20 ตุลาคม 2551 15:23 น.
ลุงแทน
"ดอลลาร์" เป็นชื่อสกุลเงินของประเทศและดินแดนต่างๆ ถึง 25 แห่งทั่วโลกโดยมีสัญลักษณ์เป็นรูป $
คำว่า "ดอลลาร์" มีรากศัพท์มาจากสกุลเงินในอดีต ทั้งเงินทอลาร์ (Tolar) ของดินแดนโบฮีเมียซึ่งเป็นอาณาจักรโบราณในยุโรปตอนกลาง, เงินทาเลอร์ (Thaler) ของเยอรมนี, ดาลเดอร์ (Daalder) ของเนเธอร์แลนด์ และดาเลอร์ (Daler) ในสวีเดนและเดนมาร์ก โดยคำว่า "ดอลลาร์" เป็นคำภาษาอังกฤษที่ใช้แทนคำว่า ทาเลอร์ซึ่งเป็นภาษาเยอรมัน
นอกจากสกุลเงินเหล่านี้แล้ว ยังมีอีกสกุลเงินหนึ่งที่มีส่วนทำให้มีการพัฒนาเป็นดอลลาร์สหรัฐฯ ในปัจจุบัน คือ สเปนิชดอลลาร์ ที่ใช้เรียกเงินเปโซของสเปนซึ่งเป็นสกุลเงินที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในดินแดน อาณานิคมของสเปนในช่วงศตวรรษที่ 18 รวมถึงในดินแดนอาณานิคมอเมริกาเหนือทั้ง 13 อาณานิคมของอังกฤษซึ่งก็คือสหรัฐอเมริกาในปัจจุบัน
ส่วนที่มาของสัญลักษณ์สกุลเงินดอลลาร์ที่เป็นรูป $ นั้นมีคำอธิบายหลายทฤษฏีด้วยกัน ที่เป็นที่ยอมรับกันอย่างแพร่หลาย คือทฤษฎีที่ว่า $ พัฒนามาจาก Ps ซึ่งเป็นอักษรย่อของหน่วยเงินเปโซของสเปน โดยเป็นการเขียนตัวอักษร S ทับตัวอักษร P และพัฒนามาจนเป็น $ ในที่สุด และสัญลักษณ์นี้ก็ใช้กันอย่างแพร่หลายก่อนที่รัฐสภาสหรัฐฯในขณะจะลงมติให้ เงินดอลลาร์เป็นสกุลเงินของสหรัฐอเมริกาในปี 1785 เสียอีก ขณะที่บางทฤษฎีเชื่อว่าสัญลักษณ์ดอลลาร์ที่มีเส้นทับบนตัว S สองขีดนั้นมาจากการเขียน U กับ S ทับกัน
สำหรับสกุลเงินต่างๆ ที่ใช้หน่วยดอลลาร์ได้แก่ ดอลลาร์ออสเตรเลีย, ดอลลาร์บาร์เบโดส, ดอลลาร์บาฮามาส, ดอลลาร์เบลีซ, ดอลลาร์เบอร์มิวดา, ดอลลาร์บรูไน, ดอลลาร์แคนาดา, ดอลลาร์เคลย์แมนไอร์แลน, ดอลลาร์อีสต์แคริบเบียน, ดอลลาร์ฟิจิ, ดอลลาร์กายอานา, ดอลลาร์ฮ่องกง, ดอลลาร์สากล (เป็นค่าเงินสมมติ), ดอลลาร์จาไมกา, ดอลลาร์ไลบีเรีย, ดอลลาร์นามิเบีย, ดอลลาร์นิวซีแลนด์, ดอลลาร์สิงคโปร์, ดอลลาร์หมู่เกาะโซโลมอน, ดอลลาร์ซูรินาเม, ดอลลาร์ไต้หวัน, ดอลลาร์ตรินิแดดและโตเบโก, ดอลลาร์ตูวาลู, ดอลลาร์สหรัฐ และดอลลาร์ซิมบับเว
_________________
Fear is the path to the dark side.
Fear leads to anger.
Anger leads to hate.
Hate leads to suffering.
18 ตุลาคม 2551 21:10 น.
