16 มกราคม 2546 21:51 น.
วรรณกาญจน์
ครูคนแรกของพวกเราทุกคนคงไม่พ้นบิดา มารดา ผู้ที่ทั้งสอน "สั่ง" ทั้งปลูกฝังนิสัยตั้งแต่เรายังไม่รู้ภาษาพูดภาษาเขียนด้วยซ้ำ
ท่านเป็นแม่พิมพ์ พฤติกรรม นิสัย แนวความคิดหลายๆอย่าง เรียกว่าเป็นรากฐาน ในการเรียนรู้ของตัวเราในปัจจุบันนี้ และ ที่สำคัญ เราไม่ต้องลงทะเบียนเรียนกับครูสองท่านนี้เลย ท่านเสียอีกต้องลงทุนกับเรา เป็นครูที่มีแต่การให้จริงๆค่ะ
แน่นอนบางคนครูสองท่านนี้อาจไม่สอนอะไร เพียงแต่ทิ้งการบ้านไว้ให้
( การบ้านในการเรียนรู้โลกด้วยตนเอง ) แล้าท่านก็จากเราไป
ด้วยเหตุผลต่างๆ กัน... เชื่อเถอะว่า บิดามารดาที่จากเราไปนั้น ย่อมมีหตุผล "ส่วนตัว" ด้วยกันทั้งนั้น ขอเหล่าศิษย์ (บุตร ) อย่าได้น้อยเนื้อต่ำใจ
ในชะตาชีวิตของตนเองกันเลย ต่างคนต่างชะตา ต่างบทเรียน ต่างบททดสอบ โรงเรียนโลกนี้ไม่ลำเอียงการวัดผลแน่ ทำอย่างไร ได้อย่างนั้น
มี "กรรม" มาจัดการวัดผล มีเกณฑ์ชี้วัด ซึ่งมีมาตรฐานถึง สามโลก ( ยิ่งกว่า ISO ทุก version อีก )
ครูคนที่สอง (หรือกลุ่มที่สอง ) คือผู้ที่มีวิชาชีพครู ผู้ที่มีบทบาทหน้าที่เป็นครู ตามกฎ ระเบียบของสังคม (คราวนี้ล่ะค่ะ ต้องลงทะเบียนเรียนแล้ว)
เราต้องไปเรียนกับท่านในโรงเรียน ในสถานศึกษา ซึ่งมีกฎระเบียบ ของแต่ละสถาบันต่างกันออกไป แต่ความคิดรวบยอดคงไม่พ้น สอน นักเรียน นักศึกษาทุกคน ให้มีความรู้คู่คุณธรรม วันครูเกิดขึ้น เพื่อรำลึกพระคุณครูกลุ่มนี้ล่ะค่ะ
แต่..จุดประสงค์ของดิฉัน คืออยากนำเสนอ "ครูบังเอิญ" มั่นใจเต็มร้อยว่า ทุกคนต้องมี อาจมีเยอะกว่าครูที่สอนในสถานศึกษาด้วยซ้ำ ใครน่ะหรือคะ? ก็บรรดา พี่ น้อง ญาติ เพื่อน คู่ชีวิต หัวหน้า ลูกน้อง หรือ แม้กระทั่ง ศัตรู! ... ใช่ค่ะ ดิฉันกำลังหยิบมุมมอง ให้เห็นว่า ทุกคนคือครู โลก (หรือนอกโลกด้วยก็ได้ค่ะ ) เป็นโรงเรียน ไม่แน่นะคะ บางครั้งบางคน อาจถูกยกย่องว่าเป็นครูของอีกคนโดยไม่รู้ตัว ในขณะเดียวกัน คนที่เราเคียดแค้น ชิงชัง สาปแช่ง คนที่เรารู้สึกว่าให้ร้ายเรา ทำให้เราทุกข์กายทุกข์ใจ หารู้ไม่วานั่นเขาได้สอน ได้ให้ประสบการณ์เราแล้ว ถ้าไม่มีใครมาทำให้เราเกิดอารมณ์ด้านลบบ้าง เราจะไม่รู้ข้อบกพร่องของตัวเองเลย
ฉะนั้น เมื่อคิดได้ หลังจากสติกลับมา จงหัวเราะเถิดค่ะ แล้วขอบคุณคนเหล่านั้น ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต
ขอบคุณบุคคลที่ตบหน้าเรา ให้เท่า กับบุคคลที่ลูบศีรษะเรา ( ซึ่งบางทีอาจเป็นคนๆ เดียวกัน)
ดังนั้นวันครู ก็เป็นอีกวันหนึ่ง ที่ดิฉันจะระลึกบุญคุณ ของทุกชีวิต ที่ดิฉันพานพบ และทำให้ดิฉัน เป็นดิฉันอย่างทุกวันนี้
9 กันยายน 2545 22:37 น.
วรรณกาญจน์
วันเกิดของฉันทุกปีก็เช่นกันต้องมีการทำบุญตักบาตร ทำเหมือนเป็นประเพณีวันเกิดประจำครอบครัว ถ้าถามฉันตอนเด็กๆว่า ทำไมต้องตักบาตรตอนวันเกิด ฉันก็คงตอบว่า เพราะ พ่อ แม่ ให้ทำ เด็กดีต้องเชื่อฟังพ่อแม่
แต่วันหนึ่งเมื่อฉันโตขึ้น คงโตพอ หรือ ถึงวาระที่จะถามพ่อกับแม่ว่า ทำไมต้องทำบุญตักบาตรวันเกิด พ่อกับ แม่ก็บอกว่า ก็ไม่ได้บังคับอะไรนี่ สะดวกตักวันไหนก็ตัก ไม่สะดวกก็ไม่ต้องตัก ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าจะเป็นวันเกิดหรือเปล่า.....อ้าว!
