22 พฤษภาคม 2551 09:17 น.
ลุงแทน
คงไม่มีคำจำกัดความใด ๆ สามารถบรรยายความเป็น “แม่” ได้หมดสิ้น ความรักทั้งหมดทั้งปวงในโลกนี้รวมกันก็ไม่เท่าความรักของแม่คนหนึ่งที่มีต่อ ลูก ความรักของแม่งดงามเหมือนดอกไม้ ยิ่งใหญ่ดุจศิลปะที่จรรโลงมนุษยชาติได้ด้วยสองมือกับหนึ่งหัวใจ ความรักของแม่ยิ่งใหญ่กว่าท้องฟ้าอย่างที่เคยว่าไว้ตอนเด็ก ๆ คุณเองก็รู้ดี
หากดอกมะลิจะทดแทนความหมายความรักของแม่ได้ นั่นก็เพราะดอกมะลิเป็นดอกไม้ของความบริสุทธิ์ ผุดผ่อง และอ่อนโยน แทนความหมายว่า “เธอคือผู้ที่ฉันสุดรักสุดบูชา” หรือ “เธอคือดอกฟ้าผู้สง่างามและสูงส่ง” และคุณก็อาจไม่เคยรู้ว่าข้างในหัวอกของผู้เป็นแม่นั้น นอกจากบรรจุแน่นด้วยความรัก ความปรารถนาดีแล้ว ยังมีความรู้สึกที่มีต่อลูกอีกมากมายเหลือคณานับ ลำดับมาพอเป็นสังเขปจากเศษเสี้ยวของหัวใจแม่ได้ 8 ข้อต่อไปนี้
1. แม่อยากให้ลูกมีสุขภาพดี
ย้อน ความกลับไปตั้งแต่มีชีวิตใหม่เกิดขึ้นในท้องแม่ ท่านเฝ้าดูแล ทะนุถนอมลูกน้อยในครรภ์ แม้ท่านต้องลำบากและปรับเปลี่ยนพฤติกรรม หลายอย่างในชีวิต ทั้งหมดเพียงเพื่อลูก ต่อมาวินาทีแรกที่ลูกลืมตา ถามแม่ร้อยคน ประโยคแรกที่อยากได้ยินจากปากหมอคือ ลูกมีอวัยวะครบถ้วนทุกประการ ยามเป็นทารก เมื่อลูกไอ แม่ก็อยากไอแทน ลูกร้องไห้ก็แสนจะทรมานไปกับลูก
2. แม่อยากให้ลูกมีการศึกษาที่ดี
การ ศึกษาคือรากฐานที่สำคัญที่สุดในชีวิต นับตั้งแต่เริ่มหัดอ่าน หัดเขียน ท่านตรากตรำพร่ำสอนคุณอย่างไม่ลดละ (คุณอาจไม่รู้ว่า การสอนเด็กเล็กคนหนึ่งให้อ่านออกเขียนได้นั้นยากเย็นเพียงใด) แม่ร้อยคนก็ล้วนมีล้านวิธีต่างกันออกไป หากแต่มีเพียงจุดประสงค์เดียวกัน คืออยากให้ลูกได้รับการศึกษาที่ดีที่สุดของกำลังคนเป็นแม่จะทำได้ หากทำงานเหนื่อยหนักเพื่อมาจ่ายค่าการศึกษาของลูกได้วิธีไหน แม่ก็จะทำทุกวิถีทาง เพื่อลงทุนด้านการศึกษาให้ลูกซึ่งคุ้มค่ากว่าการลงทุนอะไรทั้งหมด
3. แม่อยากให้ลูกเข้าใจโลก เข้าใจตัวเอง และเข้าใจแม่ (บ้าง)
แม้ โลกจะเลวร้าย หากชีวิตยืดหยุ่นได้และปรับสภาพด้วยความเข้าใจ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนบนโลกใบนี้ก็จะมีแต่ความสงบสุข เข้าใจสภาพแวดล้อมแล้วก็อย่าลืมหันกลับมาเข้าใจภายในของตัวเอง และสิ่งสุดท้ายที่หัวอกคนเป็นแม่อยากบอกให้ลูกฟัง คือ เข้าใจท่านบ้าง ที่พร่ำบ่นพร่ำสอน เพียงเพราะคำว่ารักคำเดียว บริสุทธิ์ไร้สารพิษ ไม่มีสิ่งใดเจือปน
4. แม่อยากให้ลูกประหยัดและพอเพียง
ความ พอดีจะทำให้ลูกของแม่ไม่ฟุ้งเฟ้อ ไม่ทะเยอทะยาน ไม่โหยหาได้มาเพียงวัตถุ แล้วจิตใจต้องตกเป็นทาสของเงินตรา เชื่อเถิดว่าแม่ของคุณ อยากให้คุณพอมีพอกิน สมตัว สมฐานะ เพียงไม่ทำให้ใครเดือดร้อน ท่านอยากให้คุณ ร่ำรวยความสุขแทนตัวเลข เรียนรู้ที่จะประหยัด สมถะ และพอเพียงอย่างสร้างสรรค์
5. แม่อยากให้ลูกมีระเบียบและใช้ชีวิตให้เป็น
ลูก ๆ ทั้งหลายคงเคยถูกแม่จ้ำจี้จ้ำไชในความไร้ระเบียบ ท่านไม่ได้แค่เหนื่อยที่ต้องตามเก็บกวาดสมบัติประดามีของคุณ (เพราะการสอน เหนื่อยกว่าทำเองมาก) แต่แม่มองการณ์ไกลไปกว่านั้น หากวันใดไม่มีแม่อยู่ เพราะแรงโน้มถ่วงของโลกนำพาไป วันนั้นเองที่คุณจะต้องจัดการอะไรในชีวิตด้วยตัวเอง หากเริ่มต้นตอนนั้นคงสายเกินไปและยากเกินแกงที่จะเริ่มต้น แม่สอนให้คุณรู้จักแบ่งเวลาในชีวิต หน้าที่ส่วนตัว หน้าที่ส่วนรวมให้แยกแยะ ไม่ขาดตกบกพร่อง ขณะที่ต้องไม่ลืมทำตามหัวใจ และสิ่งเหล่านี้จะทำให้ลูกมีความสุขในชีวิตได้
6. แม่รักลูกมากพอที่จะปล่อยให้ลูกมีอิสระและตัดสินใจด้วยตัวเอง
