26 มีนาคม 2550 05:19 น.

การเดินทางที่พลาดผิด กับความคิดที่ผิดพลาด

ลูกเป็ด

โดยมันเริ่มจาก การที่เธอต้องการเป็นตัวของตัวเองโดย

1.   เธอเริ่มที่จะเถียงพ่อ แม่ ตอนที่จะเรียน มัธยม 4

2.   เธอเริ่มโกหก

3.   เธอเริ่มขาดเรียน

4.   เธอเริ่มเที่ยวกลางคืน

5.   เธอเริ่มที่จะมีแฟน มีเซ็กซ์

6.   เธอเริ่มที่จะสูบบุหรี่  ดื่มสุรา แต่งตัวโป้

7.   อื่นๆ ที่ล้วนแล้วแต่เลวทั้งนั้น

8.   เธอเริ่มแย่ และแย่ๆๆๆๆๆๆๆ

 

“นี่ลูก จะออกไปใหนค่ำมืดขนาดนี้  ทำไมไม่เค้าห้องอ่านหนังสือใกล้สอบแล้วไม่ใช่เหรอ”(เสียงพ่อ แม่ พร้อมเตือนด้วยความห่วงใย)

“หนูรู้แล้วค่ะ พ่อ แม่ และหนูก็รู้ตัวดีว่ากำลังทำอะไรอยู่ และที่จะออกไปก็เพื่อที่จะไปติวหนังสือที่บ้านเพื่อน”หญิงพูดและโกหก

 

เธอสามารถที่พูดกับพ่อแม่อย่างนั้นได้ เพราะเธอต้องการที่เป็นตัวของตัวเอง อยากตัดสินใจเอง  วันนั้นหญิงไปบ้านเพื่อนจริง  แต่ไม่ได้ติวหนังสืออย่างที่บอก พ่อ แม่ หรอก แต่เธอไปเที่ยวต่างหาก  และเธอก็ทำแบบนี้อยู่นานมาก  หญิงตกลงกับเพื่อนว่าเราจะย้ายมาเช่าบ้านอยู่ข้างนอกด้วยกันและจะหางานทำตอนกลางคืน  และเรียนตอนกลางวัน

 

“ทำไมต้องทำแบบนั้นด้วยล่ะลูก  อยู่บ้านเราไม่ต้องทำงานก็ได้นี่นา”(พ่อ แม่พูด)

“ทำไม ล่ะแม่!!!หนูอยากเป็นตัวของตัวเอง อยากรู้จักทำงาน เลี้ยงตนเองเหมือนคนอื่นๆบ้าง คนอื่นทำได้ หนูก็ต้องทำได้” เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่น่าฟังเลย

“แต่ยังไงแม่ก็ไม่ยอมให้ลุกไปอยู่หอพักเด็ดขาด” แม่ห้าม

แต่สุดท้ายเราก็สามารถพบกันที่ครึ่งทาง ของผู้เป็นลูก และผู้เป็นบุพการี  โดยที่หญิงจะไปอยู่ที่บ้าน  แต่พ่อกับแม่ต้องให้เธอ ทำงานตอนกลางคืนกับเพื่อนได้

 

หญิงได้ทำงานที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง ไม่ขอเอ่ยชื่อ เธอไปทำงานทุกคืน และไปเรียนตอนกลางวันทุกวัน  แต่หลังๆมาเริ่มล้า เพราะที่ทำงานกับที่บ้านอยู่ไกลกันมา เลยบอกพ่อแม่ว่าเลิกงานจะค้างบ้านเพื่อน   อย่างว่ากันว่าพอเริ่มทำงานชีวิตก็ยิ่งเปลี่ยนไปอีก เธอเริ่มไม่กลับบ้าน  มักจะค้างบ้านเพื่อนอยู่บ่อยๆ  และเริ่มเที่ยวหลังจากเลิกงานกับเพื่อนๆมากมายที่ทำงานด้วยกัน

“เอาหน่อยมั๊ย” เพื่อนถาม หญิงเลยถามว่าอะไร “บุหรี่สอดไส้” มันเป็นสารเสพติดนั่นเอง เธอเลยลองมัน  เพราะคิดว่าแค่นี้เองคงไม่เป็นไรหรอก เธอติดเที่ยวมากที่สุด ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ แต่งตัวโป้ ไอ้ที่เลวๆ เธอทำหมด และที่สำคัญ เธอชักจะติดมัน จนที่สุดหญิงไม่ไปเรียนเลย  โดยบอกพ่อ กับแม่  ว่าต้องนอนบ้านเพื่อนนะ เพราะว่าที่บ้านเพื่อนใกล้ที่ทำงาน และไม่ไกลจากโรงเรียนเท่าไหร่  เพื่อที่จะติวหนังสือกับเพื่อน (เธอโกหก) 

รักแรก

หญิงเริ่มมีความรัก มีความรัก มีความรัก กับหนุ่มน่ามน เค้าเป็นลูกค้าที่ไปเที่ยวร้านที่เธอทำงานนั่นแหละ

“สวัสดีครับ เหนื่อยมั๊ยครับ ผมชื่อต้น”  หญิง เธอบอกว่า ยิ้มแบบหลงตัวเองเพราะมั่นใจในตัวเองมากคิดว่าตัวเองสุดๆแล้ว แล้วเธอก็บอกชื่อของเธอกับเค้าและให้เบอร์พร้อมนัดไปเที่ยว

  ไวไฟสุดๆ วันที่ไปเที่ยวมีแค่เธอกับพี่ต้นเท่านั้น

“ทำงานที่นี่นานหรือยังครับ”

“ได้ 3เดือนแล้วค่ะ”

“เคยมีแฟนมั๊ย” เค้าถามเธอ

“ไม่เคยค่ะ แต่กำลังจะมีค่ะ”

“แล้วพี่ต้นล่ะ มีแฟนมั๊ย”

“เคยมีครับแต่ตอนนี้เลิกแล้ว”

“ทำไมล่ะ เค้าไปมีคนใหม่”

“เสียใจด้วยนะคะ”

“ถ้าพี่จะเจอหนูบ่อยๆ จะได้ใหมครับ พี่อยากรู้จักเรามากกว่านี้”

