23 ตุลาคม 2551 23:53 น.

หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม...สอนผีให้รับศีล

ลุงแทน

หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม แห่งวัดอรัญญวิเวกบ้านข่า ตำบลบ้านข่า อำเภอศรีสงคราม จังหวัดนครพนม ท่านเป็นศิษย์องค์สำคัญรูปหนึ่งของท่านพระอาจารย์



หลวงปู่ ตื้อเป็นพระสุปฏิปันโน ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติตรงต่อองค์มรรคคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นิสัย , จิตใจของท่านเป็นคนจริง คนตรง คิดอย่างไรก็จะพูดเช่นนั้น ไม่นิยมปรุงแต่งถ้อยคำวาจาให้ไพเราะรื่นหู ดังนั้นการแสดงธรรมคำสอนของท่านจึงเผ็ดร้อนไม่มีอ้อมค้อมเยิ่นเย้อ ว่ากันว่าคนหน้าบางหรือมีกิเลสครอบงำอย่างหนา เจอถ้อยคำวาจาของ หลวงปู่ตื้อเข้าถึงกับหูร้อนฉ่า ผิวหน้าผะผ่าวไปเลยทีเดียว


คำ พูดของหลวงปู่ตื้อเป็นที่เลื่องลือว่าตรงไปตรงมา จี้จุดเข้าเป้าตรงเผ็ง ถ้าจะให้อุปมาก็คงเปรียบได้ดั่งขวานใหญ่คมกริบที่หวดคมกระหน่ำเข้าผ่าท่อน ฟืน เปรี้ยงเดียว ท่อนฟืนถูกผ่าตั้งแต่หัวยันท้าย แยกกระเด็นเป็นสองซีกทันที


ปฏิปทาอันโลดโผงผาง และตรงไปตรงมาของท่านนั้นเป็นจริตนิสัยที่ไม่มีการปรุงแต่งใดๆทั้งสิ้น ผิดหรือถูกชั่วหรือดีท่านแยกแยะจนกระจ่างชัดเจน โดยเฉพาะเรื่องเทศนาสอนคนด้วยแล้วท่านสอนชนิดเผ็ดร้อนถึงใจทีเดียว หลวงปู่ตื้อมักพูดเสมอว่า


“เราเทศน์เรื่องจริง เราไม่เอาใจใคร เอาใจผู้คนก็เท่ากับเลี้ยงกิเลสให้อ้วนพี เรามีความจริงใจ เราไม่ได้เทศน์เอาบุหรี่เกล็ดทองของใคร”


เช่นครั้งหนึ่ง หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม มีหมายกำหนดการไปเทศนาและอบรมกรรมฐานที่วัดอโศการาม จังหวัดสมุทรปราการ สานุศิษย์และศรัทธาญาติโยมไปประชุมกันเนืองแน่นเต็มศาลาใหญ่


ใน วันนั้นหลวงปู่ตื้อเทศนาแสดงธรรมได้กระจ่างชัด ทั้งเบื้องต้น เบื้องกลาง กระทั่งประโยสาน ท่านชี้ให้เห็นตัวทุกข์ เหตุแห่งความทุกข์และวิธีจะดับทุกข์ได้อย่างไร พร้อมกันนั้นท่านยังอรรถาธิบายถึงความยึดติดยึดมั่นความเป็นตัวตนของกูตัวกู ไม่ยอมปล่อยไม่ยอมวาง หากปล่อยวางเสียได้ จิตใจย่อมจะผ่องใสปลอดโปร่ง ความโกรธ ความโลภ ความหลงใดๆก็จะผ่อนคลายเบาบางและถึงขั้นอันตรธานสิ้นไป เหลืออยู่แต่ความเบาสบายในที่สุด

อุบาสก อุบาสิกา ศรัทธาญาติโยมรับฟังแล้วและใช้ความคิดพินิจไตร่ตรองตามข้อธรรมที่ท่านแสดง ต่างบังเกิดความเข้าใจอย่างลึกซึ้งและเห็นจริงตามความเป็นจริง จิตใจเริ่มปล่อยวางจากความเป็นตัวตนของตน ไม่อยากยึดมั่นถือมั่นต่อไปอีก

อุบาสิกา ท่านหนึ่ง มีความซาบซึ้งดื่มด่ำในธรรมที่หลวงปู่ตื้อแสดงอย่างยิ่ง เมื่อท่านเทศน์จบลง อุบาสิกาท่านนี้ก็คลานคล้อยเข้าไปเบื้องหน้าธรรมาสน์ที่ท่านนั่งแสดงธรรม พนมมือนมัสการกราบเรียนหลวงปู่ว่า

“หลวงปู่เจ้าคะ อีฉันได้ฟังหลวงปู่เทศนาแล้ว เบากายเบาใจเหลือเกิน อีฉันปล่อยวางได้หมดแล้วเจ้าค่ะ”

“อนุโมทนาด้วยคุณโยม ที่เกิดดวงตาเห็นธรรม”

“อีฉันไม่ยึดมั่นถือมั่นอีกต่อไปแล้วเจ้าค่ะหลวงปู่”

หลวงปู่ตื้อนิ่งไปนิดหนึ่ง ก่อนจะพูดเสียงดังฟังชัดว่า

“อีตอแหล!”

สิ้น คำหลวงปู่ อุบาสิกาท่านนั้นถึงกับหน้าแดงก่ำทั้งโกรธทั้งอาย ต่อว่า หลวงปู่ตื้อเสียงสั่นว่าทำไมท่านจึงมาด่าว่าตนท่ามกลางสาธารณชนเช่นนี้ หลวงปู่ตื้อได้แต่หัวเราะหึๆไม่อธิบายโต้ตอบอะไร ขณะที่คนทั้งศาลาหัวเราะกันครืน

เพราะเป็นที่แน่ชัดแล้วว่า อุบาสิกาปล่อยวางอะไรไม่ได้เลย และยังยึดมั่นตัวตนของตนอย่างเหนียวแน่นครบถ้วน

นี่ละ...คือปฏิปทาโลดโผนโผงผางของหลวงปู่ตื้อ

หลวง ปู่ตื้อ อจลธัมโม มีเพื่อนสหธรรมมิกที่สนิทกันอย่างมากรูปหนึ่ง ท่านผู้นั้นคือหลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ วัดดอยแม่ปั๋ง จังหวัดเชียงใหม่ ความสนิทสนมเป็นที่ถูกอัธยาศัยของหลวงปู่ทั้งสองนี้ออกจะเป็นเรื่องแปลกไม่ น้อย เนื่องจากจริตนิสัยของแต่ละท่านห่างไกลกันชนิดสุดขั้ว

หลวงปู่ ตื้อเป็นคนพูดจาโผงผาง ตรงไปตรงมาและพูดเก่ง แต่หลวงปู่แหวนไม่ชอบพูด วันทั้งวันไม่ได้ยินเสียงพูดของท่านเลยก็ว่าได้ หากไม่มีความจำเป็นท่านจะไม่พูด ทว่าท่านทั้งสองกลับถูกอัธยาศัยกันอย่างยิ่ง

หลวงปู่ตื้อพบกับหลวง ปู่แหวนครั้งแรก ขณะที่ท่านทั้งสองเพิ่งจะเริ่มออกจาริกธุดงค์ได้ไม่นานและยังเป็นพระมหา นิกายอยู่ ไปพบกันในป่าบนเทือกเขาภูพานโดยต่างฝ่ายต่างมาคนละทิศ หลังจากท่านทั้งสองสนทนาปราศรัยกันพอสมควรจึงทราบจุดประสงค์เหมือนกันอีกว่า ปรารถนาจะไปปราศรัยกันพอสมควรจึงทราบจุดประสงค์เหมือนกันอีกว่า ปรารถนาจะไปฝากตัวเป็นศิษย์ ท่านพระอาจารย์


