22 กรกฎาคม 2545 17:17 น.
วฤก
๏ วันบอกลาว่าจะกลับใช่ลับล่วง
อย่าคิดห่วงห่างไกลใช่ห่างหาย
จะมั่นภักดิ์หนักแน่นไม่แคลนคลาย
ชีวาวายใช่ว่าว่างวางสัญญา
แต่วันนั้นผันผ่านนับนานเนิ่น
เหมือนมองเมินหมิ่นใจคนใฝ่หา
ที่เฝ้าฝันวันหนึ่งซึ่งถึงครา
เธอกลับมารับขวัญสัญญาใจ
พบเพื่อพรากจากกันหันเหินห่าง
รักจะจางจนจืดชืดไฉน
ที่เว้นว่างห่างหายวายเพราะใคร
คิดเปลี่ยนไปเป็นอื่นหมดชื่นชม
ควรบอกว่าลาไปจะไม่กลับ
ความเข็ญคับคล้ายจะคืนคลายขื่นขม
ไม่ปล่อยใจให้เหงาเศร้าระทม
ที่จะตรมก็ตรอมอยู่เพียงครู่เดียว ๚ ๛
14 กรกฎาคม 2545 10:29 น.
วฤก
๏ เป็นลมร้อนกร่อนเผาความเขลาขลาด
ผิดพลั้งพลาดแผดผินให้สิ้นสูญ
ใช่ร้อนเร่าเผาไหม้เหมือนใส่กูณฑ์
ร้อนเพียงสูรย์ส่องฟ้าคราอรุณ
เป็นลมฝนบนฟ้าพาเมฆคุ้ม
โปรยชื้นชุ่มฉ่ำน้ำนำเกื้อหนุน
แปลงระแหงแห้งระโหยโดยพิรุณ
เป็นดินอุ่นโอบไพรให้งอกงาม
เป็นลมหนาวคราวพัดสะบัดผ่าน
ร้อนรำคาญเคืองเข็ญลำเค็ญขาม
เยือกเย็นจิตสถิตสุขอยู่ทุกยาม
เพราะลมตามล้างร้อนให้ผ่อนพลัน
เป็นลมใดไฉนหนอจะพอจิต
เพราะชีวิตวกเวียนแปรเปลี่ยนผัน
บ้างก็ร้อนก่อนแล้งดั่งแกล้งกัน
เป็นหนาวสั่นแสบสะท้านรำคาญใจ
จึงเป็นเพียงเสียงบ่นคนวาดหวัง
อยากได้ดั่งดวงจิตคิดขานไข
ทุกข์ปะทะจะละเลี่ยงบ่ายเบี่ยงไป
จึงอาศัยสายลมบ่นขรมมา ๚ ๛
13 กรกฎาคม 2545 22:02 น.
วฤก
กลอนเจ็ด
๏ กรองคำฉ่ำความงามวิจิตร
ลิขิตเขียนกานท์ชาญอักษร
ดุจสร้อยร้อยสานขับขานกลอน
เชิงซ้อนซ่อนลายพริ้งพรายเพรา
เป็นศรีสืบสรรค์บรรณสาร
เป็นงานจำหลักสลักเสลา
เป็นกอก่อสร้างมิสร่างเซา
เป็นเงาเงื่อนชัดวัฒนา ๚
โคลงสี่สุภาพ
๏ มีโคลงมาแต่เบื้อง.............โบราณ
กล่อมเหล่าเราลูกหลาน.........รับรู้
จึงควรจักสืบสาน...................เสริมส่ง
คงอยู่ชูเชิดกู้.........................กอปรไว้ไม่สูญ ๚
อินทรวิเชียรฉันท์ ๑๑
๏ แลฉันทะฉันทา..................อุปมาผกาพูน
เพิ่มศรีทวีคูณ........................ศุภศิลป์มิสิ้นเซา ๚
๏ ควรกล่อมถนอมก่อ.............มิระย่อและหย่อนเฉา
ฉันท์เสียงเจรียงเพรา.............พิเราะพริ้งมิจริงฤๅ ๚
ฉบัง ๑๖
๏ คำกาพย์ซาบซึ้งจึงถือ...........................ว่านี่นี้คือ
สังคีตดีดสีมณีความ ๚
๏ กล่อมห้วงสรวงสวรรค์กลั่นงาม..............ชวนพิศติดตาม
แต่นั่งฟังแล้วแผ้วใจ ๚
กลอนดอกสร้อย
๏ สร้อยเอ๋ยสร้อยคำ...................................คือลำนำเนื่องร้อยถ้อยคำไข
คนโบราณสานสร้างอย่างวิไล......................แล้วสืบให้ลูกหลานขับขานฟัง
คำวิจิตรลิขิตมาแต่คราก่อน........................อย่าให้กร่อนเก่ากลืนคืนความหลัง
จงสืบต่อยอไว้ให้ยืนยัง...............................ให้เป็นดั่งทรัพย์แผ่นดินมิสิ้นเอย ๚ ๛
13 กรกฎาคม 2545 20:37 น.
วฤก
๏ ไหวระริกพลิกปลิวผล็อยลิ่วร่วง
ใบไม้ควงเคว้งคว้างกลางลมฝน
ชโลมไล้ใบชื้นฉ่ำชื่นชล
ไฉนหล่นลงตมก่อนจมดิน
เคยอยู่ยอดทอดตนบนท้องฟ้า
เคยมีค่าคนจ้องปองถวิล
ฤๅว่ากรรมตำถั่งจนพังภินท์
ให้สูญสิ้นศักดิ์ศรีแต่นี้ไป
เป็นใบไม้ในป่ามีค่านัก
เคยปกปักป้องเขาลำเนาไศล
เคยทอร่มห่มดินเป็นถิ่นไพร
ไม่มีใครรู้ค่าอย่ารำพึง
ที่อยู่ยอดทอดตนบนท้องฟ้า
ร่วงลงมาใครจะตรึกระลึกถึง
อย่าโทษเวรเข่นกระทำหรือกรรมดึง
จงรู้ซึ้งว่าจะช้ำก่อนทำลาย
ไหวระริกพลิกปลิวผล็อยลิ่วหล่น
ลงเปื้อนปนเปือกตมก่อนจมหาย
อย่าทวงคำทำคุณให้วุ่นวาย
เพราะต้องตาย อย่างไร้ค่า......กลางป่าไกล ๚ ๛
13 กรกฎาคม 2545 19:37 น.
วฤก
๏ อยากทักอยากถามโอ้ความคิด
ประสิทธิประสาทพลาดไฉน
ไม่อยู่ไม่ยังดังหลักชัย
เปลี่ยนไปเปลี่ยนแปลงจำแลงตน
เคยปั้นเคยปลูกรู้ถูกผิด
มาบิดมาเบือนเหมือนสับสน
ถูกลบถูกล้างห่างกมล
อับจนอับใจหรือไรกัน
อุดมการณ์อุดมเกินและเขินขาด
กระทำพลาดกระทำพลั้งดังหุนหัน
ไม่สะทกไม่สะท้านพลาดพาลพัน
จะรู้ทันจะรู้ทางได้อย่างไร
จึงทักจึงถามว่าความคิด
ประสิทธิประสาทพลาดไฉน
ที่เปลี่ยนที่แปลงมิแจ้งใจ
หรือใครหรือคนสับสนเอง ๚ ๛