8 กันยายน 2551 17:57 น.
ลุงแทน
คุยการเมือง : ปชต.จอมปลอม
คง ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ ที่ใครจะทำตัวเป็นโซ่ข้อกลาง วิ่งรอกเจรจาเพื่อให้กลุ่มพันธมิตรยอมเดินเกี่ยวก้อยกับรัฐบาลของนายสมัคร สุนทรเวช เพราะต่างฝ่ายต่างมีข้อเสนอที่ไม่สามารถแสวงหาจุดร่วมกันได้
มิหนำซ้ำกลุ่มพันธมิตร ยังตั้งข้อเรียกร้องแปลก ๆ เพราะนอกจากจะขอให้นายสมัคร สุนทรเวช ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้ว ยังนำเสนอโครงสร้างการเมืองระบบใหม่ ที่ให้มี ส.ส.มาจากการแต่งตั้ง 70 เปอร์เซ็นต์ และเลือกตั้ง 30 เปอร์เซ็นต์
ประเด็นที่น่าคิดก็คือ ทำไมกลุ่มพันธมิตร ถึงกล้าตั้งข้อเรียกร้องแปลก ๆ ที่ขัดกับหลักการประชาธิปไตย
หากคิดจากสมมติฐานที่ว่า นักการเมือง ที่มาจากการเลือกตั้งมีคุณภาพห่วย ไม่สามารถเป็นตัวแทนของประชาชนได้ สมควรจะที่แต่งตั้งแทน 70 เปอร์เซ็นต์
แต่ไม่มีหลักประกันอะไรยืนยันได้ว่า ผู้ที่มาจากการแต่งตั้งจะเป็นคนดี ซื่อสัตย์ โปร่งใส เพราะแม้แต่คนใน คตส. ซึ่งได้รับแต่งตั้งให้มาทำหน้าที่ตรวจสอบนักการเมืองทุจริตในรัฐบาลของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็ยังถูกครหาเรื่องความสุจริตโปร่งใสหลายคน
บางคนก่อนรับตำแหน่ง ธุรกิจของครอบครัวเป็นหนี้ธนาคารอยู่ 40 ล้านบาท แต่เวลาผ่านไปเพียง 1 ปีหลังจากเข้าดำรงตำแหน่ง ปรากฏว่า สามารถล้างหนี้ก้อนโตได้สำเร็จ มิหนำซ้ำยังเหลือเงินมาทำอย่างอื่นให้ชาวบ้านนินทาอีกต่างหาก
หรือแม้แต่รัฐบาลของ พล.อ.สุรยุทธ จุลานนท์ ซึ่งมาจากการแต่งตั้งทั้งหมด ก็ใช่ว่า จะขาวสะอาดผุดผ่องทั้งหมด บางคนก็เล่นบทเป็นรัฐมนตรีผีปลากระป๋อง หรือบางคนเป็นรัฐมนตรีที่มีประวัติเคยตั้งกองทุนเก๋าเจี๊ยะ รีดไถเงินประชาชนเพื่อเอามาแบ่งกันเอง เปลี่ยนจากเงินใต้โต๊ะขึ้นมาอยู่บนโต๊ะ แล้ว ปปช.ก็แอบจำหน่ายคดีทิ้งอย่างเป็นปริศนา
ถ้ากลุ่มพันธมิตรเชื่อว่า การเมืองระบบใหม่ จะทำให้บ้านเมืองสะอาดหมดจด เงินภาษีทุกบาททุกสตางค์จะถูกนำมาพัฒนาประเทศชาติได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ก็คงเป็นได้แค่ความเชื่อลม ๆ แล้ง ๆ
การเมืองไทยยังมีการแบ่งชนชั้น เพื่อกีดกันไม่ให้ประชาชนเข้าถึงอำนาจ หรือได้รับส่วนแบ่งอำนาจ โดยเอาระบบเลือกตั้งหรือระบบขุนนางมาใช้เป็นกำแพงกั้น
ขี่มอเตอร์ไซค์หรือแท็กซี่มีโอกาสถูกตำรวจไถมากกว่าเศรษฐีขี่เบนซ์ ข้าราชการระดับอธิบดีเบิกเท็จค่าเดินทาง 7 หมื่นบาท โทษแค่ตักเตือนอ้างว่าเข้าใจผิด แต่ถ้าข้าราชการชั้นผู้น้อยเบิกค่าเช่าบ้านมั่วแค่ 3,000 บาท โน่น..!! ถูกไล่ออกและดำเนินคดี
แสดงให้เห็นว่า อำนาจการเมืองที่ไม่เป็นธรรม มีผลต่อการบังคับใช้กฎหมายเป็น 2 มาตรฐาน นักการเมืองสามารถคดโกงได้อย่างเสรี เพราะกฎหมายไม่ยอมกำหนดให้ประชาชนผู้เสียภาษีเป็นผู้เสียหาย