แม้จะเป็นพระใหม่ อ่อนพรรษา แต่พระหนุ่มทั้งสองรูปมีส่วนหนึ่งที่เหมือนกันคือ มีความองอาจกล้าหาญที่จะจาริกไปตามป่าเขาแนวไพรเพียงรูปเดียว เพื่อบำเพ็ญธรรมกระทำความเพียรอย่างแน่วแน่ มิได้หวั่นไหวพรั่นพรึงต่อความยากลำบากใดๆทั้งสิ้น


เมื่อหลวงปู่ ทั้งสองต่างสบอัธยาศัยต่อกันยิ่ง จึงได้ตกลงร่วมทางจาริกไปยังฝั่งลาวด้วยกัน โดยออกจากเขตไทยทางอำเภอเชียงคานข้ามแม่น้ำโขงไปสู่ราชอาณาจักรลาว สมัยนั้นแผ่นดินลาวยังมีป่าอุดมสมบูรณ์ครอบคลุมไปทั่วประเทศ นับเป็นสถานรื่นรมย์ของพระธุดงค์กรรมฐานที่จะท่องเที่ยวจาริกไปเพื่อบำเพ็ญ สมณธรรมกระทำความเพียร


ก่อนที่จะดำเนินเรื่องของหลวงปู่ตื้อ อจลธัมโมในลำดับต่อไป ขออนุญาตนำเรื่องราวของท่านและสหธรรมมิกรูปสำคัญคือหลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ วัดดอยแม่ปั๋ง จังหวัดเชียงใหม่มาเล่าแทรกไว้ ณ ที่นี้ก่อน เนื่องจากเรื่องดังที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้ออกจะเป็นเรื่องแปลกทีเดียว และ เป็นเรื่องซึ่งหลวงปู่ทั้งสองได้ร่วมกันผจญกับวิญญาณมิจฉาทิฐิที่มิรู้ว่า สิ่งใดผิดสิ่งใดถูก สิ่งใดควรสิ่งใดไม่ควร ดังนี้


เหตุการณ์ เผชิญวิญญาณซึ่งเป็นประสบการณ์ธุดงค์ของ หลวงปู่ตื้อและหลวงปู่แหวน ที่จะนำมาแสดงครั้งนี้ เกิดขึ้นคราวที่ท่านทั้งสองจาริกธุดงค์ไปยังประเทศลาวและพม่า กระทั่งกลับคืนสู่ประเทศไทยทาง “กอระเรก” เข้ามายังอำเภอแม่สอดจังหวัดตาก เมื่อถึงแผ่นดินไทยแล้วท่านก็มุ่งหน้าสู่จังหวัดเชียงใหม่เนื่องจากทราบข่าว ว่าท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโตอยู่ที่เชียงใหม่ เส้นทางซึ่งหลวงปู่ทั้งสองจาริกไปนั้นผ่านป่ามาโดยตลอด ไม่พบหมู่บ้านหรือผู้คนสัญจรแม้แต่คนเดียว


ระหว่างทางพบศาลา เก่าๆ หลังหนึ่งปลูกสร้างอยู่กลางป่า แสดงว่าคงมีหมู่บ้านไม่ไกลนัก ศาลาแห่งนี้ชาวบ้านคงปลูกสร้างไว้เพื่อให้เป็นที่พักชั่วคราวสำหรับคนเดิน ทาง หลวงปู่ตื้อกับหลวงปู่แหวนตกลงพักอยู่ที่ศาลานี้โดยแขวนกลดไว้ตรงมุมศาลาคน ละฟาก คืนนั้นผ่านไปโดยปกติ เช้ารุ่งขึ้นท่านทั้งสองก็ออกโคจรบิณฑบาตรไปที่หมู่บ้าน ได้อาหารกลับมาที่ศาลาแล้ว พอวางบาตรลงเท่านั้นก็เกิดเรื่องทันที


หลวง ปู่แหวนซึ่งนั่งอยู่บนพื้นศาลา พลันมีกิริยาอาการผิดปกติขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ ท่านเอนตัวไปข้างหน้า เอามือสองข้างยันพื้นกระดานไว้ ขากรรไกรแข็ง น้ำลายไหลยืด หน้าท้องก็แข็งไปหมด หลวงปู่ตื้อเห็นตอนแรกคิดว่าเพื่อน สหธรรมมิกเป็นลมจึงถามไปว่า

“ท่านแหวนเป็นอะไร”


หลวงปู่ แหวนไม่ตอบ ได้แต่นั่งตัวแข็งน้ำลายไหลไม่หยุด คราวนี้หลวงปู่ตื้อฉุกคิดสงสัยขึ้นมาว่าคงไม่ได้การแน่ ท่านจึงกำหนดจิตเข้าสมาธิพิจารณาดูก็รู้ว่ามีผีบังอาจกระทำฤทธิ์กับหลวงปู่ แหวน


เมื่อถอนจิตออกจากสมาธิแล้วหลวงปู่ตื้อยังไม่รู้จะกำราบ ปราบผีด้วยวิธีไหน เนื่องจากขณะนั้นท่านกับหลวงปู่แหวนยังฝึกจิต ไม่ถึงขั้นมีอำนาจกล้าแข็งเท่าไหร่ วิชาอาคมอะไรก็ไม่ได้เรียนมา


แต่ จะให้หลวงปู่ตื้อยอมพ่ายแพ้ต่อฤทธิ์อำนาจภูตผีวิญญาณง่ายๆ ย่อมมิใช่วิสัยของท่าน หลวงปู่จึงข่มขู่ด่าว่าผีที่กำลังกระทำต่อหลวงปู่แหวนไม่ยั้งกันละ แต่ผีมันไม่กลัวท่านเอาเสียเลย หลวงปู่ตื้อต้องหาอุบายใหม่ จัดแจงหอบ ใบไม้แห้งมากองไว้แล้วจุดไฟ พอไฟลุกท่านก็เอาก้อนดินแห้งใส่เข้าไปเผาจนร้อน แล้วเอาไม้มาทำเป็น ไม้หนีบคีบดินร้อนๆ ขึ้นมา พลางขู่ผีเสียงดังลั่นว่า

“คราวนี้ ถ้าเจ้าไม่ออกจากร่างพระสงฆ์องค์เจ้า ไม่เกรงกลัวบาปกรรมละก้อเราจะเผาเจ้า”


ยื่น ไม้หนีบก้อนดินร้อนฉ่าไปใกล้ๆ หน้าหลวงปู่แหวนเพื่อข่มขู่ผีที่เข้าสิงท่าน แต่ผีมันก็ยังไม่กลัวอีก ขัดใจขึ้นมาหลวงปู่ตื้อไม่คิดแค่ขู่แล้ว หากเอาจริงๆ

“หากเจ้าไม่ออก เราจะเผาเจ้าด้วยดินจี่นี่ให้ดู”

ว่า แล้วหลวงปู่ตื้อก็เอาดินเผาไฟร้อนฉ่าลางลงบนศีรษะหลวงปู่แหวนจริงๆ ผีเจอเข้าแบบนี้มันถึงได้ยอมออกไป หลวงปู่แหวนจึงกระดุกกระดิกได้ เมื่อรู้ตัวเป็นปกติแล้วหลวงปู่แหวนบอกแก่เพื่อนสหธรรมมิกของท่าน สั้นๆว่า

“มันจะเอาผมตายจริงๆ นะ ท่านตื้อ”