ลุงแทน
ผู้ชาย กับความรัก
ผู้ชายคิดอะไรเมื่อส่งดอกไม้ให้คนรักเก่าในวันเกิด เขาคิดอะไรในการใส่ใจในรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ เหมือนยังคงคบหากันอยู่ เราเคยคิดจะโทรศัพท์ไปหาเขา ไปขอบคุณกับความปรารถนาดีที่ยังมีให้ เพียงแค่นั้นเราก็รู้ว่า ทำไมระหว่างเรามันจะไปต่อด้วยกันไม่ได้ แต่เป็นเพราะเราเองที่ไม่ยอมอ่อนข้อให้กับเขา
ภาพของคืนวันกับคนรักเก่าผ่านเข้ามาในความรู้สึกเหมือนดูหนังเรื่องเดิม รับรู้ถึงความอาลัยอาวรณ์ในการจากลาของเราในวันก่อน เรารู้อยู่แก่ใจว่าที่ผ่านมาเขาไม่กล้าเดินเข้ามาหาเราอย่างนี้ เป็นเพราะเขาไม่สามารถแก้ไขปัญหาส่วนตัวของเขาได้ เราค่อนข้างมั่นใจว่าที่เขากลับมาในครั้งนี้เพื่อบอกเราเรื่องนี้ แต่ว่ามันสายไปแล้ว
ถ้าเรารู้ว่าจะมีวันอย่างนี้เราจะเข้มแข็งกว่านี้ เราจะไม่ยอมให้ใครคนไหนเข้ามาเกี่ยวพันจนเราต้องมาลำบากใจอย่างนี้
ในเวลานี้เรารู้แล้วล่ะว่า ไม่ใช่เราหรอกที่นั่งรอความว่างเปล่ามาตลอดเวลา 2 ปีที่เรารู้สึกถึงความทรมานในความยาวนานของมัน เราว่าน่าจะเป็นเขามากกว่าที่พยายามต่อสู้กับครอบครัวของตัวเองเพื่อเรา เขาไม่ได้มีใครเลยตลอดเวลาที่ผ่านมา แต่เราเองกลับเป็นคนอ่อนไหวไปกับคนใหม่
เราบอกตัวเองให้ใช้เหตุผลกับชีวิตของตัวเองให้มากยิ่งกว่ามาก เพราะใช้อารมณ์เหนือเหตุผลทำให้เราตัดสินใจบอกลากับคนรักเก่าในวันก่อน และครั้งนี้ถ้าเราตัดสินใจด้วยอารมณ์อย่างนี้เราคงเสียใจไปตลอดชีวิต เราบอกตัวเองให้ก้าวเดินต่อไปข้างหน้า รู้ตัวดีว่าถ้าเราเลือกเดินย้อนกลับไปยังเส้นทางเดิมได้ เราคงไม่กล้าแม้แต่จะสบตากับตัวเองบนกระจกเงา
ชายหนุ่มคนรักของเราตอนนี้เขาไม่เกี่ยวข้องอะไรกับวังวนในความรักของเราใน เมื่อวาน เขารู้ตลอดว่าเรื่องมันผ่านไปแล้วและมันเป็นเหมือนสายน้ำ คือไม่มีวันย้อนคืน เราบอกกล่าวด้วยกันแล้วว่า เราจะไม่คุยกันถึงเรื่องคนรักเก่าเราจะบอกเล่าแต่เรื่องปัจจุบันนี้ ที่มีเรา และอนาคตของเรา
มันเป็นอดีตไปแล้ว มันผ่านไปแล้ว เราบอกกับตัวเองอย่างมั่นใจ เราไม่รู้สึกเสียดายอะไรเลย มันเป็นความภาคภูมิใจในชีวิตที่เราปล่อยให้หนุ่มแบงค์อนาคตไกลจากไปเพื่อ เลือกเส้นทางยากไร้กับหนุ่มไร้อนาคตคนนี้
......การกลับมาของคนรักเก่า ในครั้งนี้ ทำให้เรารู้สึกไว้ใจผู้ชายมากขึ้น ความรักของผู้ชายที่บอกกับหญิงสาวคนรักมันเป็นพันธะสัญญาที่สำคัญอย่างหนึ่ง ในชีวิตของลูกผู้ชาย เรารู้สึกโชคดีเหลือเกินที่มีผู้ชายมาบอกรักอย่างนี้ถึง 2 คน เราบอกกับตัวเองว่าเราจะรักผู้ชายของเราให้มากยิ่งขึ้น เราจะรักเขาให้เขารู้ว่าผู้หญิงคนนี้เวลารักใครแล้วรักมั่นขนาดไหน
..... เราโทรศัพท์ไปหาชายหนุ่มของเราที่อยู่ไกลออกไปถึง 200 กว่ากิโลเมตร เขาอยู่ในอ้อมกอดของขุนเขาแห่งหนึ่ง และเขาอยู่ในความรู้สึกเขาเราตลอดไป..
