17 ตุลาคม 2550 15:26 น.
วชรกานท์
เศรษฐีทอง เป็นที่รู้กันทั่วไปว่าแกร่ำรวยที่สุดในเมืองนี้
ทั้งเรือกสวนไร่นา ช้าง ม้า วัว ควาย มากมายด้วยข้าทาสบริวาร
แกมีลูกชายสองคนวัยใกล้เคียงกัน ประมาร 13 และ 14 ปี
คนพี่ชื่อสันดาน ส่วนคนน้องชื่อ ปัญญา
ฟังดูชื่อแล้วก้พอเดาไดว่าท่านเศรษฐี น่าจะมีความลำเอียง
หรือรักลูกไม่เท่ากัน ไฉนเลยอย่าเพิ่งเดาไปแอบฟังโดยตรงจากท่านดีกว่า
ณ บ้านเศรษฐีทอง
วันนี้ฝนตก ทำให้สัตว์เล็กสัตว์น้อยต่าออกมาเล่นน้ำฝนส่งเสียงร้องอย่างบันเทิงเริงใจ
เมื่อได้ยินเสียงห่านร้อง ปัญญาลูกสุดท้องจึงเอ่ยขึ้นว่า
ห่านมันคอยาว มันจึงร้องเสียงดัง จริงไหมพ่อ
ใช่แล้วลูก ช่างฉลาดจริงๆ ตาทองชม
เจ้าสันดานได้ฟังจึงค้านว่า อึ่งอ่างเห็นคอสั้นนิดเดียว เห็นมันก็ร้องเสียงดัง
มันผิดกันไอ้สันดานเอ้ย ตาทองกล่าวสำทับ
เช้าวันไหม้ จณะทั้งสามนั่งอย่างสบายใจ ปัญญาจึงเอ่ยขึ้นว่า
พ่อ หน่อหญ้าคามันแหลมจึงแทงดินทะลุขึ้นมา ใช่ไหมพ่อ
ใช่แล้วลูก เจ้าช่างฉลาดจริงๆ ตาทองชม
สันดานจึงแย้งว่า เห็ดทั้งอ่อนและป้านมู่ทู่ ก็แทงดินทะลุขึ้นมาได้
มันผิดกันไอ้สันดานเอ้ย ตาทองกล่าวสำทับตามเคย
วันหนึ่งตาทองพาลูกทั้งสองไปในทุ่งนาอันกว้างใหญ่
ปัญญาเห็นที่สองแปลง โดยแปลงแรกข้าวขึ้นอุดมสมบูรณ์
ส่วนอีกแปลงไม่ต้นข้าวและหญ้าแม้แต่น้อย จึงเอ่ยขึ้นว่า
ที่ตรงนี้น้ำคงสมบูรณ์ข้าวจึง เจริญงอกงาม ส่วนตรงนั้นคง
ขาดน้ำข้าวและหญ้าจึงตายหมด ใช่ไหมพ่อ
ใช่แล้วลูก เจ้าช่างฉลาดจริงๆ ตาทองชมพร้อมกอดลูกลูบไล้อย่างถนอม
หัวพ่อเห็นน้ำทุกวัน แตไม่เห็นผมมาซักเส้น ล้านเหมือนเดิม สันดานกล่าว
มันผิดกันไอ้สันดานเอ้ย ตาทองตวาดพร้อมหาไม้ไล่ตีทั่วทุ่ง
15 ตุลาคม 2550 14:56 น.