เช้า วันนั้น หลังจากฉันเสร็จ ล้างบาตรเรียบร้อยแล้ว หลวงปู่แหวนก็เก็บอัฐบริขารเพื่อออกจาริกต่อไป แต่หลวงปู่ตื้อไม่ยอมไป ท่านบอกกับหลวงปู่แหวนว่า


“ท่านแหวนไปรอข้างหน้านะ ผมจะจัดการกับผีตนนี้สักหน่อย”


หลวง ปู่แหวนไม่ยอมอยู่ด้วย เก็บอัฐบริขารเสร็จก็เดินล่วงหน้าไปเพียงลำพัง ปล่อยให้หลวงปู่ตื้อรับมือกับผีที่ศาลากลางป่าแต่เพียงรูปเดียว

ตลอด วันนั้นหลวงปู่ตื้อนั่งเจริญสมาธิ เดินจงกรมอยู่ที่ศาลา กลางป่าเป็นปกติ กระทั่งเวลาล่วงเข้าสายัณห์สมัย ท่านก็ทำวัตรสวดมนต์อันเป็นกิจของสงฆ์ จากนั้นจึงเข้าที่ภาวนาภายในกลด กำหนดจิตเข้าสู่สมาธิตามลำดับ เมื่อจิตรวมเป็นหนึ่งเดียวก็บังเกิดแสงโอภาสสว่างไสวไปทั่ว


ขณะ อยู่ในสมาธิได้เกิดนิมิตเห็นผีผู้หญิงผุดขึ้นมาเบื้องหน้า และผีตนนั้นก็ดิ่งเข้ามาหาหลวงปู่ตื้อด้วยกิริยาไม่น่าไว้วางใจ วิสัยของหลวงปู่ตื้อท่านไม่เคยหวาดหวั่นพรั่นพรึงต่อสิ่งใดอยู่แล้ว เมื่อเห็นผีตรงรี่เข้ามาหาท่านจึงเพ่งจิตเข้าหยุดมันให้ชะงักงัน แล้วท่านก็ถามว่า “เจ้ามาจากไหน ถึงกล้าล่วงเกินต่อพระภิกษุผู้ทรงศีล”


ผีนางนั้นตอบว่า “ฉันตายทั้งกลม ลูกตายในท้อง เขาเอามาฝังไว้ที่นี่”

หลวงปู่ตื้อถามอีกว่า “เจ้าใช่ไหมที่กระทำต่อพระภิกษุ” ผีก็รับว่า “ใช่”

ท่านถามต่อไปอีกว่า “ทำไมบังอาจกระทำเช่นนั้น ไม่รู้หรือว่าเป็นบาปกรรม”

ผีตอบว่า “ฉันชอบพระรูปนั้น ท่านสวยดี ฉันจะเอาพระรูปนั้นไปเป็นผัว”

หลวง ปู่ตื้อได้ฟังแล้วก็เกิดความสลดสังเวช พิจารณาเห็นภัยแห่งกามกิเลสซึ่งร้อยรัดมัดตรึงจิตใจของสัตว์โลกให้ตกต่ำดำ มืดอยู่กับดำกฤษณา ไม่รู้ดีรู้ชั่วถึงเพียงนี้ ดูเช่นผีตายทั้งกลมนางนี้เอาเถิด ขนาดตายไปผุดเกิดอยู่ในภูมอัน เป็นทุกข์ ก็ยังไม่วายจะเกิดอารมณ์ปฏิพัทธ์รักใคร่พระภิกษุที่ตนพึงใจอย่างหน้ามืดตา มัว ไม่กลัวบาปกรรมใดๆทั้งสิ้น


หลวงปู่ตื้อเห็นนางผีมีจิตอกุศล เช่นนี้ ท่านจึงว่ากล่าวให้รู้ว่าเจตนาและการกระทำของมัน ที่ล่วงเกินพระภิกษุผู้กำลังบำเพ็ญสมณธรรมเพื่อการหลุดพ้นจากสังสารวัฏเช่น นี้เป็นบาปกรรมอันหนักยิ่ง ตนเองเป็นผีเป็นเปรตได้รับทุกขเวทนาสาหัสอยู่แล้วยังอยากจะตกนรกหมกไหม้หนัก เข้าไปกว่าเดิมอีกหรือ หลังจากชี้แจงแสดงเหตุผลให้เห็นถึงบาปบุญคุณโทษแล้ว หลวงปู่ตื้อก็ให้ผีตายทั้งกลมรับศีลไปปฏิบัติรักษา เพื่อจะได้มีโอกาสไปผุดเกิดในภพภูมิอันประเสริฐยิ่งกว่าที่เป็นอยู่



นี่ละคือหลวงปู่ตื้อ แม้แต่ผีท่านก็ยังให้รับศีลจนได้


ผี ตายทั้งกลมนางนั้นหลังจากได้รับการอบรมมาจากหลวงปู่ตื้อ มิจฉาทิฐิก็ผ่อนคลายลง เริ่มรู้ดีรู้ชั่วมากขึ้นกว่าเดิม ผีสารภาพว่าไม่รู้หลวงปู่แหวนเป็นพระภิกษุ เห็นท่านสวย ผิวขาวผ่องใส ก็เกิดนึกรักอยากจะให้มาอยู่ด้วยกัน แสดงว่าขณะที่ผีตนนั้นเป็นมนุษย์คงไม่รู้จักพระภิกษุในพระพุทธศาสนา เป็นคนบ้านป่าถิ่นเถื่อนห่างไกลความเจริญอย่างแท้จริง

หลวงปู่ตื้อ พักอยู่ที่ศาลาแห่งนี้เป็นเวลาถึง ๑ เดือนเต็ม ๆ ตลอดระยะเวลาเหล่านั้นท่านแผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลให้ผีตายทั้งกลมสม่ำเสมอ และสอนนางผีตนนั้น ให้รู้จักบาปบุญคุณโทษ กระทั่งจิตวิญญาณอ่อนโยนลง ครั้นเห็นผีเกิดกุศลความดีขึ้นในจิตพอสมควรแล้วจึงสั่งสอนเป็นครั้งสุดท้าย ว่า



“ตั้งแต่นี้ต่อไป เจ้าจงอย่ากระทำล่วงเกินพระธุดงค์ที่จาริกผ่านมาเป็นอันขาด เห็นท่านพบท่านจงอนุโมทนาสงเคราะห์ทุกรูป ทุกองค์ไป”


จาก นั้นหลวงปู่ตื้อก็เก็บอัฐบริขารจาริกออกจากศาลากลางป่า ติดตามหลวงปู่แหวนไปที่เชียงใหม่ เมื่อพบหลวงปู่แหวนแล้วท่านทั้งสองพากันไปกราบนมัสการพระอาจารย์				
21 ตุลาคม 2551 20:44 น.