“ค่ะได้ค่ะ”(เราสองคนคุยโต้ตอบกันอยู่นาน)

เราสองคนเริ่มคบกันอยู่สักระยะหนึ่ง  โดยหญิงกับต้นไปเที่ยวด้วยกันทุกคืน

 

ต่อมาหลังจากที่หญิงเลิกงาน เธอไม่ไปค้างบ้านเพื่อน  แต่ไปค้างที่บ้านของต้นแทน  เธอคิดอยู่เสมอว่าเธอเลือกทางที่ถูกที่สุดแล้วในช่วงอายุ17-18 ปี

เธอมีความสุขที่สุด ที่เธอได้อยู่กับต้น เธออยู่กับเค้าทุกวัน และเธอก็ยังใช้ชีวิตเดิมๆคือ กลางคืนเธอก็ไปทำงานที่ร้านอาหาร กลางวันเธอไปเรียนหนังสือ เธอตั้งใจเรียนมากขึ้นจากที่เคยไม่สนใจเรียนมาก่อนเลย แต่ว่าเธอไม่เคยถาม และเค้าก็ไม่เคยบอกเลยว่าเค้าทำงานอะไร  เราอยู่ด้วยกันนานหลายเดือน 

 

ที่สุด

หญิงเธอเล่าว่า จะอะไรมากมายนะ  ในเมื่อคนสองคนที่เรียกว่าแฟนกันเมื่ออยู่ด้วยกัน  ท่านคิดสิว่าเค้าจะต้องทำอะไรกัน หญิงเธอบอกว่า เซ็กซ์ไงคะ จนมันทำให้เธอขาดต้นไม่ได้เลย

 

ขาดไม่ได้แน่นอน  แน่ๆ  เพราะว่าต้นเค้าสุดยอดจริงๆที่สามารถทำให้เธอมีความสุขที่สุดและเป็นครั้งแรกของเธอ  ทุกครั้งที่เธอมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับต้น ซึ่งต้นสามารถทำให้เธอได้ทุกอย่าง จึงทำให้เธอรักต้นมาก  เธอกับต้นมีเซ็กซ์กันทุกวัน วันละหลายครั้ง เชื่อมั๊ยค่ะ เชื่อเถอะค่ะ และเธอก็คิดว่าเค้าต้องรักเธอมาก จึงสามารถที่จำทำให้เธอได้ทุกอย่าง ในเรื่องอย่างว่า และเราก็ไม่เคยที่จะป้องกันเลยเพราะพี่ต้นเค้าไม่ชอบ

แตกหัก

 

ในที่สุดวันๆนั้นก็มาถึงจนได้ มันเกิดขึ้นโดยกระหันมากทีเดียว เพียงช่วงระยะเวลาเพียงคืนเดียวเท่านั้นเอง  ซึ่งเธอเองก็ไปทำงานตามปกติ เหมือนเช่นทุกวัน  ขณะที่ฉันทำงานมีโทรศัพท์เข้ามา  เป็นเบอร์ของต้นโทรมาเธอ ต้นบอกว่า

“Hello ที่รัก นี่ต้นนะครับ  คืนนี้พี่ต้องไปทำงานต่างจังหวัดโดยกะทันหัน เลยไม่ได้บอกที่รักก่อนล่วงหน้า และที่บ้านมันอันตรายมาก ไม่อยากให้ที่รักนอนอยู่ที่บ้านเพียงคนเดียว คืนนี้ให้ที่รักไปนอนที่บ้านเพื่อนก่อนนะคะ  เป็นห่วงที่รักนะ”

ต้นเค้าพูดกับเธอด้วยความเป็นห่วง

“ค่ะ พี่ต้น เอางั้นก็ได้ค่ะ ระวังตัวด้วยนะคะ  และรีบกลับมานะคะ”

แต่สุดท้ายก็มีเหตุจนได้  เป็นเพราะว่าเธอลืมของไว้ที่บ้านของพี่ต้น  พอเลิกงานเธอเลยไปที่บ้าน  พอไปถึง เอะ!!!!! ทำไม นะไม่ยอมปิดไฟที่ห้องนอนเลย พอเธอเดินเข้าไปที่บ้าน เดินเค้าไปที่ห้อง ที่เธอไม่เคยคาดคิดมันกลับเกิดขึ้นกับตัวเธอ  หญิงเปิดประตูเข้าไปที่ห้องที่หญิงกับต้นเรานอนด้วยกันทุกคืน  แต่พอคืนเปิดเข้า หญิงกลับเจอแฟนของเธอกับผู้หญิงคนอื่นเค้ากำลังนอนอยู่บนที่นอนของ  หญิงแทบบ้า ทำอะไรไม่ถูก  ตัวของเธอตอนนั้นเหมือนกำลังล่องลอยออกไปเรื่อยๆ โดยไม่รู้ว่าจะไปที่ใหนดี แต่มันกำลัง

 

 

ลอยไปเรื่อยๆโดยไม่มีวันที่จะกลับมาเหมือนเดิมอีก  และต้นเค้าก็ตกใจเหมือนกัน แต่ยังมีหน้ามาถามฉันว่า “มาทำไมบอกแล้วไม่ใช่เหรอให้อยู่กับเพื่อน” เค้าพูดโดยไม่คิดที่สำนึกเลย  ส่วนหญิงก็วิ่งออกจากห้องโดยเร็ว ไปใหนไม่รู้ยังไม่ได้คิด วิ่งไปร้องไห้ไปอยู่อย่างนั้น และต้นก็ไม่ได้สนใจที่จะตามเธอเลย เธอเสียใจที่สุดเพราะมันรักครั้งแรกของเธอ เธอเดิน วิ่ง ร้องไห้ ครบสูตรของผู้ที่อกหัก เธอไม่รู้จะไปที่ใหนสุดท้ายเลยมองเห็นร้านอาหารแห่งหนึ่ง  เลยหยุดและเค้าไปนั่งดื่มเหล้าแก้กลุ้ม

 

ประชดรัก

 