แม่ หวง แม่ห่วง เพราะแม่รัก เมื่อคุณยังเด็กและไม่มีวุฒิภาวะมากพอที่จะแก้ปัญหาเฉพาะหน้า อย่านึกตะขวงใจที่แม่ไม่ยอมปล่อยให้คุณทำอะไรด้วยตัวเอง เพราะสักวันหนึ่งก็จะถึงเวลาของคุณ ในทางกลับกัน หากแม่ของคุณสอนให้คุณรู้จักช่วยเหลือตัวเองตั้งแต่ยังเด็ก นั่นก็เพราะท่านอยากให้คุณรู้จักการใช้ชีวิต คิดตัดสินใจด้วยตัวเอง ท่านมอบยานพาหนะคันงามที่ชื่อว่าอิสระให้คุณแล้ว หมายความว่า คุณจะต้องบังคับทิศทางไว้ในที่ที่ควรอยู่ โดยจะมีแม่คอยมองคุณอยู่ข้างหลัง
7. แม่อยากให้ลูกเชื่อฟังคำ แม่สอน
ไม่มีแม่ในโลก คนไหนหวังร้ายกับลูก บางเวลาคำพูดของแม่ออกมาอย่างมีอารมณ์แต่ไม่เคลือบแฝง เพียงเชื่อคำแม่สอน ชีวิตคุณก็จะเป็น-อยู่-คือ อย่างที่ควรจะเป็น และคำแม่สอนจะติดตัวเป็นสมบัติล้ำค่าไปตลอดชีวิต หาซื้อไม่ได้ เวลาก็ย้อนคืนมาไม่ได้ เช่นกัน ทว่าสามารถเก็บไว้ได้เป็นคอลเลกชั่นในใจได้
8. แม่อยากให้ลูกกตัญญู รู้คุณคน
ไม่เพียงรู้บุญ คุณของน้ำนมแม่ หากแต่ความกตัญญูกตเวทีจะนำพาให้ชีวิตคุณอยู่รอดปลอดภัย ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ ไปอยู่ที่ไหนก็ไม่ตกอับ หากเราซื่อสัตย์และจริงใจต่อใครก็ตามที่ดีกับเรา และถึงแม้เขาจะไม่ดีด้วย ก็ให้เอาชนะใจคนด้วยความดี
ไม่ว่าลูกของแม่จะเป็นอะไร เป็นใครที่เลวร้ายหรือน่ารังเกียจสำหรับคนอื่นมากแค่ไหน แต่สำหรับแม่แล้ว คุณคือแก้วตาดวงใจของท่านเสมอ นับตั้งแต่วินาทีแรกที่เกิดจนวันสุดท้าย
22 พฤษภาคม 2551 09:09 น.
ลุงแทน
ก่อนไม่มีแม่ให้กอด... เรื่องจริงจาก รร.อัญสัมชัญ
แล้วจะกลั้นน้ำตาแทบไม่อยู่ ......
เรื่องนี้ต้องยกความดีความชอบให้กับ "มิสอุไรพร" ครูที่มีจิตวิทยาสูงในการสอนเด็ก
รักใดไหนเล่าเท่ารักแม่...วีรกรรมสุดยิ่งใหญ่ของแม่ที่ลูกทุกคนต้องอ่าน!
ตึกเซนต์หลุยส์มารี โรงเรียนอัสสัมชัญ แผนกประถม ราวกลางปี พ.ศ.2539
“มิสคะ ช่วงพักเที่ยงจะมีผู้ปกครองมารอพบสองท่านที่หน้าห้องรับรองค่ะ”
โทรศัพท์แจ้งจากห้องประชาสัมพันธ์ทำให้มิสอุไรพร นาคะเสถียร
ครูสาวประจำระดับชั้นป.4 รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
เพราะจำได้ว่ามีการโทรนัดหมายจะมาพบจากคุณแม่ท่านหนึ่งเพียงท่านเดียวในวันนี้
เอ...ใครล่ะนี่ จะมีเรื่องอะไรรึเปล่านะ
เมื่อมิสอุไรพรเดินมาถึงหน้าห้องประชาสัมพันธ์
ครูสาวก็แทบยกมือรับไหว้จากสุภาพสตรีทั้งสองท่านไม่ทัน
หากก็รู้สึกแปลกใจที่เห็นคุณแม่ท่านหนึ่งยกมือไหว้แต่เพียงแขนข้างเดียว
อย่างไรก็ตามมิสได้เชิญคุณแม่ท่านแรก
เข้าไปคุยก่อนตามลำดับการนัดโดยเก็บงำความแปลกใจไว้
หลังจากคุยกับคุณแม่ท่านแรกเสร็จมิสจึงเชิญคุณแม่อีกท่านเข้ามาคุยในห้องรับรอง
ภาพแรกที่ได้เห็นชัดๆทำให้ครูสาวตกใจเล็กน้อย
แขนซ้ายของคุณแม่เป็นแขนเทียม คุณแม่มาปรึกษาเรื่อง การเรียนของลูก
เพราะไม่ได้มาในวันนัดพบผู้ปกครองประจำปีเมื่อต้นปีการศึกษาที่ผ่านมา
“ลูกเขาไม่อยากให้มา เขาว่าเขาอายที่แม่ใส่แขนเทียม
กลัวโดนเพื่อนล้อแม่มาทีเพื่อนก็ล้อกันประจำว่าแม่แขนเดียว
แม่เป็นหุ่นยนต์เหรอ อะไรนี่น่ะค่ะ เลยไม่ได้มา”
น้ำเสียงของคุณแม่แฝงแววเอ็นดูมากกว่าที่จะโกรธหรือไม่พอใจ
มิสอุไรพรขออนุญาตซักถามเกี่ยวกับสาเหตุที่คุณแม่ต้องใส่แขนเทียม
เมื่อได้ทราบความจริงทั้งหมดครูสาวก็ตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะต้องจัดการ
เรื่องที่ลูกไม่ยอมรับและไม่เข้าใจแม่นี้โดยเร็ว
หากปล่อยเรื่องนี้ไป...ก็จะเป็นบาปอันหนักยิ่งติดตัวเด็กไปในภายหน้า
ทั้งตัวลูกชายและคนที่ล้อเพื่อนด้วย
ช่วงเย็นวันนั้นมีชั่วโมงลูกเสือแต่ฝนตกหนัก
มิสอุไรพรจึงได้โอกาสนำเรื่องนี้มาเล่าให้นักเรียนฟังในห้องเรียน
เรื่องราวที่ว่านั้น มีดังต่อไปนี้
วันที่ 21 สิงหาคม พ.ศ.2536หลังวันแม่เพียงไม่กี่วัน...