วชรกานท์
ดำและแดงเป็นเพื่อนรักกันตั้งแต่วัยหนุ่ม เมื่อทั้งสองแต่งงานต่างแยกไปตั้งรกรากในถิ่นฐานตามอาชีพที่ตนเองถนัด
ดำชอบการทำไร่ทำสวนและถนัดทางล่าสัตว์ จึงพาครอบครัวไปหักร้างถางพง ทำไร่ทำสวนบริเวณเชิงเขาเป็นอาชีพหลัก และเข้าป่าล่าสัตว์เป็นอาขีพรองสองผัวเมียทำมาหากินแบบพออยู่พอกิน ที่เหลือกินเหลือใช้ จึงนำไปขายบ้างเพื่อแลกซื้อหาเครื่องอุปโภคบริโภคอันเป็นปัจจัยสี่เท่าที่จำเป็น
ส่วนแดงชอบหาหอยปูปลา และถนัดทางการประมง จึงพาภรรยาไปสร้างหลักปักฐานที่ชายทะเล เมื่อจับปลาได้มามากๆ เขาเลือกปลาที่ตัวใหญ่ๆ นำไปขายในเมืองเพื่อแลกข้าวสารอาหารแห้งมาเลี้ยงครอบครัว รวมทั้งเครื่องนุ่งห่ม ตลอดจนเครื่องใช้จิปาถะ และเก็บไว้กินพอมื้อๆ เวลาว่างภรรยาของเขาจะนำเศษกุ้งเล็กๆ มาเช(ตำ) ทำเคย(กะปิ) นำเศษปลามาทำเป็นปลาแห้งบ้าง ทำน้ำบูดู(น้ำปลาชนิดหนึ่งของภาคใต้)บ้าง และนำปูแสมตัวเล็กๆ มาดองเค็มทำเปี้ยว(ปูใส่เค็ม) ทั้งสองครองคู่อยู่กันแบบพอเพียง พออยู่พอกินเช่นกัน
วันหนึ่งแดงคิดถึงเพื่อน จึงเดินทางไปเยี่ยมบ้านดำ โดยไม่ลืมของฝากจากชาวเล(คนที่อาศัยทำมาหากินกับทะเล) เช่นปลาแห้ง ปูเปี้ยว และเคย ทั้งสองดีใจมากที่ได้เจอกันอีกครั้ง ต่างเล่าสารทุกข์สุขดิบและความเป็นอยู่ที่แตกต่างกันสู่กันฟัง
ดำได้แนะนำให้แดงให้รู้จักสัตว์ต่างๆ ที่เขาจับมาขังกรงไว้ รอการนำไปขาย ตลอดจนเขี้ยว เขา และหนังสัตว์ที่เขาล่าสะสมไว้
แดงตื่นเต้นกับสัตว์แปลกๆ ซึ่งเขายังไม่เคยเห็น แดงชอบสัตว์ชนิดหนึ่ง คือ มุดสัง(ชะมด) เขาจึงเอ่ยปากขอเพื่อนรัก ดำยกด้วยความเต็มใจ ก่อนที่แดงจะลาเพื่อนกลับพร้อมกับมุดสัง เขาไม่ลืมถามถึงอาหารและวิธีเลี้ยงกับดำว่า
มันกินอะไรเป็นอาหารและเลี้ยงอย่างไร
ดำบอกเพื่อนเชิงล้อเล่นว่า กินขี้ไก่ ทั้งๆ ที่ชะมดพันธุ์นี้กินไก่เป็นอาหาร
แดงดีใจมากที่ได้สัตว์น่ารักแถมเลี้ยงง่าย อีกทั้งบ้านเขาเลี้ยงไก่ไว้หลายตัว และมูลไก่มีเหลือเฟือ เมื่อเขามาถึงบ้านได้มอบมุดสังและบอกวิธีเลี้ยงแก่ภรรยา เธอดีใจมาก เพราะมันทั้งน่ารักและเพื่อนยังบอกว่าเลี้ยงง่ายอีก
พอตกกลางคืน ทั้งสองจึงตกลงกันว่านำมันไปขังรวมกับไก่ในเล้า เพื่อให้มันหาขี้ไก่กินตามสะดวก
