24 มิถุนายน 2546 22:51 น.

ตุ๊กตาไขลาน..ที่ถ่านอ่อน(เอาอันนี้)

ลูกเป็ดขี้เหร่

เพียงของเล่น มองเด่น เป็นชั่ววูบ
ชวนให้ลูบ จับคลำ ตามใจหมาย
หากแตกหัก พักลง คงเสียดาย
เฝ้าตัดพ้อ แล้วก็หาย ไม่สำคัญ

เพียงตุ๊กตา หน้ายิ้ม พิมพ์ใจนัก
อยากให้เธอ ทุ่มรัก ประจักษ์มั่น
เธอจะชม จะขว้างไป ไม่ว่ากัน
จะไขลาน นานกี่วัน ก็จำทน

ก็เราเป็น เช่นนี้ มีแต่ช้ำ
เธอจะทำ หยามอย่างไร แสร้งไม่สน
ตุ๊กตา ไขลาน เริ่มรานรน
น้ำตาล้น เอ่อนอง เต็มห้องใจ

อยากบอกกัน  วันนี้ ถ่านเริ่มอ่อน
แรงจึงผ่อน ผันเผิน เกินทนไหว
ทุ่มให้เธอ ไม่มีงด จนหมดไฟ
ร่างจึงไร้ ซึ่งแรงถ่าน ไขลานตน

คงหมดค่า แล้วใช่ไหม ใคร่อยากถาม
คงหมดงาม ความวิไล หาใครสน
เมื่อไร้ถ่าน สานรัก สลักมนต์
เธอก็คง เป็นอีกคน หมดรักกัน 				
24 มิถุนายน 2546 21:43 น.

มือกลอน..อ่อนหัด

ลูกเป็ดขี้เหร่

เมื่อยังเด็ก เป็นเด็กกลอน ที่อ่อนหัด
ไม่จ้านจัด ถนัดร้อย ถ้อยคำหวาน
เขียนหนังสือ ทื่อแข็ง แต่งยืดยาน
ไม่เก่งด้าน งานเขียน เรียนกวี

ผ่านวานวัน โตหน่อย ถ้อยยังจืด
รสความฝืด แสงส่องทาง จางริบหรี่
พยายาม สร้างสรรค์ สื่องานดี
กลับจบที่ ความขาด อนาถใจ

อนาคต วาดหวัง ตั้งมั่นมุ่ง
อยากเรืองรุ่ง ด้านกลอน อักษรไสว
ยิ่งฝันเฟื่อง เรื่องหนทาง ยิ่งห่างไกล
คงไม่ได้ ดั่งคิด แม้นิดเลย

แต่รู้จริง สิ่งนี้ ที่ใจรัก
แม้ตามฝัน นั้นหนัก ไม่หักเฉย
ขอซึมซับ กานท์กวี ที่คุ้นเคย
คือนักเกย งานกลอน อักษรกวน

จะฝึกแต่ง แข่งขัน กับวันก่อน
คำปอนปอน ร้อนหู ดูแหบห้วน
จะหมั่นปรับ ขยับใหม่ ให้นุ่มนวล
เป็นมือกลอน จานด่วน ร่วนดั่งดิน..
				
21 มิถุนายน 2546 22:29 น.

นิราศเมืองแกลง(มือสมัครเล่น)