"ชีวิตบัดซบ พ่อแม่สุดเลวขายลูก 5 ขวบเข้าซ่อง"

ลุงแทน

"ชีวิตบัดซบ พ่อแม่สุดเลวขายลูก 5 ขวบเข้าซ่อง"

"เสร็ย" ถูกพ่อแม่นำไปขายให้กับเจ้าของซ่องแห่งหนึ่งตั้งแต่เธออายุได้เพียง 5 ขวบถูก พวกแมงดาทำปู้ยี่ปู้ยำมาตั้งแต่ไม่ประสีประสา ก่อนจะส่งทอดผ่านมือชายคนแล้วคนเล่า ตอนนี้หนูน้อยอายุเพียง 6 ขวบ ได้รับความช่วยเหลือจากอดีตหญิงโสเภณีคนหนึ่ง

นี่คือเรื่องราวที่น่าเศร้าสลดจากกรุงพนมเปญ ไม่ใกล้ ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ -- ที่โทรทัศน์ซีเอ็นเอ็นนำออกตีแผ่

เด็กๆ ในวัยของเธอกำลังเตรียมตัวเข้าเรียนชั้นประถมศึกษา แต่หนูน้อยเสร็ย (Srey) คนนี้ กลับต้องลงนรกหมกไหม้ทั้งเป็นจากน้ำมือของพ่อและแม่บังเกิดเกล้า ที่ยังไม่มีผู้ใดทราบว่าได้อะไรจากการส่งลูกสาวเข้าซ่อง

แต่หญิงสาวหลายคนกล่าวว่า พวกเธอถูกนำไปขาย โดยมีค่าคนละ 100 ดอลลาร์เท่านั้น อีกคนบอกว่า พ่อแม่ของเธอได้เงินไปเพียง 10 ดอลลาร์

ภาพประกอบข่าวจากอินเตอร์เน็ต ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาข่าวใด ๆ ทั้งสิ้น
ภาพประกอบข่าวจากอินเตอร์เน็ต ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาข่าวใด ๆ ทั้งสิ้น

"ยูนิเซฟเข้าช่วยเหลือ"

"สุมาลี" (Somaly) อดีตหญิงขายบริการทางเพศ ซึ่งกลายมาเป็นผู้ปฏิบัติงานให้กับ UNICEF เป็นผู้สอดส่องดูแล และให้ที่พักพิงแก่เด็กกับหญิงสาวหลายสิบคนที่ตกเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์

โครงการ Save the Children ของยูนิเซฟประมาณว่า ในประเทศนี้มีเด็กและหญิงขายบริการทางเพศอยู่ระหว่าง 50,000-100,000 คน จำนวนที่แท้จริงอาจจะมากกว่านั้นในประเทศที่มีประชากรกว่า 14 ล้านคน และส่วนใหญ่ยากจนข้นแค้น มีรายได้วันละประมาณ 50 เซ็นต์ หรือ ไม่ถึง 20 บาท

เด็กกัมพูชาที่ประสบชะตากรรมเหล่านี้ จะผ่านทารุณกรรมมาหลายอย่าง ถูกทรมาน รวมทั้งถูกข่มขืนหมู่ และ การติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ ด้วย

ภาพประกอบข่าวจากอินเตอร์เน็ต ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาข่าวใด ๆ ทั้งสิ้น
ภาพประกอบข่าวจากอินเตอร์เน็ต ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาข่าวใด ๆ ทั้งสิ้น

"ต้องดูแลฟื้นฟูสภาพจิตใจ"

รายงานขององค์การสหประชาชาติ ราว 30% ของหญิงขายบริการในกรุงพนมเปญปัจจุบันนี้ เป็นเด็กสาวอายุต่ำกว่า 18 ปี

ข้อมูลของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ระบุว่า ในแต่ละปีจะมีเด็กๆ ถูกนำเข้าสู่อุตสาหกรรมเซ็กทั่วโลกกว่า 1 ล้านคน

"สุมาลี" กล่าวว่า ตอนนี้ที่ศูนย์พักพิงของเธอมีเด็กๆ อยู่ในศูนย์พักพิงจำนวน 53 คน แต่เสร็ยเป็นเหยื่อที่อายุน้อยที่สุด ทุกคนต้องการการฟื้นฟูทางจิตใจ แต่ก็ยังไม่มีใครเข้าดำเนินการในเรื่องนี้

อุตสาหกรรมเซ็กในกัมพูชามีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก องค์การสหประชาชาติตั้งข้อสงสัยว่า ประเทศนี้เป็นทั้งแหล่งต้นตอและทางผ่านสำคัญของขบวนการค้ามนุษย์ในระดับ ระหว่างประเทศ.				
21 ตุลาคม 2551 20:41 น.

ชีวิตบัดซบ

ลุงแทน

ชีวิตบัดซบ คำพูดนี้ฉันยังพูดติดปากมาจนปัจจุบัน
ถึงแม้อายุจะล่วงเลยมา เกือบครึ่งชีวิตแล้วก็ตาม มันเป็นคำที่ใช้พูด ประชดชีวิตตัวเองเสมอมา

ย้อนหลังไปเมื่อสมัยยี่สิบปีที่ผ่านมานั้น ฉันเคยทำงานเป็นเสมียนบัญชีของบริษัทใหญ่แห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ และได้รับ การแต่งตั้ง ให้เป็นเลขาประจำตัวผู้จัดการ ซึ่งฉันขอใช้ชื่อว่าคุณวิชิต ในตอนนั้นฉันอายุยี่สิบปี กำลังเป็นสาวไฟแรง ความใกล้ชิด ทำให้ฉันกับคุณวิชิต มีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกันมาตลอด โดยที่ฉันเต็มใจ และ พร้อมใจทุกครั้ง ที่เขาต้องการ

ต่อมาฉันเริ่มมีอาการผิดปกติ นั่นหมายถึงว่าฉันเริ่มตั้งครรภ์ นี่เองกลายเป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตบัดซบ ในช่วงพักกลางวัน วันหนึ่ง ฉันได้ถือโอกาส ปรารภกับเขา แต่เพียงลำพัง ในห้องทำงาน

"เอ่อ...ชิตคะ.." ฉันหันไปมองหน้าห้องอีกครั้งเพื่อความมั่นใจ

"มีอะไรจ๊ะนุช?" เขามองฉันอย่างขำๆ ที่เห็นฉันเหลียวหน้าเหลียวหลัง

"เอ่อ..นุชกำลังจะมีเด็กค่ะ.."

"หา.." เขาแสดงอาการตกใจเมื่อได้ยินคำนี้ พร้อมกับจ้องหน้าฉันเหมือนกับ กำลังจะค้นหาความจริงอะไรสักอย่าง
ก่อนที่จะกล่าว อย่างอารมณ์เย็น "ไหนเธอบอกพี่ว่าป้องกันแล้วเป็นอย่างดี แล้วทำไมถึงท้องได้?" เขาส่ายหน้า อย่างมีกังวล

"ฉันจำได้ว่าลืมทานยาไปครั้งหนึ่ง" ฉันกล่าวตอบพร้อมก้มหน้าทบทวน

"เป็นแบบนี้พี่ขายขี้หน้าเขาตายแน่ เธอรีบไปจัดการเสียก่อนที่มันจะสาย"

"จัดการยังไงคะ?" ฉันถามด้วยความสงสัย

"เอาออก ไว้ไม่ได้นะ" เขากล่าว

"ทำไมถึงเอาไว้ไม่ได้คะ...?"

เขาลดสายตาจากใบหน้าของฉัน มองโต๊ะทำงาน มือจับปากกาหมุนไปมาอย่างใช้ความคิด
"เอาอย่างนี้นะ พรุ่งนี้เราพบกันที่เก่าเวลาเดิม แล้วเราค่อยปรึกษาเรื่องนี้กัน"

ฉันพยักหน้า คำว่าที่เก่าเวลาเดิมนั้นหมายถึง ที่บ้านหลังเล็กที่อยู่ท้ายสวนส้ม แถวบางมด ซึ่งฉันกับเขา เคยไปอยู่กัน เป็นประจำนั่นเอง

วันนัดหมายแต่ละครั้งนั้น ส่วนมากฉันจะไปถึงก่อนเขาเสมอ แต่วันนี้เขาไปนอนรออยู่ก่อนแล้ว เมื่อฉันมาถึง เขาก็ยิ้มให้ อย่างอารมณ์ดี เขาดึงฉันเข้าไปโอบกอดไว้ในอ้อมอก เหมือนกับทุกครั้งที่ผ่านมา และลงเอยด้วยลีลารัก จนสุดขีด ของความปรารถนานั้น แล้วเราจึงมาเข้าเรื่องของปัญหา

"พี่ชิตคะ ไหนคุณบอกว่าจะพูดเรื่องของเราไงล่ะคะ" ฉันเอ่ยปากถามเขาเป็นเรื่องเป็นราว

"เรื่องมีท้องเรอะ ก็บอกแล้วไงว่าให้เอาออก"

"ไม่นะชิต ฉันต้องการจะเอาลูกของเราไว้ ขอเพียงคุณรับว่าเป็นพ่อเท่านั้น"

"คุณต้องการจะทำลายชื่อเสียงของผมรึ รู้มั้ยว่าถ้าทุกคนในบริษัทรู้เข้าผมจะเสียหายแค่ไหน?"