รุ่งเช้าขึ้นมาทั้งสองไปดูไก่ในเล้า ปรากฏว่าขี้ไก่ยังเท่าเดิม แต่ไก่หายไปหลายตัว จึงรู้ว่าเพื่อนเรา (เผาเรือน) แกล้งเราเป็นแน่แท้แต่เขาทั้งสองมิได้ผูกใจเจ็บ แค่คิดว่ารอให้ถึงเวลา จึงแก้เผ็ด
ปีต่อมาโชคเข้าข้างแดง เพราะดำและภรรยาได้เดินทางมาเยี่ยมบ้านของแดง โดยไม่ลืมของฝากจากบ้านไร่ปลายนา เช่น ผลไม้ ข้าวสาร และเนื้อสัตว์ตากแห้ง เจ้าบ้านทั้งสองปิดปากเงียบเรื่องมุดสังกินไก่ (นกลืมแร้ว) และคิดหาทางแก้เผ็ดไว้เสร็จ (แร้วไม่ลืมนก)โดยจับทั้งปูดำ หอย และปลาปักเป้ามาขังไว้ เผื่อว่าดำชอบสัตว์ชนิดใดจะได้ให้เพื่อนไปเลี้ยง
จริงดังแดงคาดไว้มิผิด ก่อนที่ดำและภรรยาลากลับดำได้ขอปูดำและถามว่า มันเรียกชื่อว่าอะไรและกินอะไรเป็นอาหาร
มันเรียกว่าควายทะเล มันกินปัสสาวะเป็นอาหาร แดงตอบ
แขกทั้งสองดีใจมากที่ได้สัตว์ที่สวยแปลกและเลี้ยงง่าย จึงลากลับ
เมื่อทั้งคู่กลับมาถึงบ้าน ภรรยาจึงเอากะละมังมาขังควายทะเลเอาไว้ ตกดึกภรรยาของดำ ปวดฉี่จึงนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้ให้อาหารควายทะเล จึงจัดการนั่งปัสสาวะในกะละมัง
ด้วยธรรมชาติของปู มันจึงหนีบติดขาของภรรยาดำเจ็บปวดร้องลั่นเรียกให้ดำมาช่วยดึงออก พอดำจับปูดึงมันก็หนีบมือดำอีกก้าม ทั้งสองทนเจ็บให้ปูหนีบติดเพราะยิ่งขยับยิ่งเจ็บกว่าเดิม ทั้งสองรอจนปูคลายออกเองใช้เวลาหลายชั่วโมง ทั้งสองจึงนึกขึ้นได้ว่า โดนเพื่อนแก้เผ็ดเข้าให้แล้ว
อย่างไรก็จาม ทั้งสองครอบครัว หาได้แค้นเคืองกันไม่ แค่ หนามยอกเอาหนามบ่ง ต่างกับปัจจุบันแค่ความคิดแตกต่างกันคิดว่าเป็นศรัตรูกันแล้ว
8 ตุลาคม 2550 16:02 น.
วชรกานท์
ชีวิตผ่านกาลเวลาล่วงมา 70 ปี หลีฮอง จีนชราซึ่งปัจจุบันเป็นเถ้าแก่เจ้าของห้างสรรพสินค้าชื่อดังหลายสาขา
เขาได้มอบภาระกิจให้ลูกหลานทำกิจการแทน ส่วนเขายังอยู่ประจำที่ร้านโชห่วยซึ่งเขาสร้างมาด้วยน้ำพักน้ำแรงเมื่อ 20 ปีก่อน
เขานั่งรำลึกนึกถึงชีวิตในวัยหนุ่มที่ต้องหอบเสื่อผืนหมอนใบ ไม่ใช่ซิ มีสิ่งที่จำเป็นในการดำรงชีวิตบ้างเล็กน้อย และสิ่งที่ หลีฮอง ภูมิใจมากที่สุด คือ เขาได้นำเมล็ดพันธุ์อันทรงคุณค่าทั้งเมล็ดพันธุ์ทางความรู้ความคิด ประสบการณ์และพันธุ์ผักอันหลากหลายชนิดมาจากเมืองจีน