ฉะนั้นเมื่อรัฐมนตรีโกง ข้าราชการย่อมจะให้ความร่วมมือเพื่อหวังส่วนแบ่ง และช่วยกันปกปิดความผิด ทำให้หน่วยราชการที่กฎหมายโง่ ๆ กำหนดให้เป็นผู้เสียหายแทนประชาชน ไม่ยอมนำเรื่องทุจริตดังกล่าวมาเปิดโปงและดำเนินคดี
ถ้ากลุ่มพันธมิตรต้องการปฏิรูปการเมืองเพื่อให้เกิดประชาธิปไตยที่ สมบูรณ์ จะต้องให้ประชาชนสามารถฟ้องนักการเมืองทุจริตได้โดยตรง เมื่อประชาชนได้รับส่วนแบ่งอำนาจแล้ว ย่อมจะเกิดความผูกพันและหวงแหนประชาธิปไตย
ทุกวันนี้ประชาชนได้ส่วนแบ่งอำนาจแค่ไปกาบัตรเลือกตั้ง จากนั้นก็ตัดขาดกันไป จึงไม่แปลกที่ประชาชนมักจะเลือกเงิน 500 บาทมากกว่าตั้งใจเลือกคนดี ๆ เข้าไปบริหารประเทศ
ระบบการเมืองใหม่เป็นสิ่งบ่งชี้ว่า กลุ่มพันธมิตร เป็นแค่ตัวแทนของกลุ่มขุนนาง ไม่ใช่ตัวแทนประชาชนที่ต้องการสถาปนาระบอบประชาธิปไตยแต่อย่างใด.
คัดลอกมาจาก ดินสอดำ
8 กันยายน 2551 17:46 น.
ลุงแทน
กันและกัน
“ถ้าบอกว่าเพลงนี้ แต่งให้เธอ เธอจะเชื่อไหม มันอาจไม่เพราะ ไม่ซึ้ง ไม่สวยงาม เหมือนเพลงทั่วไป อยากให้รู้ว่าเพลงรัก ถ้าไม่รัก ก็เขียนไม่ได้ แต่กับเธอคนดีรู้ไหม ฉันเขียนอย่างง่าย...ดาย เธอคงเคยได้ยินเพลงรักมานับร้อยพัน มันอาจจะโดนใจ แต่ก็มีความหมายเหมือน ๆ กัน แต่ถ้าเธอฟังเพลงนี้ เพลงที่เขียนเพื่อเธอเท่านั้น เพื่อเธอเข้าใจความหมายแล้วใจจะได้มี กันและกัน”
คุ้น ๆ หรือเปล่าคะเพลงนี้ น่าชมคนแต่งเพลงนะคะที่เข้าใจนำคำมาเรียงร้อยกันเป็นเพลง เพราะคำว่า กัน ในภาษาไทย ของเราไม่ได้มีเพียงความหมายเดียวเท่านั้น แต่มีความหมายและมีหน้าที่ของคำแตกต่างกัน เช่น (๑) เป็นคำสันธาน ใช้เป็นภาษาปาก หมายถึง คําใช้แทนตัวผู้พูดเพศชายพูดกับผู้เสมอกันหรือผู้น้อยในทํานองกันเอง, ใช้เป็นสรรพนามบุรุษที่ ๑
(๒) เป็นคำคุณศัพท์ หมายถึง คําประกอบท้ายกริยาของผู้กระทําตั้งแต่ ๒ คนขึ้นไป แสดงการกระทําร่วมกัน อย่างเดียวกัน หรือต่อกัน เช่น คิดกัน หารือกัน (๓) เป็นคำกริยา หมายถึง กีดขวางไว้ไม่ให้เข้ามาหรือออกไป หรือไม่ให้เกิดมีขึ้น เช่น กันฝน กันสนิม กันภัย, แยกไว้ เช่น กันเงินไว้ ๕๐๐ บาทเพื่อจ่ายในสิ่งที่จําเป็น, กันเอาไว้เป็นพยาน (๔) เป็นคำนาม หมายถึง ชื่อช้างศึกพวกหนึ่ง มีหน้าที่ป้องกันและล้อมทัพ, หรือใช้เรียกเรือซึ่งกำหนดให้เข้ากระบวนเสด็จทางชลมารค ทำหน้าที่ถวายอารักขา มีหลายลำ ตั้งเป็นแถวขนาบกระบวนเรือพระที่นั่งทั้ง ๒ ข้าง และกันอยู่ท้ายกระบวนระหว่างเรือของเจ้านายที่ตามเสด็จ เรียกว่า เรือกัน
แต่ถ้าพูดถึง กันและกัน จะหมายถึง คําใช้แทนชื่อในลักษณะที่มีการกระทําร่วมกันหรือต่อกันโดยมีบุรพบทประกอบ หน้า เช่น รักซึ่งกันและกัน เพื่อประโยชน์ของกันและกัน เมื่อรู้แล้วก็อย่าลืมมาช่วยกันอนุรักษ์ภาษาไทยนะคะ จะได้มีกันและกันตลอดไป.
