12 มกราคม 2545 11:02 น.
วฤก
๏ มธุรสมดกรายหมายลองลิ้ม
ได้เชยชิมชื่นจิตติดรสหวาน
คราวเว้นว่างห่างพ้นก็ดลมาน
เซอะซมซานเสาะหามาดื่มกิน
มะนาวเปรี้ยวเคี้ยวขบคำรบหนึ่ง
ก็ซ่านซึ้งซึมติดจิตถวิล
ปรุงแปลกโอษฐ์โภชนารสชาชิน
ช่วยชุ่มลิ้นรสรื่นชวนชื่นใจ
ดังชีวิตคิดไปไม่ผิดแผก
มีเปรี้ยวแทรกซึมซ่านความหวานไหว
มีสุขสมระทมทุกข์คลุกเคล้าไป
จะยึดไยรสชาติที่คลาดคลอน
เมื่อรับหวานรู้หวานที่หวานรส
เปรี้ยวปรากฏปร่าขมก็จมถอน
ใช่เปรี้ยวคงทรงหวานนานแน่นอน
นิรันดรคือชีวิตอนิจจัง ๚
9 มกราคม 2545 17:45 น.
วฤก
๏ ฤๅกรอบคือขอบข้อง......................ขัดขวาง
เลือนรสเกลื่อนพจน์วาง....................วัจน์ได้
ขัดใดอัดใจหมาง..............................หมายหัก........หาญนอ
รื้อกรอบฤๅชอบไร้............................รสด้อยถ้อยกถา ฯ
๏ การณ์ใดสั่นสะท้าน.........................สะเทือนจิต
อยากจดพจน์ลิขิต..............................ข่าวนั้น
จารสือสื่อความคิด.............................ขานกล่าว
กานท์ใช่ไปกางกั้น.............................กว่าเอื้อมเอาถึง ฯ
๏ ฉันทลักษณ์คือหลักรั้ง......................รจนา
กวีร่วมรวมฉันทา...............................ที่พ้อง
เห็นงามบ่ทรามซา..............................ศิลป์เสื่อม
เป็นเช่นปลักดักคล้อง.........................ขัดข้องความไฉน ฯ
๏ ควรเพียรเรียนเพื่อสร้าง...................สรรค์กวี
เป็นสง่าค่าธานี....................................เนื่องร้อย
ปล่อยปละละเลือนศรี............................สูญเสื่อม
ฤๅหยุดสุดสิ้นถ้อย.................................ถักสร้อยวรรณศิลป์ ๚
9 มกราคม 2545 09:21 น.
วฤก
๏ ลมหนาว คราวพัด สะบัดผ่าน
สะท้าน สะทก อกหวั่นไหว
คิดหวน ครวญคร่ำ อยู่ร่ำไร
ลาไกล จากเรือน ยากเยือนคาม
บ้านเก่า เคล้ากรุ่น ไออุ่นอบ
ครันครบ แค่ไหน ใคร่ขอถาม
พ่อแม่ แก่เฒ่า เฝ้ามองตาม
ทุกยาม อยู่สุข ไร้ทุกข์ฤๅ
พระพาย ชายผ่าน แต่กาลนั้น
เห็นท่าน อยู่เย็น เป็นสุขหรือ
ไยเล่า กล่าวเพียง เสียงอื้ออือ
ขอมือ มอบข่าว คลายร้าวใจ
ลมหนาว คราวพัด สะบัดผ่าน
สะท้าน สะทก อกหวั่นไหว
เพราะพราก จากบ้าน มาย่านไกล
จึงไข้ ขื่นขม ตรมเดียวดาย ๚
8 มกราคม 2545 18:00 น.