วันหนึ่งขณะที่เขานั่งอยู่หลังร้านเพื่อช่วยสอดส่องมองดูลูกค้าอยู่นั้น พลันสายตาเหลือบไปเห็นชายคนหนึ่งแต่งกายด้วยเสื้อผ้าเก่าๆ เดินเข้ามาซื้อของในร้าน ความทรงจำในอดีต ได้หวลรำลึกขึ้นมากระชากให้เขาพาร่างกายพร้อมไม้เท้า เดินเข้าหาชายผู้นั้นด้วยความดีใจอย่างสุดซึ้ง "
ทิดมี" หลีฮองเรียกชื่อชายผู้เป็นลูกค้าอย่างชัดเจน ทำให้คทาชายที่ชื่อ มี หันไปตามเสียงนั้นอย่างงง ๆ พินิจพิศดู จีนชราเจ้าของเสียง คลับคล้ายคลับคลาว่า เคยเห็นที่ไหนมาก่อน ขณะที่ทิดมียืนจ้องมองด้วยความงงงันอยู่นั้น หลีฮองเจ้าของร้านเข้ามาจับมือ แล้วถามว่า "จำฮั้วไม่ได้แล้วหรือ เมื่อ 30 ปีก่อนเราเคยอยู่และทำงานร่วมกันนะ"
ทิดมีร้องอํอพร้อมอุทาน "หลีฮอง!" ก่อนที่จะสาธยายความหลังให้มากความ หลีฮองจูงมือ ทิดมีเข้าหลังร้านและสั่งให้ลูกจ้างคอยดูแลร้าน
ณ หลังร้านโชห่วยของหลีฮอง ทันทีที่เชิญทิดมีนั่ง เขาสั่งให้คนใช้เสิร์ฟน้ำชาอย่างดี พร้อมกับสั่งเมนูอาหารเลิศรสที่ทำจากเนื้อหมูทุกชนิด โดยทั้งสองนั่งถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกันอย่างถูกคอ
ไม่กี่นาที่ผ่านไปอาหารอันโอชะ ได้ถูกวางบนโต๊ะหรู ก่อนที่ทั้งสองจะลงมือรับประทาน หลีฮองเอ่ยขึ้นว่า "บัดนี้ฮั้วกินหมูแล้ว"
แม้เป็นคำพูดสั้นๆ แต่ทิ่มแทงในใจทิดมีดุจโดนเสียบแทงด้วยมีดปลายแหลมเข้าตรงหัวใจ ทิดมีวางช้อน และหยิบแก้วน้ำขึ้นมาดื่มแก้ฝืดคอ และนึกย้อนความหลังเมื่อ 30 ปีก่อน
ทิดมีเคยเป็นเจ้าของที่ดินว่างเปล่าแถวชานกรุงเทพฯ ประมาณ 20ไร่ มีบ้านหลังเล็กๆ พอได้ซุกหัวนอน แต่เขากลับทำงานรับจ้างเป็นจับกังกับเถ้าแก่จีนไปวันๆ เพื่อหาเงินยาไส้
อยู่มาวันหนึ่งได้เจอกับจีนโพ้นทะเลคนหนึ่ง หอบของมาพรุงพรัง ด้วยที่เขาเคยเป็นจับกังกับเถ้าแก่จีนจึงพอพูดภาษาจีนได้บ้าง จึงถามไถ่ได้ความว่า หลีฮอง หลบหนีเข้าเมืองมาและไม่มีที่อยู่ที่ทำกิน ด้วยนิสัยคนไทยที่เต็มไปด้วยความเอื้ออาทร ทิดมีจึง ชวนเขาไปอยู่ด้วยกันหวังว่า จะพาไปสมัครงานกับเถ้าแก่ของตน