เขายันฉันออกจากอก พร้อมกับลุกขึ้นยืน สองมือเกาะขอบหน้าต่าง สายตามองออกไปข้างนอก ฉันรีบลุกขึ้นไปจากเตียง โอบไหล่เขา หวังวิงวอนขอร้อง

"นะคะชิต ถ้าคุณกลัวเสียหน้า ฉันยินดีออกจากงาน ไปอยู่ที่บ้าน ขอเพียงแต่คุณไปหาฉันบ้างเท่านั้น จะได้ไหมคะ"

เขาหันกลับมา มองหน้าฉันพร้อมกับเสียงถอนลมหายใจ ซึ่งฉันเองยังส่งสายตาวิงวอน ขอร้องเผื่อว่า เขาจะใจอ่อนลงบ้าง

"เอาเถอะเมื่อเธอไม่สามารถใจอ่อนกระทำเช่นนั้นได้ก็ไม่เป็นไร ผมมีวิธี" ว่าแล้ว เขาก็เดินไปเปิด กระเป๋าเอกสาร หยิบเอาอาวุธปืนพก ประจำตัวของเขาออกมาถือ พร้อมกับกล่าว กับฉันอย่างสั้นๆ "นี่ไงนุช...สิ่งที่จะแก้ปัญหาของเรา"

ฉันตกใจกลัวมาก...แต่ด้วยความรักตัวกลัวตาย จึงตัดสินใจกระโดดเข้าแย่งปืน ในมือเขาในทันที เขาไม่ทันระวัง ฉันจับได้ ที่ด้ามปืน หมุนกลับให้พ้นตัวเอง แรงโถมทำให้เสียหลัก เขาหงายหลังล้มลง พร้อมกับเสียงปืน ที่ลั่นเปรี้ยง ซึ่งฉันล้มทับ ร่างเขาอยู่ พร้อมกับปืนในมือ กระสุนตัดขั้วหัวใจ เขาสิ้นลมทันที ฉันตกใจจนตัวสั่นไปหมด ในตอนแรก คิดจะหนี แต่พอคิดได้ว่า เรื่องคงไม่จบง่ายๆ เป็นแน่
เพราะคงไม่พ้น ข้อสงสัยของเจ้าหน้าที่ไปได้ จึงตัดสินใจ โทรแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อให้มาที่เกิดเหตุ เมื่อเจ้าหน้าที่มาถึง ก็สารภาพ ไปตามความเป็นจริงว่า เขาต้องการจะฆ่าฉัน แต่ด้วยความกลัว และความรักตัวเอง จึงเข้าแย่งปืน เพื่อป้องกันตัว เท่านั้น โดยไม่มีเจตนา ที่จะฆ่าเขา แต่ประการใดเลย และกว่าที่ฉันจะพ้นคดีได้ ก็ต้องวิ่งขึ้นวิ่งลง ระหว่างสถานีตำรวจ กับอัยการอยู่หลายรอบ

เมื่อไม่มีวิชิตแล้ว ฉันก็ไม่สามารถเอาเด็กในท้องไว้ได้ จึงตัดสินใจทำแท้งกับหมอเถื่อน จนเป็นที่เรียบร้อย หลังจากนั้นมา ฉันก็มีแต่ความฟุ้งซ่าน จนไม่อาจที่จะอยู่เฉยๆ ได้ จึงเที่ยวไปในหมู่ของวัยรุ่น โดยไม่กระดากอาย และในช่วงนี้เอง ฉันก็ได้รู้จัก กับผู้ชายอีกคนหนึ่ง ซึ่งอายุอานามไล่เลี่ยกัน ตอนนั้น ฉันอายุประมาณ ยี่สิบเอ็ดปีเศษๆเท่านั้น ผู้ชายคนนี้ ฉันขอให้ชื่อเขาว่า "สมพล"

สมพลเป็นนักดื่มนักเที่ยวตัวยง มีเงินใช้จ่ายเหลือเฟือ เขาไม่ได้รูปหล่อเหมือนวิชิต แต่เหมือนมีอะไรบางอย่าง ที่ถูกใจฉัน อยู่มาก เมื่อได้รู้จักกับคนที่ชอบกิน ชอบเที่ยว เป็นธรรมดาที่ทำให้ชีวิตของฉัน ต้องเปลี่ยนแปลงไป เป็นคนเช่นนั้นด้วย สมพล เอาอกเอาใจดีมาก ถึงกับทำให้ฉัน ลุ่มหลงเอามากๆ เลยทีเดียว ฉันคือน้ำมัน เขาคือไฟ เมื่อสองสิ่งปะทะกัน มันคือ ประกายของความเร่าร้อน รุนแรง ไฟอารมณ์ เริ่มลุกลาม แล่นพล่าน ไปทุกส่วน ในเลือดเนื้อสาว จนเบาเหมือนฟองสบู่ คืนหนึ่ง หลังจากที่เราดิ้นดื่มกัน จนมึนไปด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ สมพลก็ชวนฉันไปจบกัน ที่โรงแรมม่านรูด แห่งหนึ่ง แถวประตูน้ำ

เกือบสี่เดือนที่ลุ่มหลงมัวเมาอยู่ในรสสวาทแห่งแสงสีโลกีย์ จนหน้าที่การงานเริ่มบกพร่อง และโดนตำหนิ อยู่บ่อยครั้ง แต่แทนที่จะคิดได้ และปรับปรุงตัวเอง เปล่าเลย เหมือนยิ่งยุ ให้ฉันเร่งเข้าสู่อบายมุขมากขึ้น ฉันกลายเป็นคน หูหนวกตาบอด จนไม่ได้ยิน คำตักเตือน ของผู้หวังดีทั้งหลาย ใจของฉันเร่าร้อน หิวกระหาย อยู่แต่ในห้องแสงสี ที่อบอวลไปด้วย กลิ่นเหล้า ฟองเบียร์ และควันบุหรี่ และในห้องนั้น สมพลคือ ยอดปรารถนาของฉันเสมอ และแล้ว วันสิ้นสุดของอาชีพ เสมียนบัญชี ก็มาถึง เมื่อประธานบริษัท เรียกฉันเข้าพบ

"คุณทำงานแบบไหนนุชนาฏ..ดูสิ ผิดพลาดมากมายก่ายกอง...?"

"อืมม์.." ฉันไม่มีคำตอบใดๆ นอกจากนั่งก้มหน้า

"แบบนี้ไม่ไหว...เอ่อ ทราบว่าหมู่นี้ชอบเที่ยวดึกๆ เรอะ...เจอปัญหาคราวที่แล้วยังไม่เข็ด หรือไง?"

"อืมม์...คือว่า...."