ครอบครัวหนึ่งได้เดินทางไปเที่ยวนากุ้งที่จังหวัดสตูล
ครอบครัวนี้ประกอบด้วยคุณพ่อ คุณแม่
และลูกชายอีกสามคนพวกเขาเดินชมนากุ้งไปตามทางเดินซึ่งเป็นคันดิน
ท่ามกลางบรรยากาศสดชื่นของธรรมชาติ
โดยคุณพ่อเดินนำหน้ากับลูกชายคนโตสองคน
ส่วนคุณแม่เดินตามหลังมากับลูกชายคนเล็ก
ทางเดินที่เป็นคันดินนั้นมีการแบ่งเป็นท้องร่องเพื่อติดตั้งระหัดวิดน้ำ
ซึ่งมีใบพัดทำจากเหล็กสูงจากคันดินราว 25ซม
คุณพ่อและลูกคนโตสองคนก็ข้ามท้องร่องแล้วเดินนำต่อไปข้างหน้า
ไม่มีใครฉุกใจคิดระวังถึงเหตุร้าย
แต่แล้วลูกชายคนเล็กกลับก้าวพลาดล้มลงไปในท้องร่อง
ขากางเกงเข้าไปติดกับร่องของระหัดวิดน้ำที่กำลังหมุนอยู่
และฉุดขาของลูกทั้งสองข้างเข้าไปในใบพัดเหล็ก
“ถ้าเป็นพวกคุณ น้องตกลงไปอย่างนี้คุณจะทำอย่างไร”
มิสหยุดเรื่องไว้ก่อนเพื่อซักถาม มองหน้าเด็กนักเรียน
ทั้งห้องที่นั่งเงียบกริบ หน้าซีด โดยเฉพาะ “ลูกชาย” ของคุณแม่ท่านนั้น
“ทุกคนตกตะลึงใช่มั้ย คิดไม่ทันใช่มั้ย
แต่นักเรียนรู้มั้ยว่าคุณแม่ท่านตัดสินใจทำอย่างไร”
คุณแม่ไม่ยอม เสียเวลาคิดอะไรเลย
ท่านรีบยึดดึงตัวลูกเอาไว้แล้วเอาแขนซ้ายที่ว่างอยู่เข้าไปขวางใบพัดเหล็กไว้ก่อน...
ใบพัดจึงหมุนเอาแขนของคุณแม่เข้าไป...คนงานที่เห็นเหตุการณ์รีบปิดเครื่องทันที
แต่แรงเฉื่อยทำให้ใบพัดยังหมุนต่อด้วยกำลังแรง...
แรงจนกระชากแขนซ้ายของคุณแม ่ขาดสะบั้นลง!
คุณแม่กรีดร้องด้วยความเจ็บปวดทรมานแสนสาหัสสติสัมปชัญญะดับวูบลงในทันที
ท้องร่องทั่วบริเวณแดงฉานไปด้วยเลือด...เลือดของแม่...
ใบพัดเหล็กยังหมุนต่อไปอีกเล็กน้อยและบดเอาขาทั้งสองข้างของลูกชายคนเล็ก
จนกระดูกหัก...แต่ไม่ขาด ..ไม่ขาด...เพราะแขนซ้ายของแม่ขาดแทน...ไม่ขาด...เพราะแม้จะไร้ซึ่งสติสัมปชัญญะ
มือขวาของคุณแม่ก็ยังยึดตัวลูกเอาไว้แน่น...ไม่ยอมปล่อย...
คุณพ่อและลูกคนโตทั้งสองคนหันกลับมามองตามเสียงตะโกนเอะอะโวยวายของคนงาน
พร้อมๆกับเสียงกรีดร้องของคุณแม่ ภาพที่เห็นทำให้พวกเขาช็อกจนแทบสิ้นสติ!
คุณพ่อกระโจนพรวดเดียวถึงตัวคุณแม่และลูกน้อย แต่...มันสายเกินไปแล้ว!