คัดลอกมาจาก จินดารัตน์ โพธิ์นอก
31 สิงหาคม 2551 11:59 น.
ลุงแทน
ช่วงนี้อาจเครียดกับการเมือง มาทำบุญให้ทานเพื่อตัวเองกันบ้างดีกว่า แล้วก็แผ่ส่วนบุญนี้ไปให้สัมภเวสีกันบ้าง สาธุ เพื่อความสงบของประเทศไทย
> เลือกของใส่บาตรตามวันเกิด
>
>
>วันอาทิตย์
> อาหารคาว : ประเภทไข่ ดาว เจียว ผัด ลูกเขย ลูกสะใภ้ ต้มแกงกะทิ
> อาหารหวาน : ไข่หวาน มะพร้าวอ่อน มะพร้าวแก้ว ขนมใส่กะทิ น้ำกระเจี๊ยบ น้ำมะพร้าว น้ำขิง เงาะ
> ของถวายพระ : หลอดไฟ ไฟฉาย เทียน ธูป อุปกรณ์แสงสว่าง แว่นตา หมากพลู
> ไหว้พระ : ปางถวายเนตร (พระประจำวันเกิด) กำลังวันเท่ากับ ๖ (สวดแบบย่อ อะ วิช สุ นุส สา นุต ติ)
> ทำทาน : เติมน้ำมันตะเกียงตามวัด คนตาบอด โรงพยาบาลโรคตา มูลนิธิคนตาบอด โรงพยาบาลโรค หัวใจ มูลนิธิโรคหัวใจ
> พฤติกรรม : ออกรับแสงอาทิตย์อ่อนๆ ช่วงเช้าหรือเย็นๆ เพื่อให้เกิดพลัง อย่าใจร้อน เลิกทิฐิ ทำตัว เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น
>
>
> วันจันทร์
> อาหารคาว: ประเภทสัตว์ปีก สัตว์น้ำ เช่นไก่ผัดขิง ไก่ย่าง ไก่ทอดปูผัดผงกะหรี่ ปูนึ่ง ข้าวมันไก่ ข้าวผัดปู
เต้าหูทอด แกงจืดเต้าหู้ แกงเผ็ดเป็ดย่าง ปลาสลิดทอด
> อาหารหวาน : น้ำเต้าหู้ นมถั่วเหลือง น้ำอ้อย โดนัท นมสด นมกล่อง เผือก มัน ลางสาด ขนมเปี๊ยะ
> ของถวายพระ : แก้วน้ำ แจกัน ของโปร่งๆ ใสๆ
> ไหว้พระ : ปางห้ามญาติ (พระประจำวันเกิด) กำลังวัน เท่ากับ ๑๕ (สวดแบบย่อ อิ ระ ชา คะ ตะ ระ สา)
> ทำทาน : มูลนิธิช่วยเหลือสตรี
> พฤติกรรม : ทำจิตใจให้สดชื่น แจ่มใส อยู่เสมอ อย่าวิตกกังวลเกินเหตุ ให้ความช่วยเหลือสตรี เช่น
> ลุกให้สตรีนั่งบนรถเมล์ บริหารกล้ามเนื้อหน้าอกให้แข็งแรง
>
>
> วันอังคาร
> อาหารคาว: อาหารประเภทเส้น ขนมจีน วุ้นเส้น บะหมี่ ก๋วยเตี๋ยว เนื้อวัว ปลาช่อนตากแห้งทอด
> อาหารหวาน : ฝอยทอง สลิ่ม ลอดช่อง ทุเรียน ระกำ ขนุน น้ำสไปร์ท น้ำอัดลม
> ของถวายพระ : เหล็ก เครื่องมือประเภทเหล็ก กรรไกร แปรงสีฟัน ยาสีฟัน พัดลม กรรไกรตัดเล็บ
> ไหว้พระ : ปางไสยาสน์ (พระนอน) มีกำลังเท่ากับ ๘ (สวดแบบย่อ ติ หัง จะ โต โร ถิ นัง)
> ทำทาน : คนพิการทางปาก ปากแหว่ง ผู้ป่วยโรคลมชัก