ลูกเป็ดขี้เหร่

หอบกระเป๋าก้าวขึ้นรถใจอดกลั้น
ต้องพลัดพรากเพื่อนผองปรองดองกัน     
 แทบจะหันหลังกลับกลัวลับไกล
บนรถหรูสู่ระยองยิ่งหมองหม่น                
 คิดถึงคนเคยผูกพันพาลหวั่นไหว
ยุวกวีศรีศิลป์ก้องกินใจ                             
จำต้องลาด้วยอาลัยไปอบรม
สองข้างทางมหานครจรจากบ้าน                  
รถแล่นผ่านศาลหลักเมืองให้เคืองขม
สองมืออุ่นหนุนอกยกประนม                      
 ขอพรพรหมอวยชัยให้โชคดี
ขึ้นทางด่วนยิ่งด่วนจิตคิดครวญคร่ำ            
 ความทรงจำแต่เก่าก่อนตอนสุขี
มากลางหมู่มิตรใหม่มากไมตรี
แต่เรานี้ดังอ้างว้างอยู่กลางไพร
ถึงบางบ่อปลาสลิดคิดแล้วสลด
 บ่อปลาหมดเหลือแค่ตึกสะอึกไห้
ปราศพฤกษาเป็นป่าปูนอาดูรใจ                 
ป่าคอนกรีตกรีดทรวงในให้ระบม
ถึงบางแสนแหงนขึ้นฟ้าน้ำตาปรี่    
เรายามนี้บางโดดเดี่ยวเจียวเหมาะสม
เห็นชื่อบางหมางจิตคิดระทม                   
 จำฝืนก้มบ่มความเศร้าเคล้าฝุ่นดิน
มื้อกลางวันจานเด็ดกลเม็ดไก่            
  ปรุงสมุนไพรใบกะเพราเคล้าศาสตร์ศิลป์
เผ็ดจัดจ้านสะท้านใจให้โบยบิน                         
รสคุ้นลิ้นแม่เคยทำจำไม่จาง
ฟังบรรยายร่ายกวีมีแนวแปลก          
เพราะผิดแผกแหวกเชื้อชาติศาสตร์จึงต่าง
หลากรูปแบบล้วนแยบยลคนจัดวาง         
   เป็นสีสันเสกสร้างทางสุนทรีย์
จบบรรยายได้มุ่งออกนอกบางแสน             
  เลียบดินแดนแถบน้ำเค็มเต็มวิถี
ออกตามรอยสุนทรภู่ครูกวี                  
  ผองเพื่อนมีแต่เฮฮาเราบ้าบอ
ผ่านหนองมนคนเกรียวกราวหาข้าวหลาม                  
  เขามองตามเห็นวางขายน้ำลายสอ
มีแต่เราร่ำร่ำน้ำตาคลอ                              
 ด้วยนึกต่อกระบอกน้ำพร่ำกรอกริน
ยลเมฆเลียบเทียบไหล่ยาวเขาสามมุข             
ยลคลื่นซุกอ้อมกอดทรายไม่รู้สิ้น
ครั้นมาถึงซึ่งวัดงามนามระบิล                         
 เยือนยลถิ่นวัดญาณสังวรารามฯ
น้อมเคารพพระบรมสารีริกธาตุ                        
ผ่องพิลาสผงาดอยู่คู่สยาม
ทองสุกเปล่งเร่งประกายฉายความงาม           
  แลอร่ามเมลืองทัศน์ล้นศรัทธา
มาถึงเบื้องอุโบสถประณตน้อม                       
มโนพร้อมเลื่อมใสในศาสนา
หวังระงับความกลัดกลุ้มสุมอุรา                       
 แล้วออกมาชมแมกไม้ใต้ตะวัน
เห็นไม้หนึ่งพึงห้อยย้อยกิ่งอ่อน                       
   เปรียบคำสอนให้การุณอย่าหุนหัน
เห็นไม้พุ่มสุมกอต่อตรงกัน                            
  ดุจให้มั่นผูกติดศีลธรรม
ถึงระยองมองเกลียวคลื่นครืนซัดหาด       
 เหมือนซัดสาดความว้าเหว่เทกระหน่ำ
ดอกคูนเหลืองเรืองรองดั่งทองคำ                       
ทวีคูณความเจ็บช้ำย้ำอาวรณ์
เช้าวันใหม่ใส่แดงเด่นเป็นพื้นฐาน                       
ตรงสักการครูกวีศรีอนุสรณ์
พยับฝนพรมพร่างพรายกายเปียกปอน          
   ให้อาทรร้อนหนาวร้าวในทรวง
ถึงอ่าวสมุทรสุดขอบฟ้านภากว้าง               
เกล็ดน้ำค้างพร่างพรายคล้ายแก้วสรวง
ถึงร้อยพลอยล้านเพชรว่าเด็ดดวง                       
ไม่เท่ารวงน้ำฟ้าหลั่งธานินทร์
แวะชมสวนมวลไม้ผลวนชิมรอบ                      
ใบแห้งกรอบขอบกิ่งไม้สลายสิ้น
งามเพียงใดต้องได้ตกวกสู่ดิน                     
    หวนนึกถิ่นที่เราห่างร้างแรมไกล
จากบ้านมาหาความรู้ช่วยชูเชิด                         
 ความรู้ย่อมประเสริฐกว่าสิ่งไหน
มีความรู้อยู่คู่ตัวกลัวสิ่งใด                              
 แม้ร้างไปยังคืนกลับไม่ลับนาน
แต่ความเศร้าเราฝังใจมิใช่น้อย           
 จึงเรียงร้อยนิราศเมืองแกลงแถลงขาน
นำความรู้คู่ประกบประสบการณ์                     
เพื่อสืบสานกวีศิลป์ถิ่นไทยเอย.				
9 มิถุนายน 2546 21:17 น.