เมื่อทั้งสองมาถึงบ้าน ทิดมีจัดที่พักที่นอนให้เพื่อนชาวจีน อย่างเป็นสัดส่วน และนั่งคุยกันเพื่อวางแผนในการทำงาน แต่ความหวังของทิศมีผิดคาด เพราะแทนที่หลีฮองจะไปทำงานเป็นจับกังกับเขา หลีฮองกลับชวนเขาทำงานส่วนตัว โดยใช้ที่ดินที่มีอยู่ปลูกผักส่งเข้ากรุงเทพฯ
ทิดมีลังเลอยู่พักหนึ่ง หลีฮองได้อธิบายวิธีการปลูก และล้วงเมล็ดพันธุ์จากในเป้ ที่เขานำมาให้ทิดมีดู ทิศมีจึงบอกว่า "เอาก็เอา" เพราะอาชีพจับกังที่เขาทำก็พอเลี้ยงปากเลี้ยงท้องไปวันๆ ทั้งสองจึงตกลงเป็นหุ้นส่วน 50/50 "แต่ถ้าเราไม่ร่ำรวย สัญญาก่อนว่าเราจะไม่กินหมู หากใครผิดสัญญาเป็นอันเลิกหุ้นส่วนกัน" หลีฮองกล่าว ทิศมีตอบ "ตกลง"
ทั้งสองจึงเริ่มแผ้วถางที่ดินบางส่วน เพื่อยกร่องปลูกผักบุ้ง หลีฮองบอกเขาว่า ผักบุ้งให้ผลเร็วที่สุด สามารถนำมาเป็นทุนในการทำแปลงผักอื่นต่อไป นอกจากนั้นทั้งสองได้เก็บมูลถ่ายของเสียเพื่อหมักดองไว้ทำปุ๋ย ทุกครั้งที่หลีฮองนำผลผลิตไปขายที่ตลาด เขาได้ซื้อสิ่งของมาเท่าที่จำเป็น ในการดำรงชีวิต ส่วนเงินที่เหลือจะแบ่งเท่ากัน โดยต่างคนต่างเก็บ
กาลเวลาผ่านไป 10 ปี ทั้งสองทำงานอย่างขะมักเขม้น ขยายแปลงผักจนเต็มพื้นที่ 20 ไร่ โดยจ้างแรงงานมาแบ่งเบาในบางครั้ง
วันหนึ่งขณะที่หลีฮองกลับมาจากตลาด เขาได้กลิ่นหอมอะไรอย่างหนึ่งจนรู้สึกหิวและน้ำลายสอ เมื่อเขาขึ้นมาบนบ้าน พบว่าทิดมีกำลังผัดหมู กับผักดูน่าเอร็ดอร่อยยิ่งนัก หลีฮองไม่พูดอะไร ทั้งนั่งลงกินข้าวจนอิ่มหนำสำราญเสร็จ หลีฮองจึงกล่าวขึ้นว่า "ลื้อผิดสัญญา" "สัญญาอะไร" ทิดมีถาม "ถ้าเราไม่รวยเราจะไม่กินหมูไง" หลีฮองตอบ แต่ทิศมีแย้งว่า "ก็ตอนนี้เรารวยแล้วไง" "ยัง" หลีฮองตัดบท แล้วพูดต่อว่า "ถ้าอย่างนั้นเราแยกทางกันวันพรุ่งนี้"
20 ปี ผ่านไป ทั้งสองมาพบกัน ความแตกต่างในฐานะราวฟ้ากับดิน ทิดมีจึงเอ่ยถาม หลีฮองว่า "เป็นไงมาไงจึงได้มาเป็นเถ้าแก่อย่างนี้ละ" เขาจึงเริ่มเล่าอย่างตั้งใจว่า เมื่อเขาจากทิดมีมาในวันนั้น เขามีเงินติดตัวมา ประมาณ 500 บาท (500 บาทสมัยก่อนมากพอดู)
