28 กุมภาพันธ์ 2552 12:57 น.
วฤก
๏ เจ้าเมินจึงหม่นไข้ ..........ขื่นขม
เคยร่วมอภิรมย์..................รื่นเร้า
เห็นสนุกหากทุกข์ตรม.........ตรอมจิต....ฤๅแม่
จึงหน่ายแหนงแปลงเหย้า....อยู่คล้ายนรกานต์๚
๏ ผลาญใจในหัตถ์เจ้า........จนหาย
เห็นป่นปนพระพาย.............พัดฟุ้ง
หัตถ์สวยหั่นสลาย................ไห้สลด...แล้วอา
ครั้นไขว่คว้าคล้ายรุ้ง............รี่ใกล้ไกลถึง๚
๏ จึงใช้ใบพฤกษ์พ้อ...........พร่ำเผย
ไฉนชื่นจะคืนเชย...............ชิดได้
ประสงค์ใดจะให้เลย............หากล่วง- ...รู้นอ
พากย์ผ่านพฤกษาไว้...........สื่อเว้าวอนขวัญ๚
ครอบจักรวาล
๏ ทัณฑ์สวรรค์ฤๅนั่นแล้.....ลงทัณฑ์
เว้นเถิดวอนสวรรค์............เสวกเว้น
ห่างนางจิตจาบัลย์..............บาดห่าง
หายโศกหากผู้เร้น..............ผ่อนร้อนร้าวหาย๚ะ๛
วฤก : ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒
26 กุมภาพันธ์ 2552 20:37 น.
วฤก
-๑-
๏ กระจกกระจ่างแจ้ง.......จริงสำแดงดีชั่วฉาย
เห็นแท้แก้ฤๅกลาย..........หมายให้รู้ดูเห็นตน๚
๏ กระจกกระจ่างแจ้ง......จริงลักษณ์
ดีชั่วฉายประจักษ์............ประเจกรู้
เห็นตนหากตระหนัก .......น้อมตรึก...ตรองแล
คันฉ่องใช้ช่วยผู้..............เพ่งให้เห็นตน๚
-๒-
๏ รูปงามงามลักษณ์ล้ำ...ภาพฉายทำเฉกเช่นเห็น
ล้ำเลิศประเสริฐเป็น......เช่นเฉกชั่วหมองมัวฤๅ๚
๏ รูปงามงามลักษณ์ล้ำ-...เลิศลาย
กระจกก็จะฉาย...............เฉกนั้น
ล้ำเลิศประเสริฐกลาย......แกล้งเปลี่ยน
เป็นชั่วหมองมัวปั้น..........ป่ายป้ายไปไฉน๚
-๓-
๏ อัปลักษณะเนื้อ...เน่าเหม็นเกลื้อเกลือกด้วยหนอน
ไฉนใช่บวร......ปล้อนเป็นแก้วแพร้วเพริศแทน๚
๏ อัปลักษณะเนื้อ.........เสนอหนอน
อันเน่าเหม็นขจร..........ขจ่างแล้ว
ไฉนใช่บวร..................วากย์เบี่ยง...เบนนา
ชั่วใช่ชั่วใช่แก้ว............ก่องแพร้วกลายพรรณ๚
-๔-
๏ กระจกกระจ่างแจ้ง....จงเจตน์แปลงเปลี่ยนไปไฉน
เป็นชนิดผิดจริงไป.......ใจป้ายเปลี่ยนฤๅเพี้ยนจริง๚ะ
๏ กระจกกระจ่างแจ้ง........จงตรอง
ใจตรึกตามจริงมอง............แม่นแท้
เหมือนที่กระจกสนอง.........เนตรประจักษ์
นั้นประจากภาพจริงแก้.......แกะพ้นตนไฉน๚ะ๛
วฤก : ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒
25 กุมภาพันธ์ 2552 18:34 น.