หลังจากที่หญิงพลาดจากเรื่องความรัก  หญิงก็หันหน้าเข้าหาอบายมุขต่างๆ ซึ่งตอนนั้นอายุย่าง 18 ปี เท่านั้นเองเธอเที่ยวทุกคืน ไม่ยอมที่จะเรียนหนังสืออีกต่อไปอีกต่อไป แต่ก็ยังทำงานที่ร้านอาหารเหมือนเดิม เพื่อหาเงินเอาไว้ไปเที่ยวเท่านั้นเอง เธอเที่ยวควงผู้ชายไม่เลือกหน้า

 

โดนหลอก

เมื่อเที่ยวอยู่บ่อยๆ จึงทำให้รู้จักคนเยอะแยะมากมาย  จนรู้จักผู้หญิงคนหนึ่งเขาชื่อ หยก

 

            “ สวัสดีจ่ะหนู มาเที่ยวคนเดียวหรือจ๊ะ แล้วไม่เหงาเหรอ” 

            “ ไม่ค่ะ แล้วไม่ทราบว่า มีอะไร รึเปล่าคะ”

            “ฉันนั่งอยู่หน้าบาร์  ไปนั่งกับฉันมั๊ย ฉันคิดว่าเธอดูเหมือนจะเหงาน่ะ”

        “ก็ดีนะ ตกลงค่ะ”

ระหว่างที่เดินไปเค้าทั้งสองก็คุยกันไป

            “ฉันชื่อ หยกนะ  แต่ว่าทุกคนชอบเรียกฉันว่าแม่”

            “ทำไมล่ะ”

            “ไม่รู้สิ ฉันคงใจดีมั๊ง” หยกพูดแล้วหัวเราะ

        “มาสิทุกคน มารู้จักเพื่อนใหม่ของเรา” หยกแนะนำเพื่อนทุกคนให้รู้จักหญิง

 

 

 

ทุกๆคนเฮฮา ปาร์ตี้กันมาก ดีใจที่สุด ที่ได้เจอเพื่อนใหม่ และหญิงก็เหมือนกัน  และจากนั้นเป็นต้นมา หญิงก็มีเพื่อนเที่ยวคือ หยก ซึ่งเธอจะเรียกว่า แม่ 

 

หญิงเธอบอกว่า เธอรู้สึกแปลกๆ ว่าทำไมทุกคนพอเลิกจากเที่ยวแล้วถึงไปใหนกันหมด และตอนเที่ยวแม่หยกก็แนะนำผู้ชายให้กับผู้หญิง ที่มาเที่ยวกับเธอ เธอเคยถาม แต่แม่หยกก็ได้แต่ยิ้ม   พอไม่นานนัก วันนั้นเป็นเช้าวันที่สวยงามที่สุด แม่หยก โทรหาแต่เช้า แล้วบอกเธอว่าคืนวันพรุ่งนี้ให้มาหาแม่หยกด้วย มีงานให้ทำ และได้เงินเยอะ

โดยเค้านัดเธอไปที่โรงแรมแห่งหนึ่ง บอกเธอว่า “เดี๋ยวแม่ว่าไปคุยกันที่ห้องแม่ดีกว่าใหม” เธอเลยตอบตกลงไปตามที่ว่ามา เธอบอกว่า พอเข้าไปที่ห้องนั้น มีผู้ชายเป็นชาวต่างชาติ 2 คน รออยู่ข้างใน แล้วเค้าก็คุยกัน เธอบอกว่าเธอไม่รู้หรอกว่าเค้าคุยอะไรกัน แต่ที่รู้แน่ๆคือมันไม่ดีสำหรับเธอ  แล้วแม่หยกก็ออกไปจากห้อง ปล่อยเธออยู่กับชายชาวต่างชาติ ทั้งสองคน  หญิง เธอบอกว่า ในตอนนั้นเธอต้องหนีให้ได้ โดยเธอจ้องมองไปที่ประตูคือทางออกที่เธอต้องหนีได้แน่นอน แล้วเธอจึงพยายามที่ทำความคุ้นเคยกับชายทั้งสอง ทันใดนั้นเสียงสวรรค์ก็ดังขึ้นมาทันที  คือเสียงกริ่งประตูดังขึ้น แล้วพูดว่าเราได้นำเครื่องดื่มและอาหารมาส่งครับ เธอเลยยิ้มแล้วทำเดินไปที่ประตูทำทีเหมือนจะไปเปิดประตู พอเธอเดินถึงประตูเท่านั้นและ เธอก็เปิดประตูได้ แล้วก็วิ่งไปจนสุดแรงโดยไม่คิดว่าตัวเองจะไปจบที่ใหน  แต่สุดท้ายเธอกับไปเจอกับลูกน้องของแม่หยกเข้า เค้าก็เลยวิ่งตามจับเธอ และซ้อมเธอปางตายที่ข้างโรงแรมนั้น แต่แค่นั้นยังไม่วายแม่หยกยังสั่งลูกน้องให้ข่มขืนเธอโทษฐานที่หนีออกมาจนเธอหมดแรง  แต่สุดท้ายยังถือโชคดีที่เธอยังไม่ตายเสียก่อน  ก็เพราะมีพลเมืองดีผ่านมาเข้ามาช่วยเธอไว้ปลอดภัยได้ แต่ไม่สามารถจับพวกเลวๆพวกนั้นได้  เลยนำเธอไปส่งที่โรงพยาบาล พร้อมกับช่วยติดต่อหาครอบครัวของหญิงให้

 

สำนึก

เธอบอกว่าตอนที่ถูกข่มขืนนั้น สิ่งสุดท้ายที่เธอคิดคือขอโทษพ่อกับแม่ บอกกับตัวเองว่าผิดไปแล้ว และได้แต่โทษตัวเองว่าทำไมไม่ยอมที่จะเชื่อฟังพ่อกับแม่ตอนที่เธอทำไมต้องทำให้ท่านเสียใจ  ที่สำคัญถ้าย้อนเวลากลับไปได้  ฉันจะตั้งใจเรียนเป็นเด็กดี ของพ่อ แม่ จะไม่ยึดติดกับคำว่า อยากเป็นตัวของตัวเอง อยากดำเนินชีวิตด้วยตัวเอง

 

ท้ายเรื่อง ที่ 1

 