วฤก
ถึงราษีไศลใจสะท้อน
แสนอาวรณ์วุ่นจิตคิดครวญหา
ใคร่ถนอมกล่อมเจ้าเข้านิทรา
แนบแก้วตาชื่นขวัญคงฝันดี
ดูหมู่ดาวพราวพร่างกระจ่างฟ้า
ดาริกากุมลัคน์จักรราศี
ดาวรักเลือนเหมือนหม่นปนราคี
แลริบหรี่โรยแรงแสงอ่อนรอน
คิดคิดไปใจเหมือนจะหวั่นหวั่น
คิดคิดพรั่นเพลงรักจักถอนถอน
คิดคิดถึงจึงพร่ำคำวอนวอน
คิดคิดก่อนเกรงร้างห่างไกลไกล
จึงวอนดาวเจ้าเอ๋ยอย่าเฉยเฉื่อย
อย่าเลยเรื่อยเลือนร้างห่างไปไหน
อย่าลาลัคน์รักร้างละห่างใจ
ดาวจงได้ดลน้องอย่าหมองมน ฯ
สระกำแพงแข็งกั้นเป็นชั้นฉาก
เหลือแรงลากรั้งไว้ใจฉงน
ฤๅศรัทธาเทพไท้จะใคร่ดล
ดาลภัยพ้นเพลาห่างจึงสร้างมา
เพราะศรัทธาในรักสมัครน้อง
คงจะพ้องเพียงปราสาทศาสนา
เรียมเลยสร้างวางลักขณ์อักขรา
เป็นภาษาสื่อจิตคิดคะนึง ฯ
ถึงนครศรีลำดวนรัญจวนจิต
ห่างมิ่งมิตรหมองไข้ใจคิดถึง
เพราะพี่เหงาเศร้าระกำจึงรำพึง
เคล้าเสียงซึงเสียงแคนจากแดนไกล ฯ
โอ้แม่ศรีสระเกศในเขตแคว้น
เป็นศรีแดนดินดำฉ่ำน้ำใส
ลูกแม่ศรีมีสุขสร่างทุกข์ใจ
เพราะลูกได้แม่ศรีเป็นศรีแดน
แม้จากไปไกลถิ่นถวิลหา
แม้ไขว่หาบ้านอื่นอีกหมื่นแสน
เหมือนสุขสร่างห่างคลาดจนขาดแคลน
ไม่เหมือนแม้ศรีสะเกษเขตนิคม ฯ
วฤกร้อยถ้อยนิราศอาจพลั้งผิด
วอนมิ่งมิตรอย่าขับหรือทับถม
เพราะรักกานท์จึงจารไว้ให้ลองชม
เพียงภิรมย์รื่นรสบทกลอนเอย ๚
8 มกราคม 2545 14:24 น.
วฤก
ไม้เมืองสรวงมือสวรรค์ฤๅสรรค์สร้าง
พุ่มพฤกษ์พรางพันไต่ด้วยไม้เถา
สองพฤกษ์ลอดสอดกิ่งดูพริ้งเพรา
สองพฤกษ์เคล้าคลอชิดสนิทกัน
พงพฤกษ์พลอดกอดรัดกระหวัดชู้
ให้อดสูชมไพรใจกระสัน
กระเสียนเสียดเบียดพฤกษ์นึกถึงวัน
กรกอดกันก่ายน้องประคองนวล ฯ
ผ่านเมืองสรวงล่วงสุวรรณภูมิภพ
มิอาจลบเลือนจิตที่คิดหวน
เคยประโลมโฉมเฉลาเร้ารัญจวน
ต้องผันผวนพรากน้องจากห้องไกล
จนถึงกู่พระโกนาว่าจะกู่
ถามพรหมผู้ลิขิตคิดไฉน
จึงเสแสร้งแกล้งทำให้ช้ำใจ
พรากพี่ให้ห่างนวลผู้ควรครอง ฯ
โอ้โพนทรายทรายกลบลบรอยร้าว
เลือนรอยคาวขื่นขมระทมหมอง
แต่รอยรักสลักจิตพี่คิดปอง
มิเพลาพร่องผันเกลื่อนเลือนรอยทราย
ทุ่งกุลาร้องไห้อันใหญ่กว้าง
แลเวิ้งว้างว่างไปพี่ใจหาย
ทุ่งขวางกั้นคั่นกลางเจ้าห่างกาย
สุดจะหมายมาสู่ยอดชู้ชม
เรียมร้องไห้กับกุลาโศกาสลด
เรียมระทดแลไปใจขื่นขม
เรียมรานร้าวหนาวไข้ใจระทม
เรียมตรอมตรมเจียนตายคล้ายกุลา ฯ