แต่จริงๆ แล้วท่านบอกว่า ที่พ่อแม่สอนให้ตักบาตรวันเกิดทุกปีนั้น เหมือนเป็นกุศโลบายว่า เราเติบโตขึ้นอีก 1 ปี อยากให้เริ่มต้นสิ่งใหม่ๆด้วยการเพิ่มสิ่ง ดีๆ เพิ่มศิริมงคลให้ชีวิต
ใช้ใน 1 ปีที่ผ่านไปย่อมต้องมีสิ่งใหม่ๆ เกิดขึ้น อย่างน้อยในปีที่ฉันถามพ่อ กับ แม่ว่า "ทำไม่ต้องตักบาตรวันเกิด" ก็ถือ เป็นสิ่งใหม่ ในชีวิต ที่ปีผ่านๆมาฉันไม่ได้ทำ ฉันเลยนึกสนุกขึ้นมาว่า ปีต่อๆไป ในวันเกิดฉันจะเปลี่ยนแปลงไป อย่างไรอีก ที่พอจะจำได้ถึงการเปลี่ยนแปลงสำคัญๆ คือ มีอยู่ปีหนึ่งฉันตัอสินใจ เป็น " นักมังสวิรัติ" และก็เป็นมาจนทุกวันนี้ และแน่นอนอย่างน้อยๆ ในวันเกิดทุกๆปี ที่ดูเหมือนไม่มีอะไร ฉันก็ยังคงตักบาตรด้วยความเคยชิน โดยลืมไปแล้วว่า ตักเพราะอะไร
จนกระทั่งวันหนึ่ง ใน class วิชา ปรัชญาจริยะ อาจารย์ตั้งกระทู้ว่า
"พุทธศาสนิกชน พึงทำบุญตักบาตรด้วยด้วยเหตุใด"
ฉันนึกในใจ ...เพื่อสิริมงคลในชีวิต....แบบที่เราตักในวันเกิดจะถูกมั้ยน้อ..
นศ. ช่วยกันตอบ ...มีบางคนตอบว่า เพื่อบำรุงเลี้ยงพระสงฆ์ ผู้สืบทอดพระพุทธศาสนา...อืม!...ก็เข้าท่า (ฉันคิด)
อาจารย์บอกว่า ที่ตอบมาก็ไม่ใช่ว่าจะผิด แต่แก่นของการทำบุญตักบาตร คือการรู้จักให้ "ให้โดยไม่มีข้อแม้" ฉันกับเพื่อนเงียบ ฟังอาจารย์พูดต่อ
"โดยปกติเวลาเราทำบุญตักบาตร เรามักจะอธิษฐานขอ...ขอให้เกิดแต่สิ่งดีๆในชีวิต พระก็เช่นกัน เมื่อโยมมาทำบุญตักบาตร ก็จะให้ศีลให้พรกัน เป็นประเพณี สืบทอดกันมายาวนาน ทำบุญตักบาตร จึงเหมือนเป็นการ แลก ซะมากกว่า การ "ให้"
ฉันฟังด้วยความรู้สึกหลากหลายมาก "ให้โดยไม่มีข้อแม้"
จาก class ในวันนั้น ฉันรู้สึกว่าได้เกิดสิ่งใหม่ๆ ในชีวิต และความคิดขี้น (ถึงแม้จะไม่เกิดตรงกับวันเกิดก็ตาม) ชีวิตของคนเราทุกวันนี้ มีแต่ "แลก" กันจริงๆ โดยมีเงินเป็นตัวกลาง.... แลก ค่าเดินทาง ค่าน้ำมันรถ ค่าที่พัก ค่าอาหาร ค่ายา ค่าเล่าเรียน ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ค่าinternet .....
ก่อนที่ฉันจะหลงพัวพันไปกับการมีชีวิตเพื่อการ แลก มากไปกว่านี้ ฉันต้องทำอะไรซักอย่าง
และฉันก็ได้ฤกษ์ ในวันเกิดของฉันปีนี้ แน่นอนฉันยังคงตักบาตรในตอนเช้า ( จริงๆ แล้วไปถวายที่วัดค่ะ... เนื่องจากตื่นไม่ทันพระ..) ส่วนในตอนกลางวัน ฉันกับครอบครัว ตกลงกันว่าจะไปเลี้ยงอาหาร หญิงพิการตาบอด
ฉันได้ตักข้าว ตักอาหาร จัดผลไม้และขนม ตักไอศครีม และเดินบริการพวกเขา ด้วยตัวฉันเอง ....
ฉันไม่รู้จักพวกเขา ไม่รู้จักชื่อ ไม่รู้ว่าทำไมพวกเขามาอยู่ที่นี่ ทำไมพวกเขาถึงตาบอด และรวมถึง ไม่รู้หรอกว่าเขารู้สึกอย่างไรกับฉัน....ไม่รู้ และ ไม่ต้องการรู้
ถึงตอนนี้โปรดอย่าถาม ว่าฉันทำเพื่ออะไร...
อย่าถามว่าฉันรู้สึกอย่างไร...
ถ้าเธอต้องการคำตอบ ต้องทำเอง ...เพราะของแบบนี้มันเป็น..ปัจจัตตังค่ะ