นี่คือเรื่องราวของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่ชื่อหญิง นับว่าเป็นที่น่ายกย่อง ที่มีความกล้าที่นำเรื่องราวที่เลวร้ายของตนเองมาเปิดเผยให้คนอื่นได้ทราบ อย่างน้อยๆก็เป็นแนวให้คนอื่นหรือเรื่องราวคติเตือนใจให้กับวัยรุ่นคนอื่นที่ได้อ่าน ได้เกิดความกลัวขึ้นภายในจิตใจบ้าง ให้ได้รู้ไว้ว่าถ้าทำตัวเหมือนกับหญิงจุดจบชีวิตของตัวเองจะเป็นอย่างไร  ถึงแม้ว่าหญิงจะมีคนมาช่วยไว้ได้ก็ดี แต่เป็นคุณไม่โชคดีคนมาช่วยล่ะจะไม่แย่กว่าหญิงหรอกเหรอ

 

เขียน/เรียบเรียง....พัชรินทร์ แต่งภูเขียว(เป็ดน้อย)

หมายเหตุ  ท่านสามารถแสดงความคิดเห็นของท่านมาได้ที่
        Email-ptangpukeaw@yahoo.com				
26 มีนาคม 2550 05:07 น.

ล้มแล้ว ไม่ท้อ

ลูกเป็ด

กระทั่งเมื่อเวลาผ่านไปจน เขาอายุ ได้ 25 ปีเขายังไม่มีอะไรเป็นของตัวเอง ไม่มีงาน อาศัยบารมีพ่อแม่มีมั่งมีร่ำรวยและเที่ยวสนุก พร้อมกับแฟนสาวของเค้าไปวันๆ  และแล้วท้ายที่สุดแต่ยังไม่สุดท้ายนะคะ  พ่อ กับ แม่ ของเข้าจึงได้ส่งติ๊กไปอยู่กับญาติที่ ประเทศอมริกา และก็หวังว่าญาติทุกคนจะช่วยเหลือกันฝึกติ๊กให้กลายเป็นคนที่ดี และมีความเก่งด้านการค้าขายได้เป็นอย่างดี  ติ๊กได้ไปอยู่อเมริกา โดยมีแฟนของเขาไปด้วย  ไม่น่าเชื่อได้เลยว่าคนอย่างติ๊กจะมีพรสวรรค์ด้านการค้าขายจริงๆ  และติ๊กเขาก็บอกกับตัวเขาเองว่าฉันมาถูกทางแล้ว  และตั้งแต่นั้นมาติ๊กก็เริ่มที่จะเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น รู้จักทำงานและหาหนทางที่จะมีธุรกิจของตนเอง

 

            ติ๊กธุรกิจร้านอาหารกับญาติที่อเมริกา  ต่อมาเขาก็ต้องการมีร้านเป็นของตนเองแต่เขายังไม่เข้าใจระบบการเงินที่อเมริกาสักเท่าไร  กลัวว่าตัวเองจะเสียภาษีการค้า และอะไรอีกต่างๆนาๆ ทำให้ร้านใหม่ที่ตนเองเปิดนั้นให้ใช้เป็นชื่อของญาติ ซึ่งมีสักเป้นน้าแท้ๆของตนเอง  และกิจการของเขาก็ไปได้ดีเลยทีเดียว  ทุกครั้งที่ติ๊ก เขาได้เงินเยอะมาจากการทำร้านอาหาร สวนหนึ่งเขาจะไม่นำไปฝากธนาคาร เพราะคิดว่าเขาจะได้เสียภาษีเยอะเกินไป เลยนำเงินไปลงทุนทำธุรกิจอื่นๆอีกมากมาย โดยใช้เป็นของน้าสาวตนว่าเป็นเจ้าของกิจการ  ทุกคนเรียกติ๊กว่าเศรษฐีติ๊ก  แต่แล้วเขาก็เป็นเศรษฐีติ๊กไม่นาน  เขาต้องล้มละลายไม่เหลืออะไรเลยเพราะความไว้เนื้อเชื่อใจคนที่เขาเรียกว่าน้า  ซึ่งได้โกงเงินและทรัพย์สมบัติต่างๆที่ติ๊กเค้าสร้างและหามากับมือไปต่อหน้าต่อตา  ซึ่งติ๊กก็ไม่สามารถที่จะเอาผิดเขาได้เลย เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่าง ที่ติ๊กสร้างขึ้นมานั้น เป็นชื่อของน้าหมดเลย  นี่และหนา ที่เค้ามีสุภาษิตอยู่ หนึ่งประโยคที่บอกว่า “เงินไม่เข้าใครออกใคร....เงินไม่มีคำว่าญาติหรือพี่น้อง”    ก็อย่างว่าเมื่อหมดเงิน ก็เริ่มที่จะหมดทุกสิ่งทุกอย่างตามมาไม่ว่าจะเป็นเพื่อน ลูกน้องที่เคยร่วมงาน บริวารต่าง หรือ แม้กระทั่งเมีย  ที่บอกว่ารักเราหนักหนาสุดท้ายก็ทิ้งไปอย่างหน้าตาเฉยโดยไม่สนใจใยดีเลย  คุณติ๊กเขาบอกกับฉันว่า เขาแทบบ้า เงินในกระเป๋าที่ต้องใช้ตลอดทั้งเดือนเหลืออยู่ 5 $ เงินไทยก็ประมาณ ร้อยกว่าบาท  ถ้าอยู่ที่เมืองไทยนะ ก็พอที่จะซื้อข้าวอิ่มไปหลายมื้อ แต่สำหรับที่อเมริกา มันจะซื้ออะไรได้  เขามองซ้ายขวา มองไปรอบตัว ซึ่งไม่มีทั้งบ้าน ญาติ พี่น้องหรือคนที่รู้ใจ เขาไม่มีเลย สิ่งที่เขาต้องการที่จะทำในตอนนั้นคือฆ่าตัวเองให้ตายเสีย  

 