สิ่งเดียวที่ทำได้คือรีบพาสองแม่ลูกส่งโรงพยาบาลทันที
ผลของการรักษาคือคุณแม่ต้องใส่แขนเทียมแทนแขนซ้ายที่ขาดไป
ส่วนลูกคนเล็กที่ขาหักต้องอยู่โรงพยาบาลนานราวสามเดือนจึงสามารถเดินเหินได้เป็นปกติ
มิสอุไรพรกวาดสายตามองไปรอบๆห้องถามขึ้นอีกว่า
“นักเรียนคิดว่าคุณแม่ท่านนี้กล้าหาญมั้ยคะ”
“กล้าหาญมาก” เด็กๆพากันตอบเป็นเสียงเดียวกันพลางพยักหน้า
หลายๆคนยังหน้าซีดเซียวเมื่อนึกภาพเหตุการณ์ไปตามที่ครูเล่า
มิสมองหน้า “ลูกชาย” ของคุณแม่แล้วบอกต่อว่า
“นักเรียนทราบมั้ยว่าคุณแม่ท่านนี้เป็นคุณแม่ของเพื่อนเราในห้องนี้เองไหน
ใครเป็นลูกของคุณแม่ท่านนี้ยืนขึ้นให้เพื่อนเห็นหน่อยสิ”
เด็กนักเรียนคนนั้นยืนขึ้น ท่ามกลางเสียงปรบมือของเพื่อนทั้งห้อง
“วันนี้เมื่อคุณกลับไปบ้านมิสฝากเรียนคุณแม่ด้วยว่าพวกเราชื่นชม
และยกย่องท่านมากจริงมั้ยพวกเรา”
“จริงครับๆ ใช่ครับๆ” เสียงเล็กๆตอบมาเป็นทางเดียวกัน
“มิสได้ทราบมาว่ามีหลายๆคนไปล้อเลียนเพื่อน ไหน
คนไหนบ้างคะที่เคยล้อคุณแม่เขา ถ้ามีเราเป็นลูกผู้ชายต้องกล้ารับค่ะ”
มีนักเรียน 3-4 คนยืนขึ้น สีหน้าของแต่ละคนซีดเซียวอย่างสำนึกผิด
มิสอุไรพรมองหน้าของเด็กกลุ่มนี้อย่างอ่อนโยน ถามว่า
“ดีมากนักเรียน ตอนนี้คุณคงอยากพูดอะไรกับเพื่อนใช่มั้ยคะ”
เด็กชายกลุ่มนั้นเดินเข้าไปโอบกอดคอแล้ว กล่าวขอโทษเพื่อนด้วยความจริงใจ
ครูสาวน้ำตาคลอ ยืนมองภาพนั้นด้วยความปลาบปลื้มยินดีหนักใจอยู่เหมือนกันว่า
หากถามขึ้นมาแล้วไม่มีใครยอมรับว่าเคยล้อเพื่อน...จะทำอย่างไร?
เธอไม่เคยผิดหวังในตัวนักเรียนอัสสัมชัญและจนถึงเวลานี้ก็ยังคงไม่ผิดหวัง
ใครเล่า...จะเข้าใจความเจ็บช้ำขมขื่นในหัวใจเล็กๆของเด็กชายคนหนึ่ง
ที่ถูกเพื่อนล้อเลียนประสาเด็กโดยไม่ทันคิด
หากบัดนี้...ความรักของแม่และน้ำใจของเพื่อนได้สลายปมด้อยในใจ
ของเด็กคนนี้ลงจนสิ้นแล้ว เหลือเพียงความรักและภาคภูมิใจในตัวคุณแม่เท่านั้น
เมื่อหมดชั่วโมงเรียน มิสอุไรพรได้เรียกตัว “ลูกชาย” เข้าไปคุยอีกครั้ง
“วันนี้เรามีอะไรในใจที่คิดว่าควรพูดกับคุณแม่มั้ยคะ”
เด็กคนนั้นนิ่งคิดไปชั่วครู่ก่อนจะตอบเสียงสั่นปนสะอื้นไห้ว่า
“ผม...ผมจะไปขอโทษคุณแม่แล้ว...แล้วบอกคุณแม่ว่าผมรักคุณแม่ที่สุดในโลกเลยครับ”
รู้มั้ยน้ำนมหยดหนึ่งซึ่งไหลมาต้องใช้น้ำตาหยาดเหงื่อสักเท่าไหร่
บอกแม่เถอะนะ บอกทุกวัน ว่ารักท่านมากมาย
กอดแม่เถอะนะ ให้คุ้นเคย กอดเลยไม่ต้องอาย
ก่อนไม่มีแม่ให้กอด...
10 เมษายน 2551 18:16 น.
ลุงแทน
คัดลอกมาจาก คุณ ดุลยภาพ
ผมได้ดูข่าวมีการสำรวจว่า ในวันขึ้นปีใหม่ไทยที่จะถึงนี้ คนไทยอยากได้อะไรมากที่สุด สิ่งที่คนไทยอยากได้มากที่สุดรู้ไหมครับว่าคืออะไร คนไทยอยากให้ราคาน้ำมันถูกลง เป็นความหวังของคนไทย
จากความหวังดังกล่าว ทำให้ผมเห็นว่า ความเข้าใจในเรื่องภาวะราคาสินค้าที่สูงขึ้นของคนไทย ยังบกพร่องอยู่
ผมขอวิเคราะห์ให้เข้าใจอย่างง่ายๆ น่ะครับ ว่าสาเหตุที่ทำให้ราคาสินค้ามีการปรับตัวสูงขึ้น เกิดมาจาก 2 ปัจจัยด้วยกัน (ตามหลักทางเศรษฐศาสตร์) นั้นคือ
1. แรงผลักดันทางด้านอุปสงค์ - Demand Pull กล่าวคือ หากคนในระบบเศรษฐกิจมีความต้องการสินค้าชนิดใดชนิดหนึ่งในปริมาณที่มาก โดยให้สภาพแวดล้อมอยู่ในภาวะที่คงที่ การที่เรามีความต้องการมาก วิธีการที่จะทำให้เราได้มาซึ่งสินค้าที่ต้องการ คือ การเสนอซื้อในราคาที่สูงกว่าคนอื่นๆ เพื่อที่จะทำให้ผู้ขายหรือผู้ผลิตยอมที่จะขายให้แก่เรา จากการกระทำข้างต้นนี้ ก็ย่อมทำให้ราคาสินค้าโดยทั่วไปสูงได้ขึ้นเช่นกัน
2. แรงจากด้านอุปทาน - Cost Push นั้นคือ หากวัตถุดิบที่จะใช้ในการผลิตสินค้าดังกล่าวมีราคาที่สูงขึ้น ย่อมผลักดันให้ต้นทุนในการผลิตเพิ่มขึ้นตามไปด้วย เมื่อต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ผู้ผลิตก็จะตั้งราคาขายที่สูงขึ้นตาม ทำให้ราคาสินค้าโดยทั่วไปสูงได้เช่นเดียวกัน
จากปัจจัยทั้ง 2 ข้างต้น สามารถอธิบายปรากฎการณืที่ราคาน้ำมันสูงขึ้นได้ดังนี้
น้ำมัน เป็นทรัพยากรธรรมชาติประเภทใช้แล้วหมดไป โดยปริมาณการใช้น้ำมันในโลกนั้นมีลักษณะเพิ่มขึ้นตามจำนวนประชากร ความเจริญของประเทศ เป็นต้น ดังนั้น เมื่อปริมาณความต้องการใช้มีแต่จะเพิ่มสูงขึ้น แต่ปริมาณน้ำมันที่จะมาสนองได้นั้นมีไม่เพียงพอ หรือผู้ผลิต (กลุ่มOPEC) มีการผลิตในปริมาณที่น้อยกว่าความต้องการดังกล่าว มันจะส่งผลให้ราคาน้ำมันสูงขึ้นได้ และหากปริมาณการใช้ยังไม่สะท้อนความเป็นจริงตามราคา ราคาน้ำมันก็ยังคงมีแนวโน้มที่จะสูงอย่างแน่นอน
คำถาม คือ แล้วราคาน้ำมันในประเทศไทยสะท้อนราคาที่แท้จริงหรือไม่ ?
