15 ตุลาคม 2550 17:30 น.
วชรกานท์
ตื่นแต่เช้ามีเจ้าคอยเป็นเพื่อน
ดูลางเลือนเงื่อนงำตามลำแสง
พอฉันทำสิ่งใดเจ้าแสดง
เหมือนคอยแกล้งล้อเลียนฉันมาพันพัว
ฉันจับซ้ายเจ้าจับขวาหน้ากระจก
ฉันหยิบยกเอาหวีเจ้าหวีหัว
ฉันลูบแป้งเจ้าก็ไล้ไปทั้งตัว
เจ้าไม่กลัวฉันเห็นเป็นเช่นไร
ตะวันลับเจ้าหายไปจากข้า
เจ้ากลับมายามมีแสงสว่างไสว
รุ่งอรุณเบิกฟ้ามารำไร
มีเจ้าอยู่เคียงใกล้สายเที่ยงเย็น
ยามราตรีไม่มีแสงสลัว
เจ้าหายหัวหนีหายมิมองเห็น
ฉันอยู่เดียวเปลี่ยวเหงาเฝ้าลำเค็ญ
อยู่ให้เห็นก็หาไม่ไปจากลา
ปล่อยให้ฉันเหงาหงอยเฝ้าคอยเจ้า
จนรุ่งเช้าหายเหงาจึงมาหา
กอดหมอนนอนเดี่ยวเปลี่ยวเอกา
ยามนิทราไร้เจ้าเฝ้ากอดนอน
15 ตุลาคม 2550 14:44 น.
วชรกานท์
ประโยชน์ของรองเท้าเจ้ามีมาก
ยามหนามขวากตำเท้าเจ้ารับให้
คราฉันย่ำล้ำลองกองขี้ควาย
ลื่นไถลใช้เจ้าเฝ้าประคอง
ให้ช้ำใจไยคนอื่นสวมใส่เจ้า
ถอดรองเท้าคู่ยาวไว้หน้าห้อง
ทั้งใหญ่กว่าของฉันยามหันมอง
เห็นจะต้องหนีหน้าจากลาไกล
มิเลือนลืมหยิบรองเท้าคู่เก่าเล็ก
รองเท้าเด็กฤๅจักเทียบรองเท้าใหญ่
ก้าวมุ่งหน้าอำลามิอาลัย
หวังรองเท้าคู่ใหม่ที่หมายมอง
โอ้...รองเท้าเก่าเจ้าเอ๋ย
ขว้างไปเลยทั้งคู่อยู่คงหมอง
แสนอาลัยรองเท้าเก่ายังเฝ้ามอง
โยนทิ้งคลองคราได้คู่ใหม่มา
15 ตุลาคม 2550 14:32 น.
วชรกานท์
มองมุมมืดหมายมีแสงสว่าง
ภาพเลือนรางอาจเห็นเป็นสีแสง
ภูมิปัญญาต่ำต้อยพลอยแสดง
ดุจหิ้งห้อยแปล่งแสงแข่งตะวัน
ให้หวลนึกรำลึกถึงกาลเก่า
ครูพร่ำสอนให้เราเฝ้าเสกสรร
ให้ฝึกฝนใฝ่เรียนเพียรจำนรรจ์
ปีเดือนวันผ่านพ้นมิสนใจ
มานั่งเขียนเรียนหัดสะบัดสะบิ้ง
ช่างเศร้าจริงรูปแบบยังผิดได้
กลบทมากมีที่เขียนไป
เพื่อหวังให้ครูชี้ความตามเรียบเรียง
กลอนตลาดวาดฝันมั่นเจตจินต์
หมายสู่ศิลป์กวีมีชื่อเสียง
อรรถรสแห่งกานท์มิร้อยเรียง
พอเลียบเลียบเคียงเคียงบาทกวี
การเรียนรู้สู่กายมิสายแน่
เด็กหนุ่มสาวเฒ่าแก่แลบัดสี
เมื่อมิเริ่มฤๅจะสมฤดี
ความสำเร็จอยู่ที่วิริเยน
แรงดลใจจุดไฟให้สว่าง
ดั่งเปลวเทียนส่องทางที่แลเห็น
แม้มิอาจเทียบแสงแห่งจันทร์เพ็ญ
ขอแค่เป็นแนวทางสร้างปัญญา
15 ตุลาคม 2550 14:16 น.
วชรกานท์
กระยางเดินย่างเยื้อง............ริมคู
ปูแสมนั่นแลดู......................ใส่เปี้ยว
ลิงแสมนั่งเคียงคู่...................จับเจ่า บนกิ่ง
ปูม้าเดินลดเลี้ยว....................นึ่งแล้ว เอามา
พนาแน่นหิ่งห้อย..................เรืองแสง
เกาะกิ่งลำพูแมลง..................ต่ำต้อย
สองอย่างคู่แสดง...................เคียงป่า มาเนิ่น
สุรีย์ต่ำเคลื่อนคล้อย............หริ่งร้อง เรไร
นานไปไพรหมดแล้ว.......ชายเลน
เหลืออยู่แค่เศษเดน........กี่น้อย
ริปลูกต่อตัดเว้น...............เกิดก่อ พันธุ์สัตว์
พระแม่ดำริห์ถ้อย.............จึ่งรู้ อนุรักษ์
พระแม่เมืองแห่งนี้...........มีคุณ แม่นา
เสริมส่งทั้งการุณ...............ไพร่ฟ้า
ศิลปาชีพหนุน...................ให้แก่ ชนยาก
ประดิษฐ์งามระย้า..............เพริดแพร้ว กอและ
ทรงแนะแก่นิ่มน้อง..........นวลเอย
ไหมหมี่มัดบ่เลย...............ไป่สิ้น
ผ้ายกอยู่นานเคย.............ลือเลื่อง เมืองใต้
สุรินทร์กาฬสิ้นธุ์..............แบบต้น ลายครู
ทรงตั้งปางไถ่ช้าง.............คืนพง พนา
กลับถิ่นสู่ดินดง................ป่าไม้
ชีวบริเวณวงศ์.................คืนกลับ ชมชื่น
กุ๊ดจี่ขี้ช้างได้....................จึ่งใช้ แกงกิน
14 ตุลาคม 2550 18:13 น.
วชรกานท์
กรางยะเยื้องย่างจ้อง........จับปู
แนนอ่าง โฉบเฉี่ยวดู.......อ่อนช้อย
แลสมิง นั่งเคียงคู่............ริมฝั่ง
ปามู้ มีนับร้อย................. วิ่งล้อ ชายเลน
กระยางย่างริมชล........อลวลออกหาปู
ใช้ปากจุ่มตามรู...........เท้าเยื้องย่างกลางสายธาร
นางแอ่นดูเริงร่า..........โฉบเฉี่ยวหาภักษาหาร
เลี้ยวลดพัลวัน.............บินทั้งวันสุขอุรา
ลิงแสมดูหงอยเหงา......นั่งจับเจ่า เหาผลัดหา
ยามใกล้สนทยา...........หมู่วานรลงหากิน
ปูม้ามากมายนัก...........วิ่งทายทักตามโขดหิน
มุ่งหน้าออกหากิน.........ทั่วแผ่นดินถิ่นโคลนตม
มนุษย์รู้หน้าที่..............ทำสิ่งดีที่เหมาะสม
ใช้สิทธิ์ตามนิยม...........เศรษฐกิจคิดพอเพียง
ต่างเสาะแสวงหา..........สินเงินตรา แลชื่อเสียง
สะสมไม่พอเพียง..........ทำลายทรัพย์สินแผ่นดิน