โชคชตายังไม่ต้องการให้เขาตาย  เขามองไปเห็นเด็ก คนแก่ และอีกหลายคนรอบๆตัวเขาที่ลำบาก และแย่กว่าเขาเป็นอยู่อีกมาก  แต่เขาเหล่านั้นก็ยังสามารถที่จะยืนหยัดอยู่ในโลกใบนี้ได้    คุณติ๊กเขาเลยบอกกับฉันว่า แล้วทำไมเล่าฉันถึงต้องจากไปจากโลกนี้โดยไร้คุณค่าเสีย  เพราะคนเหล่านี้แหละ  ที่ทำให้เขากลับมามีกำลังใจที่จะต่อสู้ชีวิตต่อไปข้างหน้าอีก  เขาเริ่มออกไปหาสมัครงานตามที่ต่างๆ  จนในที่สุดเขาได้งานทำที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง เป็นเด็กเสริฟดีๆนี่เองโดยเริ่มงานตั้งแต่ บ่าย  5 โมงเย็น จนถึง เที่ยงคืน หลังจากนั้นบางคืนของคุณติ๊ก เขาก็อาสารับล้างจานแทนคนงานคนอื่น เพื่อที่คุณติ๊กจะได้มีรายได้เพิ่มขึ้นอีก กว่าจะได้กลับบ้านก็เกิบ ตี 3   และงานที่สองของเขาคือ ส่งหนังสือพิมพ์ตามบ้านให้เสร็จก่อนเวลา07.30 น. และกลับมาถึงบ้านตอน

08.30น.เพื่อพักผ่อนนอนหลับ  และต้องตื่นนอน ตอน11โมง เพื่อเตรียมตัวไปรับ job อีกหนึ่งอย่างคือ งานรับขัดรองเท้าที่ในเมือง  ตั้งแต่เวลา 12.00น. จนถึง 4โมงเย็น ทำแบบนี้เป็นประจำทุกวัน

 ตอนแรกก็รู้สึกแย่เหมือนกัน เพราะว่าจากที่เคยเป็นเจ้าของร้านอยู่ดีๆกลับกลายมาเป็นเด็กเสริฟและเด็กส่งหนังสือพิมพ์และเด็กขัดรองเท้าเสียนี่  แต่ว่าคนเรามันเลือกเกิดไม่ได้ ใครจะรู้ว่ามันจะต้องเป็นแบบนี้ แต่เขาก็ไม่ท้อเพราะเขาตั้งใจไว้ว่าจะตั้งใจทำงานเก็บเงินสักก้อนเพื่อเปิดร้านของตนอีกครั้ง  

            คุณติ๊กเขาทำงานเป็นเด็กเสริฟอยู่5ปี มีเงินเก็บเยอะพอควร  แต่ก็ยังไม่พอที่สำหรับเปิดร้านเป็นของตนเอง  เขาคิดว่าตัวเขาเองก็พอที่จะรู้จักใครอยู่บ้างในอเมริกา  เขาเลยไปขอกู้ยืมเงินกับคนที่รู้รัก  ร้อยละเท่าไรก็ไม่ว่ากันและเขาก็ไปขออ้อนวอนเจ้าของเงินอยู่หลายครั้ง  จึงทำให้เจ้าของเงินใจอ่อน และมองเห็นความตั้งใจจริงของคุณติ๊ก

            จากนั้นเขาก็ไปเช่าตั้งอยู่ในตัวเมืองเพื่อที่จะเปิดร้าน   เขาดีใจและตื่นเต้นมากที่ได้กลับมาเป็นเจ้าของธุรกิจเองอีกครั้ง เขาสัญญกกับตัวเองว่าจะดูแลร้านนี้ให้ดีที่สุด  ต่อมาเชื่อไหมว่าเขาเปิดร้านมาได้สามเดือนแล้วไม่เคยมีลูกค้า ถึง 3 โต๊ะต่อวันเลยสักครั้ง   พอเริ่มเข้าเดือนที่ 4 เขาก็เริ่มที่จะเหนื่อยและเจอปัญหาอีกแล้ว  ใหนจะปัญหาไม่มีลูกค้า ปัญหาต้องจ่ายเงินเดือนลูกค้า ปัญหาค่าเช่าตึกที่ทำร้านอาหาร ปัญหาที่ต้องจ่ายเงินที่ยืมเขามาทำธุรกิจทั้งต้นและดอก ถ้าไม่มีมาใช้เขา เขาจะมายึดของทั้งหมดในร้านที่เป็นของคุณติ๊ก    เขาบอกกับฉันว่า เขาต้องนั่งเศร้าถามตัวเองอยู่ตลอดว่านี่ฉันจะต้องหมดตัวอีกหรือ ทำไมนะท่ามกลางโลกใบใหญ่ผู้คนมากมาย แต่ทำไมนะเหมือนกับว่าโลกทั้งใบมีเพียงตัวฉัน  !!!! แต่ว่าในนาทีนั้นเองจิตวิญญานที่กล้าหาญของคุณติ๊กก็ได้ออกมาต่อสู้เพื่อบดบังจิตวิญญานที่อ่อนแอให้ออกไปไกลจากตัวเขา เพื่อไม่ให้เขาเกิดท้อแท้และสร้างให้เขามีกำลังที่จะต่อสู้ต่อไป 

 

            ต่อมาเขาได้เข้าไปหาเจ้าหนี้เพื่อขอต่อเวลาในการชำระหนี้สินและไปขอผ่อนผันการจ่ายค่าเช่าของเขา อาจเป็นความโชคดี หรือเป็นเพราะน้ำเสียงอ้อนวอนที่อ่อนหวานนุ่มนวลของเขา จึงทำให้เจ้าหนี้ยอมที่จะต่อเวลาการชำระหนี้ออกไปอีก  ต่อจากนั้นเขาเลยยอมที่จะจ้างลูกน้องน้อยลง  ยอมลดตัวเองลงมาเป็นทั้งเด็กเสริฟ คนล้างจาน บ้างในแต่ละวัน  ก็อย่างละนะไม่ว่าจะทำอะไรถ้าจะดีได้ต้องไม่ท้อ  เพราะทุกอย่างมันต้องใช้เวลากันทั้งนั้น  รวมไปถึงจิตใจของคนก็เช่นกัน จะดูแค่ภายนอกก็ไม่สามารถที่จะรู้ถึงจิตใจของคนได้   