16 ตุลาคม 2551 18:14 น.
ลุงแทน
กระทู้นี้ชื่อ “บุญคุณแผ่นดิน”
ด้วยเหตุสืบเนื่องมาแต่กระทู้ “สาเหตุการเสียกรุงครั้งที่สอง” อันกำเนิดแด่แม่หญิงอ้อย เธอปฏิบัติธรรมกรรมฐานเกิดจิตขันธสัญญา รำลึกห้วงเวลา ภายใต้ความทรงจำเข้าสู่ภูมิภพสมัยหนึ่ง อันเป็นต้นทางให้หลากหลายผู้คนได้หวลคำนึงเกี่ยวเนื่องถึงความเป็นชนชาติไทย ตามสภาพแห่งตนนั้นแล
เมื่อมาได้อ่านหนังสือ “คนไททิ้งแผ่นดิน” ฉบับที่ท่านเจ้าคุณพระธรรมสิริชัย เจ้าอาวาสวัดอรุณราชวราราม รองเจ้าคณะ กทม. ผู้มีความรู้ในประวัติศาสตร์ชาติไทยอย่างมาก ท่านได้กล่าวชื่นชมประทับใจว่า เป็นเอกสารที่มีเนื้อหาผสมผสานการจินตนาการที่คงเอกลักษณ์ความเป็นชนชาติไทย ที่สามารถตรวจสอบได้แม้ในปัจจุบันว่า “นี่แหล่ะคือคนไทย” เพราะเอกสารฉบับนี้ได้สะท้อนจุดอ่อนจุดแข็งของความเป็นคนไทย ไว้ได้อย่างแท้จริงชัดเจน
"ด้วงจะ ต้องเป็นพระเจ้าแผ่นดินแทนฉัน เป็นวิธีเดียวเท่านั้นที่แยบยลที่สุดที่ฉันจะหลบหนี้เจ้าสัวได้ ฉันเป็นพระเจ้าแผ่นดินที่ยากจนที่สุด ไม่มีทรัพย์สินที่ไหนมาก่อนเลย จึงต้องจำใจกู้เงินเจ้าสัวมาจับจ่ายใช้สอย เวลานี้ ฉันก็ยังเป็นหนี้เบี้ยหวัดเงินเดือนเงินปีของข้าราชการอยู่มาก จะให้พวกข้าราชการทั้งหลายทำงานฟรี ๆ ได้อย่างไร พวกเขาต้องกินต้องใช้ต้องเลี้ยงครอบครัวลูกเมียใช่ไหม เวลานี้ การรบทัพจับศึกก็ยังไม่เสร็จการจับจ่ายใช้สอยก็มีอีกมาก ถ้าฉันจะเอาเงินใช้หนี้เจ้าสัวก็มีไม่พอ มีแต่จะกู้หนี้ยืมสินเจ้าสัวใหม่อีกเป็นดินพวกหางหมู ฉันตกที่นั่งลำบากจริงๆ เอาอย่างนี้นะ เวลานี้เขมรแข็งเมืองให้ด้วงยกทัพไปตีเขมร เอาลูกชายสองคนของฉันไปด้วย เมื่อตีได้แล้ว ไม่ต้องเอาลูกชายของฉันมา ให้ลูกชายของฉันครองอยู่ที่เขมร เมื่อด้วงกลับมาด้วงก็เป็นกษัตริย์ตามแผนของฉัน"
"สำหรับเงินที่ด้วงจะต้องใช้จ่ายให้แก่ข้าราชการเบี้ยหวัดเงินเดือนเงิน ปีต่าง ๆ ที่ฉันคั่งค้างอยู่นั้น ได้เตรียมไว้ให้แล้ว รวมทั้งเงินอีกส่วนหนึ่งสำหรับด้วงจะใช้ภายในประเทศ ยังมีเงินอีกส่วนหนึ่งที่จะใช้เวลาด้วงเป็นกษัตริย์ ฉันก็เตรียมไว้ให้แล้ว รวมเป็นเงินสามส่วนด้วยกัน เมื่อถึงเวลากำหนดนัดที่เจ้าสัวจะมาทวงหนี้จากฉัน ก็เป็นเวลาที่ด้วงขึ้นครองราชสมบัติที่พระเจ้าแผ่นดินแล้ว เจ้าสัวจะทวงเงินจากดวงไม่ได้ เพราะด้วงปฏิวัติรัฐประหารให้ฉันหลุดพ้นจากตำแหน่งพระเจ้าแผ่นดินไปแล้ว ฟังให้ดีนะ ด้วงจะต้องทำงานสำคัญครั้งนี้ในรูปแบบปฏิวัติหรือเป็นขบถยึดอำนาจจากพระเจ้า ตากสิน"
