23 กุมภาพันธ์ 2548 09:00 น.
วฤก
๏ เพ็ญมาฆะเมื่อโพ้น............เพรงกาล
กลางแจ่มแสงจันทร์ฉาน.......โชติกล้า
ในเวฬุวันสถาน...................ถ้วนหนึ่ง-
พันกับสองร้อยห้า-..............สิบหั้นเอหิสงฆ์ ฯ
๏ ล้อมวงฟังพุทธเจ้า............แจงธรรม
โอวาทปาติโมกข์นำ.............มนัสน้อม
นึกสร้างแต่ดีสำ-.................แดงสิ่ง
เว้นชั่วชะจิตพร้อม...............จักพ้นอบายผลาญ ฯ
๏ นับวารจนจวบเบื้อง..........ปัจจุบัน
เห็นเหตุอัศจรรย์.................จึ่งอ้าง
เอามาฆะครบวัน.................วารขวบ
คือฤกษ์ควรเร่งล้าง..............กิเลสล้อมฤทัยหมอง ฯ
๏ ประคองเทียนธูปไหว้........เวียนขวา
ใช่ดุ่มเดินบูชา...................เฉกนั้น
ปาติโมกข์กถา...................ธรรมบท
กำหนดเทอญเถิดกั้น...........กีดพ้นอกุศล ๚ ๛
๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๘
15 กุมภาพันธ์ 2548 11:01 น.
วฤก
๏ ความรักอาจเร่าร้อน.............ราวไฟ
ลามแผดลวกเผาใจ................จักเพี้ยน
หมายครอบมุ่งครองไฉน..........นั้นสิ่ง...........ควรฤๅ
รักผิดหวังดังเสี้ยน..................เสียดเนื้อสักหนัง ฯ
๏ คนขังคอยกักกั้น................กรอบกรง
ฤๅเก็บความรักคง..................ข่มได้
ผลรักจากใจหลง...................ล้อหลอก.........เล่นแฮ
เร้นห่างหากกระหายใกล้..........กลับแกล้งตะกายหนี ฯ
๏ รดีเรียมสมัครแม้น..............สมานมาน
เสมือนหนึ่งเนาประสาน..........ประสิทธิสร้าง
ขังใจใช่ใครหาญ..................คิดหัก
คราวห่างกันกลับว้าง..............หวั่นให้ใจหาย ฯ
๏ ไม่วายรักโชติเชื้อ..............โชนไฟ
อาบอุ่นละมุนละไม................ละม่อมล้อม
แม่ครอบมุ่งครองไฉน............สนองตอบ
เสนอแต่น้องเรียมพร้อม.........ผูกไว้ให้ขัง ๚ะ
๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๘
1 กุมภาพันธ์ 2548 13:14 น.
วฤก
๏ สายหมอกสีหม่นคล้าย..........ม่านควัน
ม้วนคลี่คลุมตะวัน...................ว่ายฟ้า
เฟือนแสงแดดเฉิดฉัน...........ฉายส่อง
ฉานเสื่อมสิ้นแรงล้า................หรี่ลี้รังสี ฯ
๏ ธุลีทะลักท้น.........................ท่วมเมือง
ศีลสัตย์เสียบรรเทือง..............ท่าวทิ้ง
ทุรชนทุกคนเคือง...................ขันแข่ง
เข้าแก่งกุมกรุงกลิ้ง-................กลอกแกล้งกีดกัน ฯ
๏ โทษทันทุ่มสู่ผู้.....................แผกพักตร์
เผยผิดเพิ่มฤๅพัก..................ผ่อนพ้น
ใครไหนไป่ใช่พรรค-.............พวกแห่ง...........ตนเฮย
ต้องหักให้โค่นค้น...................ขุดข้อขัดเสียง ฯ
๏ หมายเพียงมือเพื่อเอื้อ..........โอ่ตน
อำนาจเอาเหนือฉล..................ฉกฉ้อ
คดีเก่าเดินกล.........................ด้วยกฎ
การณ์ใหม่ใครพลั้งข้อ..............เข่นได้ให้ฟัน ฯ
๏ ม่านควันหมอกขุ่นคลุ้ง...........คลุมนคร
ศีลสัตย์เสื่อมศรีถอน................ทอดไว้
ผู้แทนบ่แทนกร.......................กอปรกิจ.............ประชาพ่อ
ประชันแต่กิจกูใกล้...................แก่งยื้อแย่งโกง ๚ะ
๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๘
10 พฤศจิกายน 2547 09:54 น.