 

            คุณติ๊กเขาใช้เวลาที่เขามีอยู่ทั้งหมดทุ่มเทกับร้านของเขาอย่างจริงจัง  และไม่เคยที่จะมองลูกน้องของตนที่เหลืออยู่เป็นเพียงแค่ลูกน้องเท่านั้น   คุณติ๊กเขาให้ความสำคัญกับลูกน้องเสมือนเพื่อน พี่ น้อง เหมือนอยู่ในครอบครัวเดียวกัน  จึงทำให้ทุกคนรักเขามากและยอที่จะทุ่มเททั้งกาย ใจ ในการทำงานให้กับคุณติ๊กอย่างเต็มใจ  จากนั้นร้านของเขาก็ไปได้ดี มีลูกค้ามากมาย  จนปัจจุบันนี้เปิดมาได้ 15 ปี เศษๆ และกิจการของเขาได้ขยายออกเป็น 2 สาขา และมีเงินทองมากมาย  พอที่จะทำอะไรก็ได้ 

 

            คุณติ๊กเขาบอกกับฉันว่า  ถ้าเป็นไปได้ เขาอยากที่จะย้อนเวลากลับไปอีกครั้ง เพื่อที่เขาจะไม่ใช้ชีวิตที่มักง่าย เชื่อและไว้ใจใครคนอื่นมากเกินไป  คิดแค่ว่าพ่อแม่ของตนเองมีเงินแล้วจะทำให้คนอื่นรักตนอย่างจริงใจ  และเขาจะตั้งใจเรียนให้มากกว่านี้  เพราะเขาคิดว่าถ้าเขามีความรู้มากกว่านี้  เขาก็คงจะไม่ถูกหลอก  และเขาคงมีวิธีใช้การต่างๆที่จะสร้างร้านของตัวเองด้วยสมอง  ไม่ไช่ว่าจะต้องมาลำบากขนาดนี้   

 

ท้ายบทความที่ 2

 

นี่แหละน๊าคนเรา  เปรียบเสมือนการข้ามถนน  ถ้าไม่มีใครโดนรถชน   ก็คงไม่ใครที่จะคิดข้ามสะพาน หรือทางม้าลาย    ทุกคนคงจะยังทำตัวมักง่าย  เดินข้ามถนนประเภทที่ว่ารถนะต้องหลบฉัน   แต่ก็ยังถือว่าเรื่องราวของคุณติ๊กยังโชคดีนะ ที่อาจจะเป็นเพราะโชคชตาหรือความฟลุคของเขาก็เป็นได้ที่ทำให้เขามีชีวิตที่ดีในตอนนี้  และถ้าทุกคนเป็นเหมือนเขาก็ดีไป  แต่ถ้าเป็นมันไม่เป็นอย่างคเณติ๊กล่ะ  คุณจะทำอย่างไร   นี่แหละค่ะ  ชีวิตของคนเรานั้นควรที่จะมีไว้เพื่อวางแผนที่จะป้องกัน  ไม่ใช่ว่าชีวิตเราจะมีไว้เพื่อวางแผนที่จะแก้ไข  ทุอท่านก็ลองคิดอูนะคะว่าอย่างใหนเหรอที่คุณจะรู้สึกดีกว่ากัน    ขอให้ทุกคนโชคดีนะคะ

เขียน/เรียบเรียง โดย พัชรินทร์ แต่งภูเขียว (เป็ดน้อย)

ต้องการแสดงความคิดเห็นได้...ที่Email-ptangpukeaw@yahoo.com

Email-ptangpukeaw@yahoo.com				
26 มีนาคม 2550 04:57 น.

ล้มแล้ว ไม่ท้อ

ลูกเป็ด

กระทั่งเมื่อเวลาผ่านไปจน เขาอายุ ได้ 25 ปีเขายังไม่มีอะไรเป็นของตัวเอง ไม่มีงาน อาศัยบารมีพ่อแม่มีมั่งมีร่ำรวยและเที่ยวสนุก พร้อมกับแฟนสาวของเค้าไปวันๆ  และแล้วท้ายที่สุดแต่ยังไม่สุดท้ายนะคะ  พ่อ กับ แม่ ของเข้าจึงได้ส่งติ๊กไปอยู่กับญาติที่ ประเทศอมริกา และก็หวังว่าญาติทุกคนจะช่วยเหลือกันฝึกติ๊กให้กลายเป็นคนที่ดี และมีความเก่งด้านการค้าขายได้เป็นอย่างดี  ติ๊กได้ไปอยู่อเมริกา โดยมีแฟนของเขาไปด้วย  ไม่น่าเชื่อได้เลยว่าคนอย่างติ๊กจะมีพรสวรรค์ด้านการค้าขายจริงๆ  และติ๊กเขาก็บอกกับตัวเขาเองว่าฉันมาถูกทางแล้ว  และตั้งแต่นั้นมาติ๊กก็เริ่มที่จะเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น รู้จักทำงานและหาหนทางที่จะมีธุรกิจของตนเอง

 