"แต่การ ยึดอำนาจกันเฉย ๆ คนทั้งหลายจะหาว่าด้วงเป็นคนเห่อเหิมอกตัญญูเนรคุณต่อฉัน ผู้เป็นพระคุณ เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ฉันจะทำทีเหมือนว่า ฉันเป็นนักบวชเสียสติวิปลาส ฟั่นเฟือน สร้างความวุ่นวายขึ้นในพระราช สำนักให้วิปริตอาเพศ ทีนี้ก็ให้ด้วงรีบรุดกลับมาจากเขมรเข้ายึดอำนาจจับฉันประหารชีวิต ฉันพร้อมแล้วที่จะตายหนีหนี้สินเพื่อประเทศชาติ เมื่อด้วงขึ้นครองราชย์แล้ว อย่ารับรู้เรื่องหนี้สินที่ฉันทำไว้กับเจ้าสัว เพราะฉันทำหนี้ไว้เป็นเรื่องส่วนตัว เมื่อด้วงประหารชีวิตฉันแล้ว ก็เป็นการลงโทษให้เจ้าสัว ให้เรื่องจบสิ้นเลิกแล้วต่อกันไปเสีย เรียกว่าประหารชีวิตล้างหนี้เข้าใจไหม ?"
"ถ้าด้วงไม่ทำตามฉันบอกนี้ ด้วงอย่าลืมว่า เจ้าสัวมีกองเรือสำเภาค้าขายทางทะเลระหว่างเมืองจีนกับเมืองไทย มีอิทธิพลประโยชน์อย่างสำคัญกับพระราชสำนักพระเจ้ากรุงจีน ถ้าเจ้าสัวฟ้องร้องเรื่องหนี้สินกับพระเจ้ากรุงจีน ไทยเราจะต้องเดือดร้อนแน่ ๆ เพราะกำลังของจีนทั้งทางบกทางน้ำมีมากกว่าเรา กองเรือจีนต้องบุกเราหาว่าฝ่ายเราโกงเขา"
จ้า พระยามหากษัตริย์ศึกได้ฟังแล้วก็เข้าใจแจ่มแจ้ง ถึงกับน้ำตาร่วงด้วยความสะเทือนใจในความเด็ดเดี่ยวเสียสละของพระเจ้าตากสิน ที่ต้องการเสียสละชีวิตและราชบัลลังก์เพื่อชาติ จะหาใครผู้ใดมีจิตใจเข้มแข็งกล้าหาญชาญชัยเสียสละอย่างนี้ไม่ได้อีกแล้ว จึงจำใจกราบทูลรับเอาแผนปฏิวัติเพราะไม่มีทางเลือก
ท้าวผกาพรหมเล่าให้หลวงพ่อฟังในสมาธิว่า แผนปฏิวัติของเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกผิดพลาดตรงที่พระยาสรรค์บุรีทำเกิน อำนาจที่สั่งไว้ทำให้เสียหายหลายอย่าง สำหรับเรื่องพระเจ้าตากสินลงโทษพระสงฆ์นั้น เป็นแผนหลอก ๆ ที่ได้แอบตกลงกันไว้ล่วงหน้าแล้ว โดยทำเป็นว่า พระสงฆ์ทำผิดก็เรียกมาสอบสวน และตอนลงโทษก็เอานักโทษในเรือนจำมาโกนหัวห่มผ้าเหลืองให้แล้ว จึงเฆี่ยนตี เพื่อให้คนทั้งหลายเข้าใจว่าพระเจ้าตากสินเสียสติเป็นบ้าที่กล้าเฆี่ยนตีพระ
การกระทำเกินเหตุของพระยาสรรค์บุรี ได้ถูกเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกจับพระยาสรรค์บุรีประหารชีวิต จากนั้นท่านก็สถาปนาตนเองขึ้นเป็นสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกแล้ว มีคำสั่งให้เอาพระเจ้าตากสินไปประหารชีวิต ด้วยวิธีจับใส่กระสอบทุบด้วยท่อนจันทร์จนตาย แต่คนที่อยู่ในกระสอบไม่ใช่พระเจ้าตากสิน