"เอาหละ พอ...ผมไม่ต้องการฟังคำแก้ตัวใดๆ จากคุณอีก คราวที่แล้วก็ได้ตักเตือนคุณแล้ว แต่คุณกลับ ไม่แก้ไข.. ชอบทำตัว เป็นวัยรุ่น เที่ยวกลับดึกดื่น คงเป็นเพราะสาเหตุนี้สิท่า คุณจึงไม่ตั้งใจทำงาน" ประธานบริษัท หยุดถอนหายใจ พร้อมกับ ส่ายหน้าไปมา "เอานี่ซองขาว...แล้วขอให้คุณโชคดี อ้อ... ขอเตือนหน่อย ถึงแม้คุณจะไม่ได้ทำงานที่นี่แล้วก็ตาม ภัยสังคม อันตรายนัก ขอให้คุณจงระวัง ....คุณอาจจะไม่โชคดี เหมือนคราวที่แล้วก็ได้"

ฉันพนมมือไหว้ ซองขาวก็ซองขาว ออกก็ออกซิ...งานที่อื่นคงยังพอมีให้ทำได้ แคร์อะไร ฉันรับเงินเดือน ล่วงหน้าสามเดือน แล้วเดินออกจากบริษัท อย่างไม่รู้สึกเสียดายอะไร ที่จริงฉันก็อยากออกตั้งนาน ตั้งแต่ไม่มีวิชิตแล้ว

ตอนค่ำของวันนั้นฉันไปพบสมพล เล่าเรื่องที่ถูกออกจากงานให้เขาฟังโดยละเอียด แต่ดูๆ เขาก็ไม่ยินดียินร้ายอะไร
"ออกจากงานเรอะ...ฮึฮึ!! พี่ว่าไม่ใช่เรื่องแปลกหรือน่าเสียใจตรงไหน หางานทำใหม่ เมื่อไหร่ก็ได้ แค่เสมียนบัญชี เรื่องงาน เอาไว้ทีหลัง อย่าคุยเลยปวดหัว ตอนนี้ไปหาอะไร ทานสนุกๆ กันดีกว่า"

"แต่ถ้าไม่มีงานทำ ฉันจะเอาเงินที่ไหนใช้จ่ายล่ะ บ้านฉันก็ต้องเช่าอยู่นะ ?" ฉันกล่าวด้วยความวิตก

"เอ่อน่า...ตอนนี้คุณอยู่เฉยๆ ไปก่อน ถือว่าเป็นการพักผ่อนไปในตัว พี่มีเพื่อนเยอะแยะ ไว้พอนุชหายเหนื่อยแล้ว พี่ค่อยฝาก งานให้ หรือจะย้ายมา พักกับพี่ก่อนก็ได้ จะได้ประหยัด ค่าใช้จ่ายไปด้วย" ว่าแล้วเขาก็ดึงฉันไปขึ้นรถ ท่องราตรีเหมือนเช่นเคย

วันต่อมาฉันตัดสินใจย้ายออกจากบ้านเช่าเข้าไปอยู่ในอพาร์ตเมนต์กับสมพล ตามคำแนะนำ ของเขา ซึ่งก็เป็น ความต้องการ ของฉัน มาตั้งแต่ต้นแล้ว จึงแกล้งทำเป็นวิตก เพื่อให้เขาเอ่ยปากชวน และ แล้วก็เป็นไปตามที่คิด

เมื่อได้อยู่ร่วมกัน ฉันจึงได้เห็นธาตุแท้ของสมพล เขาเป็นคนไม่น่าไว้ใจเอาเสียเลย เขาไม่มีอาชีพที่แน่นอน พื้นเพก็ไม่รู้ว่า เป็นคนทางไหน คำแรกที่ฉันแอบได้ยิน เมื่อเขาพูดติดต่อกับใครคนหนึ่ง ทางโทรศัพท์

"ตกลงน่าเฮีย...สามหมื่นไม่แพง เด็กยังใหม่ เฮียส่งไปญี่ปุ่นได้มากกว่านี้หลายเท่า ครับ...ถ้าเฮียตกลงนะ พรุ่งนี้มา ดูตัวได้เลย.."

ฉันรู้ได้ทันทีว่ากำลังจะเข้าปากเสือ เขากำลังประเมินราคากันเหมือนกับว่า ฉันเป็นวัวเป็นควาย วันนั้นฉันหยิบได้เพียง กระเป๋าถือ เพียงใบเดียว แล้วแอบหนีออกมา จากอพาร์ตเมนต์ หูตาสว่างขึ้นมาทันที ที่แท้เขาเป็นตัวอันตราย ที่มีรายได้ จากการค้าผู้หญิงส่งนอก ส่งขายทั้งญี่ปุ่น และฮ่องกง ได้เงินมาเท่าไหร่ เขาจะจับจ่ายเที่ยว ท่องราตรี หาความสุข และสนุก ไปกับการหาเหยื่อ รายใหม่ต่อไป อย่างไม่หยุดยั้ง

ฉันสมน้ำหน้าตัวเองที่เป็นคนใจง่าย "บัดซบ" มาตลอด เห็นไหมล่ะ เกือบเข้าอีกแล้ว เกือบได้ไปนั่งเป็นแม่จ้าง อยู่เมืองญี่ปุ่น เคราะห์ดี ที่พระเจ้าช่วย เมื่อมีสติฉันรีบออกตระเวนหา สมัครงานไปตามบริษัทต่างๆ แต่โชคไม่เข้าข้างเลย ไม่มีบริษัทไหน รับเข้าทำงาน จนรู้สึกอ่อนใจ ทั้งที่สมัยนั้น งานเหล่านี้ หาไม่ยาก แต่สำหรับฉันในครั้งนั้น เหมือนถูกพระเจ้าลงโทษ ถูกปฏิเสธ ครั้งแล้วครั้งเล่า ราวกับว่า ชื่อและความประพฤติของฉัน ถูกถ่ายทอดไปตามบริษัทต่างๆ จนหมดสิ้น ยี่สิบกว่าปีแล้ว ที่ฉันยังจดจำ ไม่ลืมเลือน และยี่สิบกว่าปีแล้ว ที่ฉันต้องหอบหิ้ว เอาความบอบช้ำ จากบทเรียนราคาแพง มาเป็นคติสอนใจ ให้ชีวิตดำเนินไป ตามร่องตามรอย ถึงแม้ว่าจะไม่สามารถ ยกระดับฐานะตัวเอง ให้สูงขึ้นมาได้อีก นั่นเป็นเพราะว่า ฉันทำตัวฉันเอง ให้ตกต่ำไม่ใช่คนอื่นทำ จึงไม่มีข้ออ้างใดๆ ที่จะออกตัว ไม่เคยโทษดวงชะตาราหู พระศุกร์เข้า พระเสาร์แทรก หรือว่าดาวเดือน เป็นมนตรี อริมาบดบังความดี ทำให้ผู้ใหญ่มองไม่เห็น อย่างที่หลายคนกล่าวอ้างกัน

งานสุดท้ายที่ฉันทำ และเป็นงานประจำอยู่ทุกวันนี้ ซึ่งเป็นงานที่ฉันไม่อาจที่จะเลือกได้ ในขณะนั้นก็คือ เป็นพนักงาน เก็บค่ารถโดยสาร ประจำทางสายหนึ่ง ในกรุงเทพฯ ไม่มีศักดิ์ ไม่มียศอะไร แต่ว่ามันทรงคุณค่ายิ่งนัก สำหรับคนที่ตกงาน แล้วฉันก็รักมัน รักจนไม่คิด ที่จะเปลี่ยนงานใหม่อีกแล้ว คิดว่าบางคน เคยเห็นฉันมาบ้าง และบางคน คงเห็นฉัน มาหลายครั้ง แล้วก็มี แต่ฉันเชื่อว่า คงจะไม่มีใครปรารถนา ที่จะรู้จัก หรือจดจำหรอก เพราะไม่เป็นที่พึ่ง ที่ฝังฝากอะไร ต่อใครได้ และตัวฉันเอง ก็มิอาจเอื้อม ที่จะทำความรู้จักกับใคร เพื่อมุ่งหวังอนาคตอะไรอีก นอกจากทำหน้าที่ตรงนี้ ให้ดีที่สุดเท่านั้น เพราะบทเรียน ที่ฉันได้รับ หมายถึงว่า พื้นที่จะดีหรือไม่ดี ดูที่หน้าที่ ที่ดินผืนใน คือร่างกาย จะดีหรือไม่ ก็ดูกันที่หน้าที่ และการงานของใคร จะดีหรือไม่ ก็ต้องดูที่หน้าที่อีกเช่นกัน เพราะว่าหน้าที่ เป็นทางมาแห่งความเจริญ....				
21 ตุลาคม 2551 20:39 น.