            ติ๊กธุรกิจร้านอาหารกับญาติที่อเมริกา  ต่อมาเขาก็ต้องการมีร้านเป็นของตนเองแต่เขายังไม่เข้าใจระบบการเงินที่อเมริกาสักเท่าไร  กลัวว่าตัวเองจะเสียภาษีการค้า และอะไรอีกต่างๆนาๆ ทำให้ร้านใหม่ที่ตนเองเปิดนั้นให้ใช้เป็นชื่อของญาติ ซึ่งมีสักเป้นน้าแท้ๆของตนเอง  และกิจการของเขาก็ไปได้ดีเลยทีเดียว  ทุกครั้งที่ติ๊ก เขาได้เงินเยอะมาจากการทำร้านอาหาร สวนหนึ่งเขาจะไม่นำไปฝากธนาคาร เพราะคิดว่าเขาจะได้เสียภาษีเยอะเกินไป เลยนำเงินไปลงทุนทำธุรกิจอื่นๆอีกมากมาย โดยใช้เป็นของน้าสาวตนว่าเป็นเจ้าของกิจการ  ทุกคนเรียกติ๊กว่าเศรษฐีติ๊ก  แต่แล้วเขาก็เป็นเศรษฐีติ๊กไม่นาน  เขาต้องล้มละลายไม่เหลืออะไรเลยเพราะความไว้เนื้อเชื่อใจคนที่เขาเรียกว่าน้า  ซึ่งได้โกงเงินและทรัพย์สมบัติต่างๆที่ติ๊กเค้าสร้างและหามากับมือไปต่อหน้าต่อตา  ซึ่งติ๊กก็ไม่สามารถที่จะเอาผิดเขาได้เลย เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่าง ที่ติ๊กสร้างขึ้นมานั้น เป็นชื่อของน้าหมดเลย  นี่และหนา ที่เค้ามีสุภาษิตอยู่ หนึ่งประโยคที่บอกว่า “เงินไม่เข้าใครออกใคร....เงินไม่มีคำว่าญาติหรือพี่น้อง”    ก็อย่างว่าเมื่อหมดเงิน ก็เริ่มที่จะหมดทุกสิ่งทุกอย่างตามมาไม่ว่าจะเป็นเพื่อน ลูกน้องที่เคยร่วมงาน บริวารต่าง หรือ แม้กระทั่งเมีย  ที่บอกว่ารักเราหนักหนาสุดท้ายก็ทิ้งไปอย่างหน้าตาเฉยโดยไม่สนใจใยดีเลย  คุณติ๊กเขาบอกกับฉันว่า เขาแทบบ้า เงินในกระเป๋าที่ต้องใช้ตลอดทั้งเดือนเหลืออยู่ 5 $ เงินไทยก็ประมาณ ร้อยกว่าบาท  ถ้าอยู่ที่เมืองไทยนะ ก็พอที่จะซื้อข้าวอิ่มไปหลายมื้อ แต่สำหรับที่อเมริกา มันจะซื้ออะไรได้  เขามองซ้ายขวา มองไปรอบตัว ซึ่งไม่มีทั้งบ้าน ญาติ พี่น้องหรือคนที่รู้ใจ เขาไม่มีเลย สิ่งที่เขาต้องการที่จะทำในตอนนั้นคือฆ่าตัวเองให้ตายเสีย  

 

โชคชตายังไม่ต้องการให้เขาตาย  เขามองไปเห็นเด็ก คนแก่ และอีกหลายคนรอบๆตัวเขาที่ลำบาก และแย่กว่าเขาเป็นอยู่อีกมาก  แต่เขาเหล่านั้นก็ยังสามารถที่จะยืนหยัดอยู่ในโลกใบนี้ได้    คุณติ๊กเขาเลยบอกกับฉันว่า แล้วทำไมเล่าฉันถึงต้องจากไปจากโลกนี้โดยไร้คุณค่าเสีย  เพราะคนเหล่านี้แหละ  ที่ทำให้เขากลับมามีกำลังใจที่จะต่อสู้ชีวิตต่อไปข้างหน้าอีก  เขาเริ่มออกไปหาสมัครงานตามที่ต่างๆ  จนในที่สุดเขาได้งานทำที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง เป็นเด็กเสริฟดีๆนี่เองโดยเริ่มงานตั้งแต่ บ่าย  5 โมงเย็น จนถึง เที่ยงคืน หลังจากนั้นบางคืนของคุณติ๊ก เขาก็อาสารับล้างจานแทนคนงานคนอื่น เพื่อที่คุณติ๊กจะได้มีรายได้เพิ่มขึ้นอีก กว่าจะได้กลับบ้านก็เกิบ ตี 3   และงานที่สองของเขาคือ ส่งหนังสือพิมพ์ตามบ้านให้เสร็จก่อนเวลา07.30 น. และกลับมาถึงบ้านตอน

08.30น.เพื่อพักผ่อนนอนหลับ  และต้องตื่นนอน ตอน11โมง เพื่อเตรียมตัวไปรับ job อีกหนึ่งอย่างคือ งานรับขัดรองเท้าที่ในเมือง  ตั้งแต่เวลา 12.00น. จนถึง 4โมงเย็น ทำแบบนี้เป็นประจำทุกวัน

 ตอนแรกก็รู้สึกแย่เหมือนกัน เพราะว่าจากที่เคยเป็นเจ้าของร้านอยู่ดีๆกลับกลายมาเป็นเด็กเสริฟและเด็กส่งหนังสือพิมพ์และเด็กขัดรองเท้าเสียนี่  แต่ว่าคนเรามันเลือกเกิดไม่ได้ ใครจะรู้ว่ามันจะต้องเป็นแบบนี้ แต่เขาก็ไม่ท้อเพราะเขาตั้งใจไว้ว่าจะตั้งใจทำงานเก็บเงินสักก้อนเพื่อเปิดร้านของตนอีกครั้ง  

            คุณติ๊กเขาทำงานเป็นเด็กเสริฟอยู่5ปี มีเงินเก็บเยอะพอควร  แต่ก็ยังไม่พอที่สำหรับเปิดร้านเป็นของตนเอง  เขาคิดว่าตัวเขาเองก็พอที่จะรู้จักใครอยู่บ้างในอเมริกา  เขาเลยไปขอกู้ยืมเงินกับคนที่รู้รัก  ร้อยละเท่าไรก็ไม่ว่ากันและเขาก็ไปขออ้อนวอนเจ้าของเงินอยู่หลายครั้ง  จึงทำให้เจ้าของเงินใจอ่อน และมองเห็นความตั้งใจจริงของคุณติ๊ก