ครั้งแรกราชองครักษ์ของพระเจ้าตากสินมีความจงรักภักดีขอรับอาสาตายแทน แต่สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกไม่เอา ให้เอานักโทษประหารชะตาขาดมาใส่กระสอบแทนพระเจ้าตากสิน แล้วทุบด้วยท่อนจันทร์ตายแทน ส่วนราชองครักษ์นั้นก็ถูกประหารไปด้วยในฐานะที่รู้มากจำต้องปิดปากเสียตาม ระเบียบ
สรุป เรื่องนี้พระเจ้าตากสินมหาราชกับพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ยอมเสียชื่อเสียงเพื่อ ให้ประเทศชาติดำรงคงอยู่สืบไป โดยพระเจ้าตากสินยอมเสียชื่อเสียงให้คนทั้งหลายเข้าใจว่าพระองค์เป็นบ้าถูก ประหารด้วยท่อนจันทร์ ฝ่ายพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าต้องยอมเสียชื่อเสียงในฐานะเป็นขบถแย่งราช สมบัติจากพระเจ้าตากสินแล้วประหารพระเจ้าตากสินด้วยท่อนจันทร์
บารมีของคนไทยจริง ๆ ที่มีพระมหากษัตริย์ที่รักชาติ รักคนไทยเช่นนี้ มิได้เห็นแก่ประโยชน์สุขของพระองค์เองเลย
8 ตุลาคม 2551 19:44 น.
ลุงแทน
.........เรื่องของ "สาวโบว์" ที่ต้องมาเสียชีวิตจากเหตุการเมื่อวานนี้ เป็นอุทาหรณ์ ให้คนที่ได้รับทราบข่าวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ว่าการเสียชีวิตของเธอนั้น ใครคือผู้ที่ "ฆ่าเธอ".......??????????
ผู้เป็นพ่อบอกเองว่าเป็นผู้ที่ขับรถมาส่งเธอพร้อมกับภรรยา และน้องสาสวเธออีกคน ที่หลังทำเนียบ แล้วสามคนแม่ลูกก็เดินมาด้วยกัน ในวินาที ที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นเมื่อมีสถานการณ์ที่ ทางตำรวจต้องยิงแก๊สน้ำตาเพื่อสบายการชุมนุม ในขณะที่ผู้เป้นพ่อบอกว่า ทั้งสามคนแม่ลูกอยู่ในแถวหน้า (ผู้เป็นพ่อไม่ได้อยู่ด้วย) เป็นเหตุให้สามแม่ลูกได้รับบาดเจ็บ แม่ใช้ร่างกายของเธอเข้าทับร่างลูกสาวเป็นการปกป้องโดยไม่คำนึงถึงชีวิตตัวเอง น้องสาวน้องอยู่ข้างๆ ได้รับบาดเจ็บเช่นกัน ทั้งสามแม่ลูกถูกส่งโรงพยาบาลคนละแห่ง ในที่สุด "สาวโบว์"ทนพิษบาดแผลไม่ใหวเสียชีวิตในที่สุด
เหตุการณ์ครั้งนี้ที่ต้องมีการสูญเสีย ใครคือผู้ที่ฆ่าเธอ ........????? ถ้าผู้เป็นพ่อ-แม่ มีความคิดที่ดีกว่านี้คงมีเหตุผลพอที่จะไม่นำครอบครัวมาในสถานที่ ที่มีการเสี่ยงอันตราย
"การสูญเสียครั้งนี้เป็นอุทาหรณ์ ให้ผู้เป็นพ่อ-แม่ตระหนักได้ถ้วนถี่ ก่อนจะไปโทษใคร"
...........หากผิดใจใครบ้างก็ต้องขออภัย.............