เขาได้เช่าพื้นที่หน้าร้าน เถ้าแก่ชาวจีนคนหนึ่งเนื้อที่ประมาณ 8 ตารางเมตร เพื่อตั้งรถเข็นขายก๋วยเตี๋ยว เมื่อเก็นเงินได้พอประมาณ จึงขอเช่าบ้านของเถ้าแก่คนเดิม เพื่อเปิดร้านขายของโชห่วย เมื่อเก็นเงินได้มากขึ้น ก็ขอเซ้งร้านหลังนี้และอยู่จนปัจจุบัน
จากนั้นได้ขยายกิจการด้วยการกู้เงินธนาคารบ้าง เงินสดบ้าง จนปัจจุบันมีห้างสรรพสินค้า 3 สาขา
หลีฮองเล่าเรื่องย่อๆ โดยไม่ลืมย้ำว่า "ตอนที่ฮั้วลำบาก ฮั้วถือสุภาษิตว่า ถ้าฮั้วไม่ร่ำรวยจะไม่กินหมูเด็ดขาด ซึ่งฮั้วกินมาประมาณ 10 ปีมานี้เอง" หลีฮองถามต่อว่า "แล้วท่านละ" ทิศมีเล่าอย่างอายๆ ว่า หลังจากแยกกับท่านแล้ว เพื่อนคนไทยคนหนึ่งเข้ามาร่วมลงทุนต่อ แต่ด้วยความขาดประสบการณ์ รวมทั้งการตลาด เราจึงขาดทุนและเลิกกิจการกลับไปทำงานรับจ้างต่อ ส่วนที่ดินนั้นได้ขายไปหมดแล้ว ให้เขาทำบ้านจัดสรร เหลือไว้เป็นที่ตั้งบ้าน แค่ห้องเดียว จากนั้นทิดมีจึงกล่าวลาเพื่อนหลีฮอง และทั้งสองไม่มีโอกาสพบเจอกันอีกเลย
3 ตุลาคม 2550 12:15 น.
วชรกานท์
ณ หมู่บ้านแห่งหนึ่งมีคนอาศัยอยู่ร่วมกันแบบชุมชนท้องถิ่นชนบท วัดโคกเป็นวัดประจำหมู่บ้าน มีเจ้าอาวาสชื่อ สมภารหนู ที่คนทั้งหมู่บ้านให้ความเคารพศรัทธาและเชื่อว่าหากท่านพูดสิ่งใดแล้วมักจะเป็นไปตามนั้น หรือบางคนเรียกว่า วาจาสิทธิ์ ไม่ว่าจะดูฤกษ์แต่งงาน ดูวันแรกนา ดูเคราะห์ ดูโชคลาง ฯลฯ ท่านสามารถเป็นที่พึ่งยามยากของคนชนบท นอกเหนือจากพิธีกรรมทางศาสนา และการเทศนาสั่งสอนกุลบุตรกุลธิดาให้อยู่ในขนบธรรมเนียม ประเพณีและจารีตแบบไทย
ในหมู่บ้านมีสามีภรรยาฐานะยากจนคู่หนึ่ง ซึ่งนายมาผู้เป็นสามีเป็นคนไม่เชื่อโชคลางหรือคำทำนาย แกได้เป็นผัวเมียกับนางสาโดยใช้วิวาห์เหาะ(หนีมาอยู่กินกันโดยไม่ต้องแต่งงาน)
ทั้งคู่มีอาชีพทำนา พอถึงวันและเดือนที่ฝนตกลงมาตามฤดูกาล แกก็เริ่มไถเริ่มดำโดยไม่ดูฤกษ์ดูวัน ถือเอาวันไหนสะดวก สบายเนื้อสบายกายแกก็แรกเอง ยิ่งเรื่องโชคเรื่องลางไม่ต้องพูดถึง แกบอกว่าชาวบ้านอย่างมงาย โชคลางเป็นเรื่องมงคลตื่นข่าว และไม่ใช่กิจของสงฆ์ ชาวบ้านต่างไม่ถือสาแก เพราะต่างก็รู้นิสัยนายมาดีว่าแกเป็นคนอย่างไร อีกทั้งนางสาผู้เป็นเมียก็มิได้ขัดใจ