วฤก
๏ เหลียว...มองไปทั่วท้อง.................ถิ่นไทย
หลัง..........สี่ปีบรรลัย........................ล่มมล้าง
แล...........หาจริยาไฉน....................หนอขาด.......เขินเนอ
หน้า.........เหลี่ยมเล่ห์เหลี่ยมสร้าง......สับข้างดำขาว ฯ
๏ จากรากหญ้า...หย่อมพื้น...............เพียงดิน
สู่รากแก้ว..........โดยสิน...................สั่งได้
จากรากเน่า.......ไหนยิน..................ยังประโยชน์...ประชาเวย
สู่รากเหง้า..........งำไว้.......................หว่านล้อมเล็งผล ๚ะ
๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๔๗
27 ตุลาคม 2547 12:52 น.
วฤก
โคลงสี่สุภาพ
๏ ประพันธ์ประภาษพริ้ง..............พจนา
ไพสิฐศัพท์เรขา..........................ร่วมเคล้า
โคลงฉันท์กาพย์กลอนสา-............กัลย์สู่
กรรณเสพกานท์สื่อเร้า.................โสตรู้รสเกษม ฯ
๏ โลกกสานติ์กานท์กล่อมให้........หฤหรรษ์
หลายบทหลายแบบบรรณ.............เบิกพร้อม
ขานโคลงขับสำคัญ......................สังคีต
เสียงเอกเคล้าโทย้อม...................หยาดซึ้งทรวงสนาน ๚
สัททุลวิกกีฬิตฉันท์ ๑๙
๏ น้อมฟังฉันท์วทะพรรณนานยะประการ
กล่อมโสตสดับมาน................................................นิยม ฯ
๏ ยามพากย์บทครุพจนาลหุผสม
ศัพท์เสียงผสานลม................................................ละมุน ฯ
๏ ร้อยเรียงความพิเราะตามระเบียบระบิมนุญ
เนื่องแต่บุราณสุน-.................................................ทรีย์ ฯ
๏ เลอแล้วฉันท์วทะพรรณนานยะทวี
วาดวรรณศิลป์ศรี..................................................นคร ๚
ฉบัง ๑๖
๏ น้อมคำจำหลักอักษร................................เอาเสียงเรียงตอน
ร้อยต่อตามหลักวรรคกานท์ ฯ
๏ วาดกาพย์ซาบซึ้งตรึงมาน.......................ตรงแม้นเมื่อขาน
เหมือนขับซอเคล้าเสียงคลอ ฯ
๏ สวมคำล้ำความงามพอ...........................เหง้าเพชรเก็จยอ
กุมยอดมกุฎร้อยกรอง ฯ
๏ ร้องกล่อมร่วมกับเหล่าผอง .....................เลอพจน์บทครอง
แบบเค้าเพราแก้วแพรวกานท์ ๚
กลอนสุภาพ
๏ เกริ่นเพลงกานท์ขานกลอนเว้าวอนแก้ว
อย่าละแล้วเลยรักษ์จำหลักสาร
ซึ่งปู่สร้างวางเหง้าแต่เบาราณ
ให้ขับขานคุณค่าภาษาไทย
ร่วมรังสรรค์วรรณศิลป์ตราบสิ้นฟ้า
สืบประภาเพียงแก้วก่องแววใส
จะเรียงถ้อยร้อยกรองทำนองใด
ล้วนต่อไว้วรรณศิลป์แผ่นดินเรา ๚ะ
๒๗ ตุลาคม ๒๕๔๗