4 ตุลาคม 2551 23:32 น.
ลุงแทน
.......เรื่องมีอยู่ว่า........ในคืนเดือนมืด มืดตึดตื้อของคืนหนึ่ง ณ ริมทุ่งใกล้วัดร้าง ที่มีแต่ กุฎีโทรมๆ กับเจดีย์ เก่าหลายเจดีย์ ข้าพเจ้ากับพวกเดินกับจากธุระที่จำเป็นต้องผ่านเส้นทางนี้ ทั้งๆ ที่ไม่อยากจะผ่าน ด้วยกิตติศัพย์ที่เล่าลือเรื่อง "ผีดุ" แต่เมื่อไม่มีทางเลือกอื่นจึงจำเป็นต้องผ่าน ขณะนั้นเวลาประมาณเกือบตีหนึ่ง เป็นบรรยากาศที่ไม่สามารถอธิบายได้ว่ารู้สึกอย่างไร ยิ่งสายลมโชยมาแผ่วๆ ทำให้เย็นยะเยือกเข้าไปในหัวใจ เส้นขนทุกเส้นตั้งชันอย่างบอกไม่ถูก เสียงสุเห่าเห่าหอนแว่วมา จะว่าไกลก็ไม่ไกล จะว่าใกล้ก็ไม่ใกล้ ยิ่งเพิ่มบรรยากาศให้วังเวงยิ่งขึ้น
.......ในขะะที่กำลังจะเดินผ่านเจดีย์ที่เขาบรรจุอัฐิ ที่ไม่มีญาติพี่น้องมาดูแล้วนับเป็นสิบปี ทันใดนั้น.....ทั้งเพื่อนและข้าพเจ้าต้องสดุ้งขึ้นพร้อมกัน......เมื่อเห้นดวงไฟสองดวงอยู่ห่างกันไม่เกินสองศอก เป็นดวงไฟที่อยุ่ระดับฐานเขดีย์.....และต้องตกใจยืนนิ่งตัวแข็งทื่อ ท้าวแข็งไม่สามารถก้าวเท้า หรือแม้ขยับให้เดินต่อไปได้.....เมื่อได้ยินเสียงมาจาดดวงไฟที่หนึ่งว่า
...."เองตายยังไงหรือ..........." เป็นเสียงของผู้ชายที่ฟังแล้วชวนสยองยิ่งนัก
...." ข้าถูกยิงตาย......มันยิงข้าที่หน้าอก ยังไม่หนำใจ ตามมาซ้ำที่ตัวข้าอีก ทำให้ตาของข้าต้องห้อยอยู่อย่างนี่ ทั้งปวดทั้งรำคราญ.........." อีกเสียงตอบากดวงไฟดวงที่สอง ......." แล้วเอ็งล่ะเป้นอะไรตาย........" เสียงจากไฟดวงที่สองถามกลับมาบ้าง
......." ข้าถูกดักฟันข้างหลัง มันฟันข้าที่หัว ดูซิแยกเป็นเสี่ยงเลย........."
เสียงไฟดวงแรกตอบ
แล้วเสียงนั้นก็เงียบไปสักพักหนึ่ง นานเท่าไรไม่รู้ที่เสียงนั้นเงียบหายไป แต่ในความรู้สึกของข้าพเจ้าในเวลานั้น ช่างนานเสียเหลือเกิน
......."แล้วเอ็งล่ะ เป็นอะไรตาย........" เสียงที่ถามนั้นมาจากดวงไฟดวงแรก.....แสดงว่า..............ในระหว่างดวงไปสองดวงนั้น ต้องมีอะไรสักอย่างที่อยุ่ตรงกลาง.....จริงอย่างนั้น เพราะในระหว่างดวงไฟสองนั้น มีอีกร่างหนึ่งที่นั่งยองๆอยู่ตรงกลาง............ทันใดนั้น..................
"....ฮือ ฮือ ฮือ......" เสียงตรงกลางนั้นครางสั่น จนได้เสียงเหมือนที่กระทบกัน
"ฮืออออ......กู....ยัง....ไม่....ตาย.....กู.....มา....นั่งขี้......โว้ย............."
เรื่องก็เป็นอย่างนี่เอง..........แล ฯ