์ชัดรวงจินต์
จอมบุญผู้มีดวงหน้าหวาน
รูปสะคราญผิวผ่องพรรณเพราะคล่องศีล
ใจเจ้าหวานผลาญราคะเป็นอาจินต์
ใจเจ้าหวานเพราะมิสิ้นต่อสัมมา
ดวงหน้าหวานหวานเพราะบุญหนุนราศี
ดวงหน้าหวานหวานความดีองค์ตถา
ดวงหน้าหวานหวานด้วยจิตคิดสัมมา
ดวงหน้าหวานหวานบุญญาใช่หวานกาม
เธอเอ็นดูรักฉันปันถ้อยเพราะ
คำเสนาะด้วยรสธรรมแห่งองค์สาม
รักเธอฉันไม่ข้องแวะเกาะแกะกาม
แต่อยู่ท่ามพรหมจรรย์นิรันดร
ไม่ยินดีนิยมบ่มเพาะรัก
เพียงประจักษ์รักเช่นคำตถาศร
รักในพรหมวิหารสี่ไม่ร้าวรอน
เพียงอาทรกว่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพาน.................วิศัลย์ศยา..
............................................................
โอ้เจ้าดวงดอกฟ้าตถาศร
คือความหวังองค์ปิ่นชินวร
โลกร้าวรอนเมื่อพลัดพรากจากแก้วตา
โอ้เจ้าดอกรักล้อม
พระหน่อเนื้อหอม..เชยพัดอุรา
จอมคนผู้ตรงต่อองค์สัมมา
โพธิสัตยาคงไว้เหนือใจจอมคน
โอ้เจ้ากาสะลองแก้ว
ทำงานเหนื่อยแล้วอย่ามีทุกข์ทน
พระแย้มยิ้มโลกนี้ไม่ขัดสน
ผืนมหิดลก็เจิดจ้าอ่าอำไพ
โอ้เจ้าดอกรักไล้
เกศาดั่งเส้นไหม
พลิ้วไหวเมื่อต้องลม
เนื้อทองของป่า
อยู่ไหนหนาไม่เห็นโฉม
โอ้เนื้อหอมเนื้อเกลี้ยงเพียงโพยม
ดาราโลมฟ้าใสใครจะดู
โอ้เจ้าดอกรักเร่
เคยกล่อมเห่พระธรรมดำรู
ใจงามยิ้มงามสะพรั่งพรู
ขอเชิดชูเจ้าไว้เหนือใจเอย ........................วิศัลย์ศยา.........
.........................................................................
จากอัสมันไตร..ผู้รักเธอเสมอเหมือน.............
ในโลกนี้ปฐพีที่ลือลั่น
เสียงรำพันจากห้วงดวงบุบผา
เจ้าขุ่นข้องหมองใจที่แล้วมา
ขอยุพาคลายโศกยกโทษที
สุดาทิพย์สุดาใจสายสวรรค์
มาปลอบขวัญมาพบอย่าหลบหนี
ทุกคืนวันรำพันแต่คนดี
มาครั้งนี้สุดจะง้อขออภัย
รักกันไปนานนานนะหวานจิต
น้อยนิดอย่าคิดแต่ผลักไส
มาช่วยรบกิเลสอาเภทภัย
จรรโลงใจมวลสัตว์ขัดเกลาเอย
ฉันอ้างว้างหมางหมองเหม่อมองหา
ถึงขวัญตามากล้นจนจะเอ่ย
เห็นแต่หน้าใครใครไม่เสบย
ไม่เหมือนเคยเห็นหน้าสุดาดวง
ไปหาฉันบ้างนะอย่าจางหาย
โปรดได้คายทิฏฐิอย่าแหนหวง
ใจเจ้าทิพย์ใจเจ้าสูงดั่งยูงยวง
ไม่ควรห่วงตระแหน่เป็นแง่งอน
งอนมากไปไม่งามทรามสวาท
จะเป็นทาสโมหะนะสมร
เอ็นดูเรามาเฝ้ามาเว้าวอน
ถ้าอ่านกลอนนี้ถึงจะซึ้งใจ
ภาษาทิพย์ภาษาธรรมฉ่ำชีวิต
อมฤตดื่มกินสิ้นสงสัย
ช่วยกันนะพุทธะจะยองใย
โลกอำไพเพราะดวงจิตพิชิตมาร
ฝากบทเพลงหวานซึ้งตรึงตราจิต
มาประชิดประชันให้ฝันหวาน
หลับเป็นสุขเสมือนดั่งในวิมาน
อวตารจะมากล่อมห้อมล้อมเอย
เจื้อยแจ้วแว่วหวานสำราญทิพย์
เสียงกระซิบเสมอธรรมพร่ำเฉลย
มาเป็นคู่สร้างธรรมให้งอกเงย
ช่วยกันเผยสัจจะใจในหมู่ชน.................อวตารอัสมันไตร.....
......................................................................
เธอ..อัสมันไตร..ดอกฟ้ายาใจในองค์ตถาศร...ผู้ปัดเป่าความหมองไหม้ให้จากจร......ผู้เว้าวอนคำหวานจารถ้อยงาม...
เธอ......