วฤก
๏ สามสายสีสอดเคล้า...........คลอเสียง
คำพร่ำพี่จำเรียง...................รจน์ร้อย
เชลงกานท์ผ่านสำเนียง........แสนเสนาะ...นี้นอ
เสนอกล่อมค้อมขวัญคล้อย..คล่าวเคล้าความเกษม๚
๏ เปรอเปรมสังคีตครื้น-......เครงประโคม
ขานขับคำชมโฉม.................เฉิดฟ้า
เรียมถนอมกล่อมบรรโลม....เบาลูบ...ไล้เอย
อิงอกนี้ไหนล้า.....................เหนื่อยแล้วประคองขวัญ๚
๏ “บุหลันลอยเลื่อน” ฟ้า.....ล่องฝัน
“กระต่ายเต้น” ชมจันทร์.....จิตเพ้อ
“คำหวาน” ใคร่หวานฉัน....เฉกพี่...ชมแม่
“โสมส่องแสง” แสงเก้อ......ก่องแพ้พักตร์โฉม๚
๏ ประโคมเพลงพาทย์เคล้า...คลอเสียง
คำพร่ำพี่จำเรียง...................รจน์ร้อย
ขานกานท์ผ่านสำเนียง..........แสนเสนาะ...นี้นา
ไฉนเปรียบแม้นเพียงน้อย...หนึ่งถ้อยหทัยหมาย๚ะ๛
วฤก : ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒
24 กุมภาพันธ์ 2552 19:17 น.
วฤก
๏ กรรมเวรฤๅว่าเว้น.......วางไฉน
กรรมอาจฤๅแก้ไข............ข่มร้าย
กรรมครั้นส่งผลใด...........ได้ก่อ....ก่อนนา
กรรมชั่วชั่วผลย้าย...........อย่างได้ฤๅดี๚
๏ จึงมีธรรมท่านแจ้ง.......แจงประจักษ์
หิริหากตระหนัก...............ตรึกน้อม
โอตตัปปะเป็นหลัก..........ล้อมจิต....ใจแล
แรงบาปฤๅจักพร้อม........พร่าให้ใจถลำ๚
๏ คิดทำบุญไถ่ล้าง..........ลบบาป
บุญไป่ไปกำซาบ.............เกาะซ้ำ
กลบเชื้อช่วยกำราบ........แรงส่ง ...สนองนอ
ซึ่งบาปบุญต่างก้ำ............ต่างก้อนย้อนผล๚
๏ จึงคนประพฤติพร้อม..พระธรรม
ศีลสถิตในจิตนำ.............แน่แท้
หิริโอตตัปปะงำ...............งัดบาป...กรรมพ่อ
แล้วจักมีฤๅแก้.........แกะเงื้อมกรรมสนอง๚ะ๛
วฤก : ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒
21 กุมภาพันธ์ 2552 12:50 น.
วฤก
๏ ใจหมองจันทร์หม่นแม้น...เหมือนไฉน
มืดดับดังฟ้าไกล....................กลบเร้น
ลองเหลียวอาจดูใด................ได้หนึ่ง....ครั้งอา
เห็นแต่น้ำตาเต้น..................แต่งเพี้ยนภาพโสม๚
๏ พร่ากลายกระเพื่อมพลิ้ว.....กระพือพลัน
ฤๅหยดชลเนตรกัน................กดไว้
เล็ดลอดจากทรวงศัลย์............ซบสู่....โสมเอย
ชลบอกจนโสมไห้....................โศกหั้นเสมอเรียม๚
๏ ศศิธรยามโศกเศร้า..........เสื่อมโฉม
ยังล่องลอยโพยม....................พยชฟ้า
คราเผือเมื่อหนาวโทม-..........นัสท่าว....ถลาแล
อยู่แต่เดียวเปลี่ยวล้า...........ปลอดแล้วแก้วขวัญ๚
๏ พระจันทร์เจ้าหม่นแม้น...เหมือนไฉน
ฟ้าดับฤๅเหมือนใจ...............เจ็บร้าว
ขอเพียงแค่เห็นใคร............ครู่หนึ่ง...นั้นนอ
เห็นแต่ตนตะกายน้าว........เหนี่ยวคว้าความฝัน๚ะ๛
วฤก : ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