"สาวม.1" ชีวิตบัดซบ อยู่บ้านญาติข่มขืน ไปรร.โดนอีก ตัดสินใจลาโลก

ลุงแทน

ได้ มี 2 ผัวเมีย อาชีพหาปลาในคลอง ชะอวด อ.ชะอวด จ.นครศรีธรรมราช พา ด.ญ.เปิ้ล (นาม สมมติ) อายุ 13 ปี เป็นนักเรียนชั้น ม.1 โรงเรียนแห่งหนึ่งอยู่บ้านละแวกใกล้เคียง

เข้าแจ้งความต่อ ร.ต.อ.จักรกฤษณ์ คงเรือง ร้อยเวร สภ.อ.ชะอวด โดย 2 ผัวเมียพลเมืองดีให้การว่า เห็น ด.ญ.เปิ้ลเดินถือเชือกปีนขึ้นไปบนต้นไทรใหญ่ริมคลองชะอวด ด้วยความสงสัยตามไปดูพบ ด.ญ.เปิ้ล จะใช้เชือกผูกคอฆ่าตัวตาย รีบเข้าช่วยเหลือจนปลอดภัย พยายามปลอบโยนสอบถามทราบว่า ด.ญ.เปิ้ลถูกข่มขืนจนตั้งท้อง จึงพาเข้าแจ้งความ

หลังทราบเรื่องราวเบื้องต้น ร.ต.อ.จักรกฤษณ์ รายงานให้ พ.ต.อ.พิทักษ์ คลังจันทร์ ผกก. พ.ต.ท.ชำนาญ ชำนาญกิจ รอง ผกก.สส. ร่วมสอบสวน ด.ญ.เปิ้ล ให้การว่า เมื่อ 6 เดือนที่แล้ว พ่อกับแม่ย้ายไปทำงานที่ จ.ตรัง ฝากให้ตนพักอาศัยอยู่กับน้าชาย ซึ่งเป็นน้องของแม่ เพื่อเรียนหนังสือ โดยที่บ้านน้าชายอยู่ด้วยกัน 4 คน คือตน น้าชายกับภรรยา และน้องชายของน้าสะใภ้ชื่อนายสมิง ชาญเจตน์ อายุ 34 ปี ทั้ง 3 คน มีอาชีพทำสวนยาง เมื่อคืนวันที่ 12 ส.ค.ที่ผ่านมา ขณะนอนอยู่ในบ้าน นายสมิงอาศัยช่วงที่น้าชายกับน้าสะใภ้ไปกรีดยาง บุกเข้ามาปลุกปล้ำขืนใจจนสำเร็จความใคร่ 1 ครั้ง พร้อมขู่บังคับไม่ให้บอกใคร ไม่เช่นนั้นจะฆ่าให้ตาย

เด็กหญิงเหยื่อกามให้การทั้งน้ำตานองหน้าต่อไปว่า จากนั้นช่วงเย็นวันรุ่งขึ้นขณะเดินไปอาบน้ำที่ริมคลองหลังบ้านห่างไป 400 เมตร หลังอาบน้ำเสร็จคิดถึงแม่และรู้สึกสับสนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จึงคิดมากและนั่งร้องไห้อยู่ริมคลอง เหมือนผีซ้ำด้ำพลอย เมื่อมีนายหัตถา ศิลป์สุวาทิน อายุ 30 ปี เพื่อนบ้านเดินผ่านมา ทำทีเข้ามาปลอบโยน แต่ชั่วอึดใจก็กลายร่างเป็นซาตาน

ชักมีดปลายแหลมออกมาจี้บังคับไม่ ให้ขัดขืน ด้วยความหวาดกลัวรีบกระโดดหนีลงคลอง กลับถูกนายหัตถาตามลงไปกอดปล้ำ ลากขึ้นมาบนตลิ่งก่อนลงมือข่มขืนกระทำชำเราจนสำเร็จความใคร่ 1 ครั้ง พร้อมข่มขู่ ไม่ให้บอกใครไม่เช่นนั้นจะจับฆ่าถ่วงน้ำ หลังจากนั้น ก็ถูกนายสมิงและนายหัตถาข่มขืนเรื่อยมา

โดยนายสมิง อาศัยจังหวะที่ออกไปกรีดยางกับน้าชาย ย้อนกลับมาที่บ้าน ลงมือข่มขืนแล้วออกไปกรีดยางอีกทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ส่วนนายหัตถาจะดักรอระหว่างทางเดินไปโรงเรียน บังคับไปขืนใจในป่าละเมาะบ้าง ในขนำร้างบ้าง ต้องทนเก็บความขมขื่นทนทุกข์ทรมานไว้ในใจไม่กล้าบอกใคร สภาพจิตย่ำแย่จนเรียนหนังสือไม่รู้เรื่อง

ด.ญ.เปิ้ลให้การต่อไปว่า ล่าสุดประจำเดือนขาด หายไป 3 เดือนแล้ว คิดว่าตั้งครรภ์เพราะมีอาการคล้ายคนแพ้ท้อง คือเป็นไข้ มึนศีรษะ อาเจียน และอยากกินของเปรี้ยว ทำให้คิดมากจนปัญญาหาทางออกเลยตัดสินใจจะผูกคอฆ่าตัวตาย กระทั่งมีชาวบ้านมาพบเข้าช่วยเหลือพาแจ้งตำรวจ หลังสอบปากคำเบื้องต้น ตำรวจส่งตัว ด.ญ.เปิ้ลไปตรวจร่างกายที่ รพ.ชะอวด พร้อมประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งอัยการจังหวัด จนท.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ นักจิตวิทยา นักสังคมสงเคราะห์ และทนายความ มาร่วมสอบปากคำเด็กหญิงผู้เสียหาย

ต่อมาช่วงบ่ายวันเดียวกัน พ.ต.อ.พิทักษ์ คลังจันทร์ ผกก.สภ.อ.ชะอวด เปิดเผยว่า แพทย์ตรวจร่างกาย ด.ญ.เปิ้ล พบว่าตั้งครรภ์ได้ 4 เดือนแล้ว จึงหารือร่วมกับผู้เกี่ยวข้องพร้อมประสานไปยังมารดาของ ด.ญ.เปิ้ล เดินทางมาพบตำรวจ มีความเห็นร่วมกันว่า ควรให้ ด.ญ. เปิ้ลทำแท้งเอาเด็กออก เนื่องจากถูกข่มขืนจึงเข้าข่ายกฎหมายที่ให้ข้อยกเว้นในการทำแท้ง

ได้ ลงนามในบันทึกการสอบสวนและส่งหนังสือถึง ผอ.รพ.มหาราชนครศรีธรรมราช ให้ทำแท้ง ด.ญ.เปิ้ล พร้อมขอความร่วมมือจากแพทย์ให้จัดเก็บดีเอ็นเอก้อนเลือดทารกในครรภ์ไว้เป็น หลักฐานในการดำเนินคดีกับผู้ต้องหา ขณะเดียวกันได้ส่งฝ่ายสืบสวนไปที่บ้านของนายสมิงและนายหัตถา 2 หนุ่มกามโฉด แต่ทั้งคู่ไหวตัวหลบหนีไปแล้ว จะได้ตามล่าจับกุมต่อไป

จากข่าวไทยรัฐ				
20 ตุลาคม 2551 15:26 น.