ตอบ ได้อย่างเต็มปากเลยว่า ไม่ เนื่องจากรัฐฯให้การอุดหนุนส่วนต่างของราคาที่สูงขึ้น เพื่อที่จะ
1. ทำให้ประชาชนโดยทั่วไปได้ใช้น้ำมัน ในราคาที่ถูกลง โดยอ้างว่าจะช่วยบรรเทาภาวะค่าใช้จ่ายของประชาชนในชาติ และช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย
2. ผลได้ที่แอบแฝงอยู่ เบื้องหลังการกระทำดังกล่าวคือ การได้รับความนิยม พึ่งพอใจจากประชาชน อาจจะทำให้ได้รับเรื่องตั้งอีกในสมัยถัดไป เป็นต้น
หากพิจารณาการที่รัฐฯเข้ามาแทรกแซงราคาน้ำมันดังกล่าว เป็นการกระตุ้นให้ประชาชนไม่มีความคล้อยต่อสภาพความเป็นจริง ว่าราคาน้ำมันที่แท้จริงมันสูงขึ้น เนื่องมาจาก ราคาที่ประชาชนในประเทศเผชิญยังมีราคาที่ไม่สูงมากนัก ผลก็คือ ปริมาณความต้องการใช้น้ำมันในประเทศไม่ลดลง (ตาม กฎของอุปสงค์และอุปทานแล้ว เมื่อราคาสินค้าเพิ่มสูงขึ้น เราจะบริโภคสินค้าดังกล่าวในปริมาณที่ลดลง แล้วอาจจะหันไปบริโภคสินค้าอื่นที่สามารถทดแทนสินค้าดังกล่าวได้) ทำให้ประเทศไทยต้องนำเข้าน้ำมันในปริมาณที่สูงเช่นเดิม(เนื่องจากเราไม่ สามารถผลิตน้ำมันเองได้) โดยจ่ายราคาซื้อเท่ากับราคาตลาดโลก ลองนึกดูน่ะครับว่า มันจะมีมูลค่ามากขนาดไหน เพื่อจะมาสนองตอบต่อความต้องการจอมปลอมดังกล่าว
แล้วเงินที่ใช้ในการแทรกแซงราคาน้ำมัน ก็เป็นเงินจากผู้บริโภคทั้งสิ้น เพื่อนำมาอุดหนุนส่วนต่างตรงนี้ เราลองนึกดูน่ะครับว่า หากราคาน้ำมันในตลาดโลกผันผวนขึ้นลงทุกวัน ส่วนที่รัฐฯต้องจ่ายเพื่อแทรกแซงราคาน้ำมันดังกล่าวจะมีมูลค่ามากแค่ไหน แล้วภาระตรงจุดนี้ก็ไม่ได้ตกไปกลับใคร ก็จะกลับมาสู่ประชาชนทุกคนในอนาคต
ผมไม่ได้ไม่เห็นด้วยกับการกระทำของรัฐฯ แต่การที่รัฐเข้าไปแทรกแซงการทำงานของตลาด ต้องมีขีดจำกัดทางด้านเวลา ว่าจะอุดหนุนนานแค่ไหน หากว่ายิ่งอุดหนุนมาก ภาระแก่ประชาชนที่ต้องแบกรับก็ย่อมมากด้วย
แล้วภาระที่ประชาชนต้องแบกรับ จากการเข้าไปแทรกแซงราคาน้ำมันของรัฐบาล คือ
1. ประชาชนต้องใช้น้ำมันในราคาที่สูง หากราคาน้ำมันในอนาคตเกิดการปรับตัวลดลง เนื่องจาก ต้องนำส่วนต่างของราคาดังกล่าวมาชดเชยกับงบประมาณที่รัฐฯเข้าไปแทรกแซงก่อน หน้านี้
2. ประชาชนขาดการปรับตัว การที่รัฐฯเข้ามาแทรกแซงเช่นนี้ จะทำให้ผู้ผลิตไม่รู้สึกว่าต้องปรับปรุงกิจการอย่างไร เพราะรัฐฯยังให้การช่วยเหลืออยู่ ทำให้ไม่สามารถแข่งขันกับคู่แข่งได้ ประเทศก็ไม่มีการพัฒนาเช่นกัน
3. หากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น แล้วรัฐฯยังทำการอุดหนุนอยู่ ประเทศก็จะสูญเสียโอกาสทางความเจริญ แทนที่จะนำเงินหรืองบประมาณที่ใช้ในการอุดหนุนดังกล่าวไปพัฒนาระบบขนส่งมวล ชน ให้ประชาชนหันมาใช้บริการมากขึ้น สร้างระบบรถไฟฟ้าให้ครอบคลุมเชื่อมต่อจากแหล่งที่อยู่อาศัยกับใจกลางเมือง มันน่าจะดีกว่า เป็นต้น
จากการที่ได้อธิบายดังกล่าวข้างต้น ของขวัญที่ประชาชนชาวไทยอยากเห็นในช่วงวันปีใหม่ไทย ก็อาจเป็นไปไม่ได้ เพราะประเทศของเรารัฐยังเข้าไปแทรกแซงราคาน้ำมันอยู่ และมันก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้การพัฒนาด้านพลังงานทดแทนของประเทศไม่มี ผลอย่างจริงจัง
ดังนั้นความหวังของคนไทย ที่ต้องการให้ราคาน้ำมันลดลงนั้น เห็นท่าว่าจะเป็นไปได้ยาก และมีแนวโน้วจะสูงขึ้นอีกด้วย
3 เมษายน 2551 19:25 น.
ลุงแทน
อำเภอแม่สายนั้น เดิมเป็นที่ตั้งของเมื่อง "เวียงศรีทวง" เป็นเมืองของพวกลวะ หรือลั๊วะ เป็นเมืองขึ้นเมืองหนึ่งของอาณาจักร "โยนกนครราชธานีไชยบุรีศรีช้างแสน" (อำเภอเชียงแสนในปัจจุบัน) อันเมืองโยนกนครไชยบุรีศรีช้างแสนนั้น สร้างโดยปฐมกษัตริย์ พระนามว่า พระเจ้าสิงหนวัติราช ก่อนที่จะกล่าวถึงประวัติเมืองเวียงศรีทวง---เวียงพาน---เวียงพานคำ จนถึงเวียงพางคำในปัจจุบัน กะกล่าวถึงประวัติเมืองโยนกนครไชยบุรีศรีช้างแสน พอสังเขป
เมืองโยนกนครไชยบุรีศรีช้างแสน (เมืองเวียงพัธุสิงหนวัตินคร) นครโยนกไชยบุรีศรีช้างแสนนั้น เป็นเมืองโบราณตามตำนานดอยตุงกล่าวไว้ว่า นครนี้สร้างขึ้นสมัยก่อนพุทธกาล แต่ก่อนเคยเป็นอาณาจักร "สุวรรณโคมคำ" แต่โบราณกาล และเปลี่ยนแปลงมาเป็นอาณาจักรโยนกไชยบุรีศรีช้างแสน เหตุที่เรียกชื่ออย่างนี้เพราะว่า สร้างนครขึ้นโดยอนุภาพแห่งพญาธุราคราช และพระเจ้าสิงหนวัติราช ซึ่งตรงกับตำนานสิงหนวัติที่เขียนไว้ว่า
".....นครทั้งมวลตั้งแต่ปฐมมูล สิงหนวัติกุมาร มาแต่เมืองนครราชคฤห์ หลวงไทยเทศ มาตั้งให้เป็นเมืองพันธุสิงหนวัตินคร......ครั้นต่อมา ก็กลายเป็นเมือง "โยนกนครราชธานีไชยบุรีศรีช้างแสน... กล่าวตำนานเมืองโยนกนครราชธานีศรีช้างแสน ก็สิ้นห้องหนึ่งแต่เท่านี้ก่อนแล....."
ด่านพรมแดนสมัยอดีต
สามเณรน้อยได้ยินคำพระยาขอมดำก็นึกโกรธในใจ ออกจากคุ้มพระยาขอมดำเดินไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือขึ้นสู่ดอยกู่แก้ว กราบพระธาตุ (คาดว่าเป็นพระธาตุกู่เต้าในปัจจุบัน) แล้วยกบาตรข้าวถวายแล้วอธิษฐานขอให้ตนตายใน 7 วันข้างหน้า แล้วไปเกิดในท้องของเทวีแห่งผู้เป็นแก่บ้านเวียงศรีทวง พออายุได้ 16 ปี ขอให้ปราบพระยาขอมดำตนนี้ได้ด้วยเทอญ เนื่องจากพระยาขอมดำผู้นี้มิรู้จักคุณของพระรัตนตรัย อธิฐานเสร็จแล้วสามเณรน้ยก็ลงมาตีนดอยกู่แก้ว นั่งอยู่ใต้ต้นไม้โดยไม่กินน้ำกินข้าว 7 วันก็ถึงแก่ความตาย แล้วไปปฏิสนธิในท้องของมเหสีพระองค์พัง
กำเนิดพระพรหมกุมาร
ครั้นมเหสีแห่งพระองค์พัง ตั้งครรภ์ได้ 10 เดือนก็ประสูตได้ลูกชายรูปร่างงดงามคนหนึ่ง ได้ชื่อว่า "พระพรหมกุมาร" ดังความว่า
".....ถึงศักราช 283 ตัวปีกาบไส้ เดิน 4 แรม 6 ค่ำ วันอาทิตย์....นางก็ได้ประสูติลูกชายคนหนึ่ง เกิดมามีวรรณเนื้อตนอันหมดจด.....เบิกบายนามกรเอานิมิตรอันงามเหมือนดั่ง พรหมลงมาเกิดนั้น จึงใส่ชื่อว่า พรหมกุมารนั้นแล....."
พระพรหมกุมาร นั้นเมื่ออายุได้เพียง 7 ขวบ ก็เป็นผู้ที่สนใจในศาสตราวุธทั้งหลาย ครั้นอายุได้ 13 ปีก็มีบุญวาสนาจับได้ช้างเผือกได้ 1 ตัว ที่แม่น้ำ แต่ช้างเผือกไม่ยอมขึ้นฝั่งจึงให้คนมาบอกพระองค์พังผู้เป็นบิดา พระองค์พังให้หมอดูทำนายทายทัก หมอดูก็ให้เอาทองคำมาตีเป็นพานทองแห่นำหน้าช้าง ช้างจึงจะขึ้นจากน้ำ เมื่อพานทองมาแล้วก็ตีพานทองคำลูกนี้น ช้างก็ขึ้นมาจากน้ำ ช้างตัวนั้นจึงได้ชื่อว่า พานคำ ดังว่า
"..... ครั้นไปถึงแล้วก็ตีต่อยยัง พานคำ ลูกนั้น ส่วนว่าช้างเผือกตัวนั้นได้ยินเสียงพานคำแล้วก็ออกจากแม่น้ำของ ด้วยสวัสดีแล.....ช้างตัวนั้นก็ให้นามชื่อว่า ช้างพานคำนั้นแล....."
ครั้นได้ช้างมงคลมาแล้วก็เลี้ยงดูเป็นอย่างดี เครื่องใช้ต่าง ๆ ของช้างต่างทำด้วยทองคำทั้งสิ้น กาลนั้นพระพรหมกุมารได้ส่งคนไปยังโยนกนครฯ เพื่อคอยสดับตรับฟังข่าวร้าย ข่าวดีแห่งพระยาขอมมิได้ขาด ส่วนพระองค์พังก็สั่งให้คนปิดคูเมือง แล้วนำน้ำเข้าคูเมือง โดยจัดทำประตูไว้สำหรับปิด-เปิดน้ำ แล้วก็ให้ชื่อว่า "เวียงพาน" .....ครั้งนั้น แก่บ้านศรีทวงตนพ่อก็ให้คนทั้งหลายตึกคูเวียงให้ดีแล้ว ก็แปงน้ำมาใส่ให้เต็มคูเวียง แล้วก็แปงประตูหับไขให้ดีแล้ว ก็ให้ชื่อว่า เวียงพาน แต่นั้นมา
เมืองเวียงพานคำ
เมื่อพระพรหมกุมาร อายุได้ 16 ปี ก็หยุดส่งส่วยแก่พระยาขอมดำ พระยาขอมดำเห็นว่าเวียงศรีทวงหยุดส่งส่วยมาเป็นเวลา 3 ปีแล้ว ก็โกรธ จึงรวบรวมลี้พลยกทัพมาปราบ พระหรหมกุมารก็จัดทัพเข้าต่อสู้ โดยเสด็จขึ้นขี่หลังช้างเผือกพานคำ มีหมอควาญถือพานคำตีนำหน้า ยกพลอกกจากเวียงพานคำ ดังตำนานบันทึกไว้ว่า
".....ครั้นได้คนหาญมาแล้วก็ขัดสีชัย อันกล้า มีมือถือธนูกับแล่งปืน... มีหมอควาญขี่พร้อมพระ ถือพานคำตีนำหน้ายกพลออกจาก เวียงพานคำ....."
พระยาขอมดำสู้ไม่ได้จึงหนีกลับเข้าเมืองปิดประตูเมืองทุกแห่ง พระพรหมกุมารได้ตามมาถึงประตูเมือง แล้วไสช้างแทงประตูเมืองทะลุ ขับไล่พระยาขอมออกจากเมืองโยนกนครฯ รวมระยะเวลาที่พระยาขอมดำครองโยนกนครได้ 19 ปี หลังจากนั้นพระพรหมกุมาร ก็ได้อัญเชิญพระองค์พังขึ้นเป็นกษัตริย์เมืองโยนกนครราชธานีไชยบุรีศรีช้าง แสน
ส่วนช้างพานคำนั้น ก็ได้หนีออกจากเมืองไปกลายร่างเป็นงูตามเดิม เข้าสู่ดอยอันตั้งอยู่กลางทุ่ง ที่นั้นจึงได้ชื่อว่า "ดอยช้างงู" (คาดว่าเป็นดอยสะโง้ในปัจจุบัน) เมื่อพระองค์พังได้เป็นกษัตริย์ก็ทรงแต่งตั้งให้พระพรหมกุมารเป็นอุปราช แต่พระพรหมกุมารไม่รับ ยกให้ทุกขิตผู้พี่เป็นอุปราชแทน ต่อมาพระองค์พังได้สู่ขอเอานางแก้วสุภา ลูกพระยาเรืองแก้ว เวียงไชยนารายณ์ มาอภิเษกให้กับพระพรหมกุมาร
เมื่อพระพรหมกุมารใด้อภิเษกแล้วก็ขออนุญาตพระองค์พังเสด็จไปตั้งเมืองอยู่ ที่ไชยปราการ (คาดว่าเป็นอ.เวียงชัย ในปัจจุบัน) อยู่ห่างจากเวียงโยนกนครฯ ชั่วระยะเดินทาง 1 วัน ตั้งแต่นั้นมา เวียงโยนกนครฯ เวียงไชยนารายณ์ เวียงพานคำ ก็เป็นเมืองพี่เมืองน้องสืบกันมาดังว่า
"..... ลุกแต่เวียงโยนกนครหลวงไปหาเวียงไชยปราการ นั้นไกลกันคืนทางหนึ่ง และในเวียงลูกนี้คือวา เวียงโยนกนครหลวงหนึ่ง เวียงไชยนารายณ์หนึ่ง เวียงไชยปราการหนึ่ง เวียงบ้านพานคำแคว้นซ้ายหนึ่ง ที่ตั้งอยู่หนกลาง และนาติดกัน พ่อแม่ไก่ไล่ล่าถึงกัน เป็นอันหนึ่งอันเดียวแล....."
เมื่อวิเคราะห์ดูจากบันทึกในตำนานสิงหนวัติแล้ว เชื่อได้ว่าเมืองแม่สายในปัจจุบันนี้ แต่เดิมคือ "เมืองเวียงศรีทวง" หรือ "เวียงสี่ตวง" ซึ่งต่อมาได้ชื่อว่า "เวียงพานคำ" ตามขื่อของช้างที่พระพรหมกุมารใช้เป็นพาหนะในการออกสู้รบกับพระยาขอมจนได้ รับชัยชนะ และในปัจจุบันตัวเมืองแม่สาย รวมทั้งอาคารที่ว่าการอำเภอแม่สายนั้น ตั้งอยู่ที่ ต.เวียงพางคำ ซึ่งคาดว่าเพื้ยนมาจาก "เวียงพานคำ" นั่นเอง นอกจากนี้ในพื้นที่หมู่ 3 ต.เวียงพางคำ ยังมีบ้านเวียงพาน และวัดเวียงพาน ตั้งอยู่อีกด้วย อนึ่ง ตัวคูเมืองเดิมนั้นมีให้พบเห็นอยู่ทั่วไปในเขตชุมชนเมืองแม่สาย และยังคงมีประโยชน์ในการรับน้ำที่ไหลบ่ามาจากเทือกเขาด้านตะวันตกมิให้ไหล เข้ามาท่วมบริเวณตัวเมืองอีกด้วย ประกอบกับในตำนานยังได้กล่าวย้ำถึงสถานที่ตั้งของเมือง "เวียงสี่ตวง" ว่าอยู่ทิศตะวัตตกเฉียงเหนือของเวียงโยนกนครฯ (อ.เชียงแสนในปัจจุบัน) ริมแม่น้ำใส ซึ่งก็คือแม่น้ำสาย ในปัจจุบันนั่นเอง
จากเวียงศรีทวง - เวียงพาน - เวียงพานคำ สู่เวียงพางคำ
ครั้นพระองค์เพียง กษัตริย์เมืองโยนกนครราชธานีไชยบุรีศรีช้างแสน ขึ้นเสวยราชสมบัติศักราชได้ 259 ตัวปีกัดไส้ สวรรคตลง "พระองค์พัง" จึงขึ้นครองเมืองโยนกนครราชธานีศรีช้างแสนเมื่ออายุได้ 18 ปี ต่อมาได้มีพระขอมดำ เจ้าเมืองอุโมงค์เสลานคร ซึ่งเป็นเมืองขึ้นของอาณาจักรโยนกนครฯ เห็นว่าพระองค์พังยังเยาว์ จึงมาตีแล้วขับไล่พระองค์พังออกจากเมืองโยนกนครฯ แล้วตั้งตนเป็นกษัติรย์แทน แล้วขับพระองค์พังไปเป็นแก่บ้าน ตั้งอยู่ที่เวียงศรีทวง ดังตำนานกล่าวว่า
".....พระยาขอมดำตนนั้นก็ยกเอากำลังมาแสนหนึ่ง แล้วก็มาฟื้นลุกชิงเอาเมืองที่นี้ เดือน 5 แรมค่ำหนึ่ง วันอาทิตย์.....พระองค์เจ้ามีใจอันบ่กล้าแข็ง ก็ถวายเมืองให้แก่พระยาขอมดำ.....ครั้นมันได้เมืองแล้ว มันก็ขับพระองค์พัง.....ส่วนพระยาขอมตนนั้นก็เป็นกษัตริย์เสวยเมืองโยนกนคร บุรีศรีช้างแสนที่นั้นแล....."
".....แล้วมันก็ขับพระองค์พังเจ้าไปเป็นแก่บ้าน ตั้งอยู่เวียงลวะศรีทวง ริมหนตะวันตกเฉียงเหนือ ริมแม่น้ำใส (แม่น้ำสาย) ภายตะวันออกเฉียงใต้ธาตุเจ้าถ้ำแก้วที่นั้น....." สาเหตุที่เรียกว่า "เวียงศรีทวง" เนื่องจากเป็นเมืองของลวะ ขึ้นอยู่กับเมืองโยนกฯ จึงต้องส่งส่วยให้ปีละ "สี่ตวงหมากพิน" (หมากพิน=ผลมะตูม) ดังตำนานกล่าวว่า
".....เหตุใดแลว่า เวียงศรีทวง นั้นจา...ยังมีขุนลวะผู้หนึ่งเป็นลูกปู่เจ้าลาวจก เป็นแคว้นดอยธุงนั้น (ดอยตุง) ผู้พี่ชื่อลวะกุมโภนั้นมาตั้งอยู่ที่นั้น แล้วส่วยคำแก่พระยาอุชุตราช กษัตริย์เจ้าของเวียงโยนกนครที่นั่นแล ปีละสี่ทวงหมากพินหน่วยน้อยจึงได้ชื่อว่า เวียงศรีทวงด้วยเหตุอันนั้นแล....."
ภาพถ่ายจากบนดอยเวาเมื่อในอดีต
เมืองเวียงพาน
พระองค์พังและมเหสี ถูกพระยาขอมดำขับออกจากเมือง มาเป็นแก่บ้านที่ "เวียงศรีทวง" ต้องส่งส่วยให้ปีละสี่ตวงหมากพิน อยู่ได้ 1 ปี มเหสีก็ให้กำเนิดบุตร 1 คน คือทุกขิตกุมาร พระองค์พังปกครองเวียงศรีทวง ได้ 3 ปีก็เกิดเหตุการณ์สำคัญขึ้น อันเป็นที่มาของการเปลี่ยนชื่อเมือง จากเวียงศรีทวงเป็น "เวียงพาน" กล่าวคือ
ยังมีสามเณรชาวเวียงศรีทวงคนหนึ่งเดินทางไปกราบไหว้พระธาตุแล้วไปพักอาศัย อยู่ที่อารามหลังหนึ่งในโยนกนคร ครั้นรุ่งเช้าก็ออกเดินบิณฑบาตรไปถึงคุ้มน้อยของพระยาขอมดำ ก็เข้าไปขอบิณฑบาตร พระยาขอมดำได้ถามบ่าวไพร่ว่า เป็นสามเณรชาวเวียงศรีทวงก็โกรธ ร้องว่า "ลูกข้าส่วยพลอยเข้ามาคุ้มพระองค์ กูดังลือจา สูอย่าได้เอาข้าวกูใส่บาตรให้มันนะเนอ"