> พฤติกรรม : ทำตัวให้กระฉับกระเฉง ตื่นตัว ขยันให้มากขึ้น ลดอารมณ์ร้อน การชิงดีชิงเด่น
>
>
> วันพุธ (กลางวัน)
> อาหารคาว: เน้นสีเขียว หมู แกงเขียวหวานหมู หมูปิ้ง หมูทอด ผัดพริกหมู คะน้าน้ำมันหอยกุนเชียง
> อาหารหวาน : ขนมเปียกปูนเขียว น้ำฝรั่ง ชมพู่เขียว องุ่นเขียว มะม่วงเขียวเสวย ฝรั่ง ชามะนาว
> ของถวายพระ : สมุด กระดาษ ปากกา ดินสอ อุปกรณ์การเรียนการศึกษา
> ไหว้พระ : ปางอุ้มบาตร (พระประจำวันเกิด) มีกำลังเท่ากับ ๑๗ (สวดแบบย่อปิ สัม ระ โล ปุ สัต พุท)
> ทำทาน : คนพิการทางหู โรงพยาบาลโรคสมอง โรงเรียนสอนคนหูหนวก
> พฤติกรรม : อ่านหนังสือธรรมะ ร้องเพลง ฝึกสร้างความมั่นใจให้ตนเอง
>
>
> วันพุธ (กลางคืน)
> อาหารคาว: ของหมักดอง ผักกาดดองผัดไข่ อาหารกระป๋อง แกงใบยอ หมูยอ แหนม ไข่เยี่ยวม้า ห่อหมก
> อาหารหวาน : ข้าวหมาก ขนมเปียกปูนดำ เฉาก๊วย ข้าวเหนียวดำ เม็ดมะม่วงหิมพานต์ ผลไม้หัวโตๆ ทุเรียน
> ของถวายพระ : พัดลม เทปธรรมะ ยาแก้โรคลม ยาหอม
> ไหว้พระ : ปางป่าเลไลย์ (พระประจำวันเกิด) มีกำลังเท่ากับ ๑๒ (สวดแบบย่อ คะ พุท ปัน ทู ธัม วะ คะ)
> ทำทาน : มูลนิธิหรือหน่วยงานที่เกี่ยวกับยาเสพติด
> พฤติกรรม : เลิกบุหรี่ เลิกดื่มหรือลดปริมาณการดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด เลิกการพนัน เลิกทำตัวเหลวไหล
> เลิกเที่ยวกลางคืน เลิกยาเสพติดทุกชนิด
>
>
> วันพฤหัสบดี
> อาหารคาว: ประเภทเถา แกงเลียง บวบผัดไข่ น้ำเต้าหู้
> อาหารหวาน : แตงโม แตงไทย น้ำสมุนไพร ส้ม สาลี่ น้ำมะตูม น้ำว่านหางจระเข้า
> ของถวายพระ : สบง จีวร หนังสือธรรมะ ตู้ยา โต๊ะหมู่บูชา
> ไหว้พระ : ปางสมาธิ (พระประจำวันเกิด) มีกำลังเท่ากับ ๑๙ (สวดแบบย่อ ภะ สัม สัม วิ สะ เท ภะ)
> ทำทาน : โรงพยาบาลสงฆ์ บริจาคข้าวสาร เสื้อผ้า ผ้าห่มกันหนาว
> พฤติกรรม : นั่งสมาธิ สวดมนต์ ถือศีล ๕ อย่าซื่อจนเกินไป
>
>
> วันศุกร์
> อาหารคาว: ประเภทของหอม หวาน ข้าวหอมมะลิ ผักกาดหอม ไข่เจียวหอมใหญ่ ยำหัวหอม
> อาหารหวาน : ขนมหวาน หอมทุกชนิด น้ำเก๊กฮวย ผลไม้ที่มีกลิ่นหอม กล้วหอม เค้ก
> ของถวายพระ : นาฬิกา โต๊ะรับแขก ดอกไม้สวยหอม ระฆัง ย่ามิ่น
> ไหว้พระ : ปางรำพึง (พระประจำวันเกิด) มีกำลังเท่ากับ ๒๑ (สวดแบบย่อ วา โธ โน อะ มะ มะ วา)
> ทำทาน : เด็กด้อยโอกาส ให้เงิน ให้เสื้อผ้า อาหารที่หอมหวานชวนกิน เช่น ไอศกรีม
> พฤติกรรม : ทำตัวให้สดชื่นแจ่มใส บำรุง ดูแลตัวเองให้ดูดีอยู่ตลอด จัดสิ่งแวดล้อมให้น่าอยู่ สวยงาม เลิกการฟุ่มเฟือย
>
>
> วันเสาร์
> อาหารคาว: ประเภทของขม ของดำมะระยัดไส้ สะเดาน้ำปลาหวาน น้ำพริกปลาทู มะเขือยาว
> อาหารหวาน : ลูกตาลเชื่อม กาแฟ โอเลี้ยง
> ของถวายพระ : ร่มสีดำ กระเบื้องมุงหลังคา ไม้กวาด สร้างห้องน้ำถวายวัด
> ไหว้พระ : ปางนาคปรก (พระประจำวันเกิด) มีกำลังเท่ากับ ๑๐ (สวดแบบย่อ โส มา ณะ กะ ระถา โธ)
> ทำทาน : โรงพยาบาลโรคจิต โรงพยาบาลโรคประสาท
> พฤติกรรม : กวาดลานวัด ล้างห้องน้ำวัด ไม่เครียด มองโลกในแง่ดี ขยะในบ้านยกทิ้งทุกวัน อย่าหมักหมม
3 สิงหาคม 2551 20:01 น.
ลุงแทน
..........แม่เป็นสิ่งที่มีค่า และสูงสุดของชีวิต คุณไหว้แม่ครั้งสุดท้ายเมื่อใดจำได้ใหม
....แปลกนะ คนส่วนใหญ่เวลาที่จะไหว้แม่ หรือกราบแม่ทำไมช่างยากเย็นเสียจริงๆ แต่พอเจอคนที่ไม่ใช่ญาติ กลับไหว้เขาได้อย่างสนิทใจ เคยถามตนเองบ้างใหมว่า เขาพวกนั้น กับแม่ของเราใครประเสริฐกว่ากัน?????? คุณกราบพระวันละร้อยหน ยังมีอานิสงส์กราบแม่ไม่ได้เพียงครั้งเดียว
27 กรกฎาคม 2551 14:54 น.
ลุงแทน
ชายคนหนึ่งเคยลงโทษลูกสาววัย 5 ขวบของเขา
เพราะนำเงินไปซื้อกระดาษห่อของขวัญสีทองม้วนหนึ่งซึ่งมีราคาแพง
ในขณะที่การเงินที่บ้านฝืดเคือง
และเขาก็อารมณ์เสียอีกครั้ง
เมื่อลูกสาวของเขา นำกระดาษสีทองราคาแพงนั้น
มาห่อกล่องของขวัญ เพียงเพื่อตกแต่งไว้ใต้ต้นคริสต์มาส
แต่กระนั้น . . .
ลูกสาวตัวน้อยก็ได้มอบกล่องของขวัญนั้นให้พ่อของเธอในเช้าวันรุ่งขึ้น
และพูดว่า 'นี่สำหรับพ่อค่ะ'
พ่อของเธอกระอักกระอ่วนกับอาการที่ได้แสดงออกไปก่อนหน้านี้
แต่แล้วความโกรธก็ได้พุ่งพล่านขึ้นอีกครั้ง
เมื่อเขาพบว่า มันเป็นเพียงกล่องเปล่า
เขาพูดด้วยอารมณ์เกรี้ยวกราดว่า
'ลูกไม่รู้จริงๆ อย่างนั้นหรือว่า การจะให้ของขวัญใคร
มันจะต้องมีอะไรอยู่ในกล่องของขวัญด้วย?'