            จากนั้นเขาก็ไปเช่าตั้งอยู่ในตัวเมืองเพื่อที่จะเปิดร้าน   เขาดีใจและตื่นเต้นมากที่ได้กลับมาเป็นเจ้าของธุรกิจเองอีกครั้ง เขาสัญญกกับตัวเองว่าจะดูแลร้านนี้ให้ดีที่สุด  ต่อมาเชื่อไหมว่าเขาเปิดร้านมาได้สามเดือนแล้วไม่เคยมีลูกค้า ถึง 3 โต๊ะต่อวันเลยสักครั้ง   พอเริ่มเข้าเดือนที่ 4 เขาก็เริ่มที่จะเหนื่อยและเจอปัญหาอีกแล้ว  ใหนจะปัญหาไม่มีลูกค้า ปัญหาต้องจ่ายเงินเดือนลูกค้า ปัญหาค่าเช่าตึกที่ทำร้านอาหาร ปัญหาที่ต้องจ่ายเงินที่ยืมเขามาทำธุรกิจทั้งต้นและดอก ถ้าไม่มีมาใช้เขา เขาจะมายึดของทั้งหมดในร้านที่เป็นของคุณติ๊ก    เขาบอกกับฉันว่า เขาต้องนั่งเศร้าถามตัวเองอยู่ตลอดว่านี่ฉันจะต้องหมดตัวอีกหรือ ทำไมนะท่ามกลางโลกใบใหญ่ผู้คนมากมาย แต่ทำไมนะเหมือนกับว่าโลกทั้งใบมีเพียงตัวฉัน  !!!! แต่ว่าในนาทีนั้นเองจิตวิญญานที่กล้าหาญของคุณติ๊กก็ได้ออกมาต่อสู้เพื่อบดบังจิตวิญญานที่อ่อนแอให้ออกไปไกลจากตัวเขา เพื่อไม่ให้เขาเกิดท้อแท้และสร้างให้เขามีกำลังที่จะต่อสู้ต่อไป 

 

            ต่อมาเขาได้เข้าไปหาเจ้าหนี้เพื่อขอต่อเวลาในการชำระหนี้สินและไปขอผ่อนผันการจ่ายค่าเช่าของเขา อาจเป็นความโชคดี หรือเป็นเพราะน้ำเสียงอ้อนวอนที่อ่อนหวานนุ่มนวลของเขา จึงทำให้เจ้าหนี้ยอมที่จะต่อเวลาการชำระหนี้ออกไปอีก  ต่อจากนั้นเขาเลยยอมที่จะจ้างลูกน้องน้อยลง  ยอมลดตัวเองลงมาเป็นทั้งเด็กเสริฟ คนล้างจาน บ้างในแต่ละวัน  ก็อย่างละนะไม่ว่าจะทำอะไรถ้าจะดีได้ต้องไม่ท้อ  เพราะทุกอย่างมันต้องใช้เวลากันทั้งนั้น  รวมไปถึงจิตใจของคนก็เช่นกัน จะดูแค่ภายนอกก็ไม่สามารถที่จะรู้ถึงจิตใจของคนได้   

 

            คุณติ๊กเขาใช้เวลาที่เขามีอยู่ทั้งหมดทุ่มเทกับร้านของเขาอย่างจริงจัง  และไม่เคยที่จะมองลูกน้องของตนที่เหลืออยู่เป็นเพียงแค่ลูกน้องเท่านั้น   คุณติ๊กเขาให้ความสำคัญกับลูกน้องเสมือนเพื่อน พี่ น้อง เหมือนอยู่ในครอบครัวเดียวกัน  จึงทำให้ทุกคนรักเขามากและยอที่จะทุ่มเททั้งกาย ใจ ในการทำงานให้กับคุณติ๊กอย่างเต็มใจ  จากนั้นร้านของเขาก็ไปได้ดี มีลูกค้ามากมาย  จนปัจจุบันนี้เปิดมาได้ 15 ปี เศษๆ และกิจการของเขาได้ขยายออกเป็น 2 สาขา และมีเงินทองมากมาย  พอที่จะทำอะไรก็ได้ 

 

            คุณติ๊กเขาบอกกับฉันว่า  ถ้าเป็นไปได้ เขาอยากที่จะย้อนเวลากลับไปอีกครั้ง เพื่อที่เขาจะไม่ใช้ชีวิตที่มักง่าย เชื่อและไว้ใจใครคนอื่นมากเกินไป  คิดแค่ว่าพ่อแม่ของตนเองมีเงินแล้วจะทำให้คนอื่นรักตนอย่างจริงใจ  และเขาจะตั้งใจเรียนให้มากกว่านี้  เพราะเขาคิดว่าถ้าเขามีความรู้มากกว่านี้  เขาก็คงจะไม่ถูกหลอก  และเขาคงมีวิธีใช้การต่างๆที่จะสร้างร้านของตัวเองด้วยสมอง  ไม่ไช่ว่าจะต้องมาลำบากขนาดนี้   

 

ท้ายบทความที่ 2

 

นี่แหละน๊าคนเรา  เปรียบเสมือนการข้ามถนน  ถ้าไม่มีใครโดนรถชน   ก็คงไม่ใครที่จะคิดข้ามสะพาน หรือทางม้าลาย    ทุกคนคงจะยังทำตัวมักง่าย  เดินข้ามถนนประเภทที่ว่ารถนะต้องหลบฉัน   แต่ก็ยังถือว่าเรื่องราวของคุณติ๊กยังโชคดีนะ ที่อาจจะเป็นเพราะโชคชตาหรือความฟลุคของเขาก็เป็นได้ที่ทำให้เขามีชีวิตที่ดีในตอนนี้  และถ้าทุกคนเป็นเหมือนเขาก็ดีไป  แต่ถ้าเป็นมันไม่เป็นอย่างคเณติ๊กล่ะ  คุณจะทำอย่างไร   นี่แหละค่ะ  ชีวิตของคนเรานั้นควรที่จะมีไว้เพื่อวางแผนที่จะป้องกัน  ไม่ใช่ว่าชีวิตเราจะมีไว้เพื่อวางแผนที่จะแก้ไข  ทุอท่านก็ลองคิดอูนะคะว่าอย่างใหนเหรอที่คุณจะรู้สึกดีกว่ากัน    ขอให้ทุกคนโชคดีนะคะ

เขียน/เรียบเรียง โดย พัชรินทร์ แต่งภูเขียว (เป็ดน้อย)

ต้องการแสดงความคิดเห็นได้...ที่Email-ptangpukeaw@yahoo.com

Email-ptangpukeaw@yahoo.com

 				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟลูกเป็ด
Lovings  ลูกเป็ด เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟลูกเป็ด
Lovings  ลูกเป็ด เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟลูกเป็ด
Lovings  ลูกเป็ด เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงลูกเป็ด