ดอลลาร์เครื่องมือการเมือง

ลุงแทน

ดอลลาร์เครื่องมือการเมือง

บทนำ : กรุงเทพธุรกิจ  วันที่  13  กุมภาพันธ์ 2547

นักเศรษฐศาสตร์หลายราย เคยคาดการณ์ เกี่ยวกับทิศทางของ ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ ว่าเงินดอลลาร์อ่อนตัวลงมาก พอควรแล้ว อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณา จากท่าทีล่าสุด ของบุคคลที่ทรงอิทธิพล ทางการเงินสูงสุดในสหรัฐ เมื่อวันพุธที่ผ่านมา นักเศรษฐศาสตร์ อาจคิดใหม่ก็ได้ หลังจากนายอลัน กรีนสแปน ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) แถลงนโยบายการเงิน ต่อคณะกรรมาธิการ กิจการการเงิน ของสภาผู้แทนราษฎร ระบุถึงผลประโยชน์ ของการร่วงลงของดอลลาร์ ที่มีต่อเศรษฐกิจสหรัฐ และการร่วงลงของดอลลาร์ จะมีส่วนช่วยลดตัวเลข ขาดดุลบัญชีเดินสะพัดของประเทศ พร้อมกับกล่าวว่า มูลค่าของเงินหยวน จะเพิ่มขึ้น หากจีนเลิกแทรกแซงค่าเงิน ขณะที่เงินเยนจะแข็งค่าขึ้นชั่วคราว หากญี่ปุ่นหยุดแทรกแซงเช่นกัน

ขณะเดียวกัน นายกรีนสแปน ปฏิเสธความวิตกเกี่ยวกับการร่วงลงของดอลลาร์ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา โดยกล่าวว่า ผลกระทบด้านเงินเฟ้อจากการอ่อนตัวลงของดอลลาร์นั้นยังถือว่าน้อยมาก ณ ขณะนี้ เนื่องจากกลุ่มผู้ส่งออกอเมริกันได้ทำประกันความเสี่ยงของผลประกอบการเอาไว้แล้ว และไม่ได้ผลักภาระราคาที่สูงขึ้นให้กับผู้บริโภคอเมริกัน นอกจากนั้น นายกรีนสแปนก็ไม่ได้ให้ความเห็นต่อทิศทางของอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ในประเทศ ซึ่งก่อนหน้านี้ นักลงทุนเคยทำนายว่า เฟดอาจปรับเพิ่มดอกเบี้ยจากระดับ 1% อันป็นอัตราต่ำสุดในรอบ 45 ปี ในเร็วๆ นี้ นับเป็นสัญญาณที่บ่งชี้ถึงแนวโน้มการอ่อนค่าต่อไปของเงินดอลลาร์ เพราะอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำ ทำให้นักลงทุนระหว่างประเทศให้ความสนใจซื้อน้อยลงต่อสินทรัพย์สกุลเงินดอลลาร์

แถลงการณ์ของนายกรีนสแปนนับว่าสอดคล้องกับจุดยืนของนายจอห์น สโนว์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐที่เคยพูดเมื่อเร็วๆ นี้ว่า การอ่อนตัวลงของดอลลาร์ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาเป็นไปแบบไม่รุนแรงและเป็นระเบียบ และจะด้วยความตั้งใจหรือไม่ก็ตาม นายกรีนสแปน ซึ่งได้รับเครดิตสูงมากในเรื่องการเป็นผู้ว่าการธนาคารกลางที่มีอิสระในการบริหารงานมากที่สุดในโลก ปราศจากการแทรกแซงทางการเมืองโดยสิ้นเชิง ได้มีส่วนสนับสนุนประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช ทางอ้อม เพราะคำพูดที่ว่า การร่วงลงของดอลลาร์จะช่วยลดตัวเลขขาดดุลบัญชีเดินสะพัดของสหรัฐ ยังผลให้นักลงทุนในตลาดการเงินโลกนำไปตีความหมายว่า นายกรีนสแปนได้เปิดทางให้เงินดอลลาร์อ่อนตัวต่อไป และสหรัฐกำลังใช้อัตราแลกเปลี่ยนเป็นเครื่องมือในการแก้ปัญหาขาดดุลบัญชีเดินสะพัด ที่คาดว่าตัวเลขจะพุ่งทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์อีกครั้งที่ 521,000 ล้านดอลลาร์ ในปีนี้ อันเป็นผลจากการทุ่มงบกลาโหมและความมั่นคงมูลค่ามหาศาลของทำเนียบขาว

เรามั่นใจว่า ขณะนี้ รัฐบาลของประธานาธิบดีสหรัฐ ซึ่งยืนหยัดมาตลอดว่า ปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจของประเทศต้องเป็นตัวกำหนดการเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยน และจะตำหนิโจมตีรัฐบาลญี่ปุ่นทุกครั้งที่เข้าไปแทรกแซงค่าเงินเยน ได้ปรับเปลี่ยนนโยบายค่าเงินดอลลาร์เสียแล้วโดยไม่ได้ประกาศอย่างเป็นทางการ และไม่คำนึงถึงหลักการดอลลาร์แข็งค่าถือเป็นผลประโยชน์ของชาติอีกต่อไป พร้อมที่จะให้มูลค่าเงินดอลลาร์ร่วงลงเรื่อยๆ ซึ่งการปล่อยให้เงินดอลลาร์อ่อนตัวลงโดยการตีความเองของตลาดนั้น นอกจากจะไม่ทำให้นักลงทุนขาดความมั่นใจในการบริหารนโยบายเศรษฐกิจแล้ว ยังมีผลช่วยเรียกคะแนนเสียงให้กับบุชผู้ลูก ในช่วงที่จะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีในปลายเดือน พ.ย.ปีนี้ด้วย

เชื่อว่าการอ่อนค่าลงอย่างมีระเบียบของเงินดอลลาร์คงไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้อย่างแน่นอน เมื่อพิจารณาจากความจำเป็นอย่างยิ่งของตัวประธานาธิบดีบุช ที่จะต้องมีคำตอบที่ชัดเจนให้กับผู้มีสิทธิออกเสียงชาวอเมริกันในเรื่องปัญหาขาดดุลบัญชีเดินสะพัดจำนวนมหาศาล และผู้นำสหรัฐยังหวังที่จะใช้อัตราแลกเปลี่ยนเป็นกลไกกระตุ้นภาคส่งออก เนื่องจากดอลลาร์ที่อ่อนค่าทำให้สินค้าของสหรัฐในต่างประเทศมีราคาถูกลง ขณะเดียวกัน ก็ลดความต้องการซื้อของผู้บริโภคในสินค้านำเข้าที่มีราคาแพงขึ้น อันจะช่วยลดยอดขาดดุลการค้าอันเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของบัญชีเดินสะพัด อย่างไรก็ดี การอ่อนค่าของดอลลาร์ถือเป็นประโยชน์ของประเทศต่างๆ ด้วย เนื่องจากปัญหาขาดดุลของแดนพญาอินทรีนั้น ถือเป็นปัจจัยลบที่คุกคามเศรษฐกิจโลกด้วย				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟลุงแทน
Lovings  ลุงแทน เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟลุงแทน
Lovings  ลุงแทน เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟลุงแทน
Lovings  ลุงแทน เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงลุงแทน