31 มกราคม 2545 21:50 น.
วฤก
๏ คราบรรเลงเพลงคลื่นกระทบฝั่ง
ระนาดดังเดือดกลบกระทบหู
ทั้งฉิ่งกลองฆ้องครบกระทบตู
สุดจะสู้เสียงสยบกระทบใจ
จะเข้ขีดกรีดกรายดีดสายลวด
ด้วงอู้อวดเพลงพันพาหวั่นไหว
ขลุ่ยเพียงออล้อสำเนียงเสียงปี่ใน
สุดจะไขขานประเลงเพลงประโคม
ซอสามสายคล้ายจะดับระงับเงียบ
มิทัดเทียบเทียมพลังเสียงถั่งโถม
ทั้งซ้ายขวามาปะทะคระโครมโซรม
เลี่ยงลันโทมรอฟื้นขึ้นคืนครวญ
จะเคล้าคลอล้อลอดพรอดเสียงร้อง
ย้อยทำนองหยอดจังหวะตามกระสวน
กระแสเสียงเจรียงให้ใจรัญจวน
สิ้นกระบวนเพลงคลื่นฯ ...จะคืนมา ๚
31 มกราคม 2545 17:31 น.
วฤก
๏ ไยหมางเมินเหินห่างระคางขุ่น
มาโกรธกรุ่นเกลียดพี่ฉะนี้ไฉน
เจ้าอึดอัดขัดเคืองด้วยเรื่องใด
เฉลยให้พี่เห็นประเด็นความ
เจ้าเง้างอนค้อนควักกระอักกระอ่วน
พี่ปั่นป่วนใจนักจะทักจะถาม
รอนร้อนรนล้นระกำทุกย่ำทุกยาม
หรือปล่อยความรักจบกระทบกระเทือน
มีแต่เจ้าเท่านี้ที่จะช่วย
เอื้ออำนวยน้ำใจไม่เชือดเฉือน
ใดไหนพลาดอาจพลั้งรั้งตนเตือน
เป็นเสมือนมิตรสมัครรักไมตรี
อย่าหมางเมินเหินห่างระคางแค้น
อย่าคลอนแคลนคิดแคลงแหนงหน่ายหนี
ใดไหนข้องหมองไหม้ในฤดี
จงได้ชี้ช่วยเป่าบรรเทาคลาย ๚
29 มกราคม 2545 21:21 น.
วฤก
โคลงสี่สุภาพ
๏ ขานคำหวานฉ่ำล้ำ......................เลอเสียง
หลากพจน์บทพากย์เพียง................พาทย์พ้อง
เพลงหวานซ่านจำเรียง...................จรุงรื่น
ชวนดื่มด่ำคำซร้อง..........................เสนาะก้องกล่อมสวรรค์ ฯ
โคลงสี่สุภาพ กลบทโตเล่นหาง
๏ โคลงขานหวานแว่วแจ้ว.............จับใจ
โคลงพร่ำคำใครไข.......................ข่าวรู้
โคลงถนอมกล่อมใจใย..................ยึดอุ่น
โคลงเทิดเชิดชูกู้...........................ก่อชั้นวรรณศิลป์ ฯ
อินทรวิเชียรฉันท์ ๑๑
๏ หวานฉันท์ผสานเสียง................เสนาะเพียงเจรียงพิณ
เพลงสรวงสวรรค์ยิน.....................เฉพาะเทพ ธ เสพฤๅ
๏ ลายลักษณ์สลักพจน์..................ตะละบทระบายสือ
เส้นสายและลายมือ......................ฉลุไว้วิไลตา ฯ
กาพย์ยานี ๑๑
๏ กาพย์กานท์หวานซ่านซึ้ง...........สำเนียงตรึงคำนึงหา
จากสรวงห้วงนภา.........................มากล่อมคำฉ่ำสำเนียง
๏ คำขับรับจังหวะ.........................วางระยะระหว่างเสียง
รื่นรสพจน์พากย์เพียง...................จำเรียงดังสังคีตชม ฯ
กลอนแปด
๏ มธุรสวาทีวจีหวาน.........................วาดกลอนกานท์กอปรความที่งามสม
โตเล่นหางวางพจน์บทนิยม...............ชวนภิรมย์รื่นคำฉ่ำชื่นใจ
รวมรักร้อยร้อยรักศุภักษร..................สร้างสรรค์กลอนกลอนงามชวนหวามไหว
กวีวัจน์อรรถรสพจน์วิไล.....................ประดิษฐ์ไว้ประดับกรรณนิรันดร์เทอญ ๚
28 มกราคม 2545 07:40 น.
วฤก
๑ ๏ มัวหมอกมืดแม้นม่าน................สุรีย์ฉานฉายผ่านแสง
หมอกไข้ใจคลางแคลง......................แจ้งจริงไขใช้ปัญญา ฯ
๏ มัวหมอกมืดหม่นแม้น...................ม่านพราง
สุรีย์ส่องแสงสาดจาง.........................แจ่มได้
หมอกใจหม่นใจหมาง.......................ใจมืด
แสงสว่างปัญญาไซร้..........................ส่องให้เห็นแสง ฯ
๒ ๏ อย่าปล่อยปลงดวงจิต.................เดินทางผิดพ้นธรรมฉาย
ทุกข์จิตสุดคิดคลาย...........................วายชีพวางอย่างมืดมน ฯ
๏ อย่าปล่อยปลงจิตข้อง......................ข่ายอบาย
เหินห่างจางธรรมฉาย........................ชืดร้าง
ทุกข์จิตสุดคิดคลาย............................ขมขื่น
ตนตื่นคืนสุขอ้าง.................................เอ่ยได้ฤๅไฉน ฯ
๓ ๏ หลักธรรมนำชีพใส.......................ล้างทุกข์ไปให้ผ่องแผ้ว
ธรรมส่องผ่องเพริศแล้ว.......................แววธรรมครองล้างหมองใจ ฯ
๏ หลักธรรมนำชีพแจ้ง.........................แจ่มใส
ล้างทุกข์เข็ญขุกใจ..............................จิตแผ้ว
ธรรมส่องสว่างไกล..............................เกริกก่อง
ธรรมส่องครองจิตแล้ว.........................จักมล้างมลายหมอง ๚
22 มกราคม 2545 18:14 น.
วฤก
๏ เมฆาคราปลิวลิ่วล่อง.........................เมียงมองหมู่เมฆเสกสรร
ลวดลายหลายหลากมากพรรณ...............แผกผันภาพพิศคิดกล
ต่างเห็นเป็นแปลกแผกลักษณ์...............ต่างทักถ้อยเอ่ยเผยผล
ต่างใจไขต่างทางตน............................ต่างคนคิดต่างทางกัน
บ้างว่าหน้ายักษ์จักเคี้ยว........................เข่นเขี้ยวขึ้งขุ่นหุนหัน
บ้างคิดผิดแผลงแจ้งพลัน......................เทวัญวาดยิ้มพริ้มตา
เพียงหนึ่งซึ่งเห็นเป็นต่าง.....................ใดพรางภาพผิดปริศนา
ฤๅจิตคิดแสร้งแปลงมา........................เฟือนค่าคล้ายเพี้ยนเปลี่ยนไป
มานึกตรึกตรองถ่องแท้.......................มาแลลอดพ้นกลไข
มามองส่องซึ้งถึงนัย............................ตรองให้เห็นสิ่งจริงความ
เมฆาคราปลิวลิ่วล่อง...........................ตรึกตรองติงให้ใจถาม
ชื่นตาปรากฏงดงาม............................หรือทรามเสื่อมแท้แต่ใจ ๚