ทั้งสองนอกจากทำนาเป็นอาชีพหลักแล้ว ยังต้องหาปลา และหาสัตว์พอได้ดำรงชีวิตแบบพอมีพอกิน แต่ไม่ค่อยพอเพียง ขอให้มีข้าวสารกรอกหม้อก็เพียงพอ ที่เหลือจากนั้นหากไม่มีอะไรมาเป็นเป็นสำรับกับข้าว ก็ใช้กะปิตำกับพริกขี้หนู กระเทียม และเติมมะนาวเล็กน้อยกลายเป็นน้ำชุบ(น้ำพริกปักษ์ใต้) จากนั้นก็หาผัก หญ้า หยวก ปลี (หยวกและปลีกล้วยน้ำว้า) เอามาต้มจิ้มน้ำพริก เป็นอาหารถูกปากรสเลิศ กินอิ่มนอนหลับ
บ่ายวันหนึ่ง นางสาเตรียมตั้งเส้า (ใช้หิน 3 ก้อน ตั้งขึ้นแทนเตา) หาฟืนก่อไฟหุงข้าว และทำอาหาร ส่วนนายมาได้แบกสุ่มออกไปหาปลา เพราะเล็งเห็นตามประสบการณ์ว่า ถ้าฝนตกโปรยๆ แล้วปลามักจะขึ้นมาหากินในท้องทุ่งที่มีน้ำเจิ่งนอง แกเดินย่องไปตามคันนา มองเห็นปลาช่อนตัวใหญ่ แกใช้สุ่มครอบและกดไว้แน่น
หลังจากครอบปลาไว้แล้วแกนึกในใจว่า น่าลองวิชาท่านสมภารหนูดูสักครั้งว่าที่ท่านทำนายทายทักชาวบ้านนั้น ท่านหลอกหรือว่าจริง คิดได้ดังนั้น ก็เดินไปวัดด้วยความสบายใจ
เมื่อไปถึงเห็นท่านสมภารนั่งอยู่ที่ใต้ร่มไม้ รายล้อมด้วยสัตว์เล็กสัตว์น้อยที่พลอยมาอาศัยข้าวก้นบาตร อาทิ แมว สุนัข และไก่แจ้ นายมาเดินเข้าไปหาพร้อมยกมือไหว้ พอเป็นพิธีแล้วเอ่ยถามท่านสมภารหนูว่า พระคุณท่านเย็นนี้ บ้านผมกินแกงอะไรครับ นายมาถามด้วยรู้คำตอบอยู่แล้วว่า จะต้องเป็นแกงปลาช่อนแน่นอน หากสมภารตอบว่าแกงอย่างอื่นแล้วจะตรงกับข้อสันนิษฐานของเขาว่าหมอดูคู่กับหมอเดา เหมือนกับว่าท่านสมภารรู้ความต้องการของนายมา จึงตอบไปว่า กินกับน้ำชุบ นายมากราบลาด้วยเสียงหัวเราะในลำคอ รวมทั้งความศรัทธาที่มีหลงเหลืออยู่บ้างได้มลายหายไปหมดสิ้นในครั้งนี้เอง
นายมาเดินมาที่สุ่ม หมายล้วงเอาปลาช่อนตัวโต บังเอิญเหลือบตาไปเห็นกระจงวิ่งผ่านมา จึงลืมเรื่องปลาช่อน เขายกสุ่มวิ่งไล่ครอบกระจง ผลปรากฏว่าคว้าน้ำเหลวปลาช่อนก็หนีไป และกระจงก็จับไม่ได้ เขาจึงแบกสุ่มกลับบ้าน
เมื่อมาถึงบ้านนางสาถามว่า ได้อะไรมากินบ้างละ นายมาไม่ตอบ นางสาจึงชวนผัวกินข้าว กับน้ำพริกที่นางตำเตรียมไว้ นายมานึกถึงคำที่ท่านสมภารหนูทำนายไว้เมื่อตอนบ่าย แกก็เลยเล่าเรื่องทั้งหมดให้นางสาฟัง นางสาจึงบ่นเบาๆ ว่า ไม่เชื่ออย่าลบหลู่