แด่คุณครู(ทุกคน)

ลูกเป็ดขี้เหร่

วาจาร้าย ระคายหู ดูหยาบกร้าน
อีกการบ้าน คร้านจะทำ เบื่อคำสอน
เวลาเรียน ไม่เพียรขวาย ได้แต่นอน
ไม่รู้ร้อน กับคำสั่ง ความหวังดี

ครูอบรม บ่มปัญญา วิชาไหน
ร่ำเรียนไป ไม่จริงจัง ยังหลบหนี
เริ่มรู้ค่า ประกาศิต ฤทธิ์วจี
คำครูนี้ ที่แนะทาง สร้างปัญญา

ขอขอบคุณ อุ่นไอ มอบให้ศิษย์
ผลักชีวิต สู่สังคม อย่างสมค่า
เพราะใครเล่า เฝ้าสังเกต ด้วยเมตตา
ความกรุณา ที่ซาบซึ้ง ตรึงดวงใจ

จึงเรียงร้อย ถ้อยคำกลอน อักษรสื่อ
ด้วยสองมือ สื่อคุณค่า เกินหาไหน
น้อมกราบแนบ แทบตักอุ่น ละมุนละไม
ตอบแทนครู ผู้ยิ่งใหญ่ ไร้เทียมทาน..				
3 มิถุนายน 2546 21:29 น.

แสงแดด...ร่ำไห้

ลูกเป็ดขี้เหร่

...เธออ่อนล้า ไร้แรง เคยแกร่งกล้า
ถูกผู้คน บ่นว่า พาหลบหนี
เป็นแสงแดด แผดเผา ร้าวฤดี
จึงร่ำไห้ ในชีวี ที่เกิดมา

...ฉันคนหนึ่ง ซึ่งทนมอง อย่างหมองหม่น
ใช่ว่าเธอ จะขัดสน อับจนค่า
ยามเจ็บร้าว หนาวสั่น หวั่นกายา
ก็มีเธอ ช่วยรักษา พาบรรเทา

...อย่าท้อใจ ใครเมินค่า ว่าให้เจ็บ
เพียงแค่เล็บ ขบใน ใช่ไฟเผา
จงภูมิใจ ในคุณค่า ว่าคือเรา
เลิกซะที ที่จะเศร้า เหงาหัวใจ

...ฉันก็เพียง ต้นหญ้า ที่ยังอ่อน
เห็นเธอเจ็บ ยิ่งอาทร ยิ่งอ่อนไหว
อาจไม่คู่ ควรตอบ ปลอบโยนใคร
แต่วจี ที่พร่ำไป ใช่แกล้งทำ

...เป็นต้นหญ้า ยังกล้ารัก ในศักดิ์ศรี
วอนคนดี อย่าท้อใจ ใครเหยียบย่ำ
ใช้ชีวิต พิชิตตน บนคุณธรรม
เลิกทนฝืน กลืนกล้ำ กับคำใคร..				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟลูกเป็ดขี้เหร่
Lovings  ลูกเป็ดขี้เหร่ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟลูกเป็ดขี้เหร่
Lovings  ลูกเป็ดขี้เหร่ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟลูกเป็ดขี้เหร่
Lovings  ลูกเป็ดขี้เหร่ เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงลูกเป็ดขี้เหร่