ประดุจจอมใจ..ไอศูรย์..ทูลกระหม่อม
ดั่งฟ้าน้อม...โน้มกิ่ง..ลงมาหา
เธอเป็นแรงจูงใจหลอมวิญญา
เธอคือ..ดวงดอกฟ้า.เคียงท่าธรรม์
สุดจะกล่าว...ในบุญเธอ..ที่เลอเลิศ
เรียงลำดับทรัพย์ประเสริฐกว่าสวรรค์
เกินจักเรียงร้อยกรองมาจำนรรจ์
สุดจะกลั่นกลิ่นบุญสุนทรพาที..................วิศัลย์ศยา.......
............................................................
หุ่นหวานสราญจิต
พรหมลิขิตให้รักให้ใฝ่ฝัน
ยิ้มเธองามหวามใจยามแย้มปัน
พิภพพลันสดใสให้ใยยอง
หากวันใดจอมบุญล่วงลาลับ
อัจกลับชีวินจินต์หม่นหมอง
คงอาลัยใฝ่หาพระเนื้อทอง
พระลอยล่องสู่ฟ้าอุราครวญ
เมรุแก้วเมรุทองจะรองรับ
คณานับมาลีที่หอมหวน
แตรสังข์ฆ้องกลองชัยจะคร่ำครวญ
กล่อมขบวนศพเจ้าไม่เหงางัน
โลงทองป้องศพเมื่อพลบค่ำ
จะรินร่ำน้ำหอมรดจอมขวัญ
กระถางธูปควันเทียนจะเปลี่ยนพลัน
เปลี่ยนทุกวันมิให้หมองเนื้อทองนอน
หน้าจอมบุญจะซับให้ถ้าไหลเปรอะ
น้ำเหลืองเลอะจะลูบไล้เหงื่อไคลถอน
จะเผยชมศพเจ้าไม่ร้าวรอน
ถึงม้วนมรณ์เปี่ยมภักดีไม่มีคลาย
......................................วิศัลย์ศยา
25 พฤษภาคม 2547 09:18 น.
วสุนทรา
คำคะนองคล้องเล่นเช่นวันนั้น
คือโทษทัณฑ์เหยื่ออารมณ์ขมวันนี้
หากไม่รักไยฝากรักกับฤดี
หากไม่มีใจให้ไยฝากความ
รักมากนะ
คำลวงลวงหลอกและหยอกเล่น
รู้เห็นลึกซึ้งใจจนเข็ดขาม
เพียงภาพพจน์บทบาทแสร้งความงาม
เพียงสนองจินตนาท่ามกมลเธอ
..ฉันเป็นเพียงเหยื่อแห่งอารมณ์
เหลือความขื่นขมสม่ำเสมอ
สัญญารักเคยให้ล้ำค่าเลอ
คงเพ้อเจ้อเหลวไหลไร้ค่าลง
สัญญานะว่า เราจะพูดแต่ความจริง
หากมิตรภาพเธอมอบให้ใสพิสุทธิ์
บริสุทธิ์คำรักใช่พจน์หลง
มีความแน่แท้และมั่นคง
ไยเจาะจงลวงความยามแรกเจอ
มิใช่ไม่ถามว่ามีใคร.
แต่เธอปฏิเสธไซร้มาเสมอ
ตราบก่อเกิดรักหวานปานละเมอ
เพราะถ้อยรักจากเธอมอบให้กัน
เกินจะหยุดรักเมื่อใจถลำ
ไม่เคยเสียใจกว่าครั้งใดเท่าครั้งนี้
ดุจรอยบาปอาบดวงฤดีฉัน
เกินจะพร่ำโศกนี้มาจำนรรจ์
เกิดนับรำพันวันอาดูร
..21 กุมภาพันธ์ .2547
.....ขุดมาจากกรุที่แต่งไว้ต้นปีมีเหลืออยู่เท่านี้แหละเจ้าค่ะ
เมื่อไม่มีมีรักก็ไร้คำขึ้นขีดเขียน...อิอิ
24 พฤษภาคม 2547 13:25 น.
วสุนทรา
ธารอารมณ์พร่างพรมอยากชมเล่น
สาดกระเซ็นครึกโครมคลื่นโหมถั่ง
บ้างร้ายดี บ้างมืดมนหม่นประดัง
สารพัดจะสะพรั่งอารมณ์คน
เมื่อรักแรกให้หวานชื่นดื่นวาบหวาม
คงความงามท่ามหทัยยามผลิผล
ประดิษฐ์ประดอยดอกรักแนบกมล
ผิ..ได้ยลทุกคราพาซึ้งทรวง
ยามร้างรักห่างอกอกสลาย
อารมณ์ร้ายก่อเกิดด้วยพิษหวง
ยิ่งชอกช้ำเมื่อรักเป็นเช่นรักลวง
แสยงทรวงสะเทือนล้ำพร่ำอาดูร
คลื่นพายุอารมณ์แสนขื่นขม
น้ำตาพรมโลมแก้มมิเสื่อมสูญ
อาบพักตร์เช้าจรดเย็นราตรีคูณ
ให้เพิ่มพูนเทวษสังเวชใจ
หากสลัดขจัดชั่วกลั้วกิเลส
คงมิต้องจิตอาเพศสิ้นสงสัย
ตามโลกีย์กระทบกระทั่งพรั่งสู่ใจ
อนาถไซร้วิถีโลกบนโศกเอย