เด็กน้อยมองไปที่พ่อของเธอด้วยน้ำตา
และพูดว่า 'พ่อจ๋า มันไม่ใช่กล่องเปล่าเลย หนูเป่าจูบเข้าไปจนเต็ม'
ชายคนนั้นสะอึก ตัวชาด้วยความเสียใจ
เขาทรุดตัวลงแล้วโอบกอดลูกสาวไว้แน่น
เขาขอให้ลูกสาวยกโทษให้เขา กับท่าทางโกรธเกรี้ยวเกินเหตุของเขา
ต่อมาไม่นานอุบัติเหตุก็ได้คร่าชีวิตลูกสาวของเขาไป
และว่ากันว่า เขาเก็บกล่องของขวัญสีทองล้ำค่านั้น
ไว้ข้างเตียงตลอดชีวิตของเขาเลยทีเดียว
เมื่อใดก็ตาม ที่เขารู้สึกท้อแท้ใจ
หรือต้องเผชิญกับปัญหาที่ยากเย็นแสนเข็น เขาจะเปิดกล่องใบนี้
เพื่อหยิบจูบในจินตนาการ ขึ้นมาหนึ่งจูบ
แล้วรำลึกถึงความรักของลูกน้อย ที่ได้ใส่จูบนั้นไว้ให้เขา
ในความเป็นจริง ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง
พวกเราทุกคนล้วนได้รับกล่องของขวัญสีทอง
ซึ่งบรรจุด้วยความรัก ที่ปราศจากเงื่อนไข
และรอยจูบจากลูกๆ ครอบครัว และ เพื่อนๆ
ไม่มีสมบัติใด ล้ำค่าไปกว่านี้อีกแล้ว
ตอนนี้คุณมี 2 ตัวเลือกแล้วล่ะ คุณจะ
1. ส่งข้อความนี้ต่อไปยังเพื่อนๆ และ ญาติๆ ของคุณ
2. ลบมันทิ้งซะ
แล้วทำเหมือนกับว่าไม่มีอะไรกระทบใจคุณเลยแม้แต่น้อย
อย่างที่เห็นนี่ล่ะ ฉันได้เลือกข้อ 1 ไปแล้ว
เพื่อนคือของขวัญ ผู้ซึ่งพยุงให้เรายืนขึ้นด้วยเท้า
เมื่อปีกของเราไม่รู้ว่าจะบินอย่างไร
มองโลกในแง่ดี และปฏิบัตดี
ฉันขอขอบคุณสำหรับ....
สำหรับภาษีที่ต้องเสีย เพราะนั่นหมายถึงฉันมีงานทำ
สำหรับข้าวของต่างๆ ที่ต้องคอยเก็บหลังงานปาร์ตี้
เพราะนั่นหมายถึงฉันถูกห้อมล้อมด้วยเพื่อนฝูง
สำหรับเสื้อผ้าที่พอดีจนเกือบจะคับเกินไป
เพราะนั่นหมายถึงฉันยังมีกิน
สำหรับเงาที่คอยมองดูฉันทำงาน
เพราะนั่นหมายถึง ฉันกำลังได้รับแสงแดด
สำหรับพื้นที่ต้องคอยขัดถู และหน้าต่างที่ต้องทำความสะอาด
เพราะนั่นหมายถึงฉันมีบ้านให้ดูแลรักษา
สำหรับคำบ่นต่างๆ ที่มีต่อรัฐบาล
เพราะนั่นหมายถึงเรามีอิสระ ในการที่จะแสดงความคิดเห็น
สำหรับที่จอดรถ ที่อยู่ไกลสุดของลานจอดรถ
เพราะนั่นหมายถึงฉันสามารถเดินได้ และฉันมีรถ
สำหรับผ้ากองโตที่รอการซักรีด
เพราะนั่นหมายถึงฉันมีเสื้อผ้าสวมใส่
สำหรับความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า ทุกสิ้นวัน
เพราะนั่นหมายถึงฉันสามารถทำงานหนักได้
สำหรับเสียงปลุกในทุกๆ เช้า
เพราะนั่นหมายถึงฉันยังมีชีวิตอยู่
และสุดท้าย .. .
สำหรับอีเมล์ที่ส่งมาหาฉันมากมาย
เพราะนั่นหมายถึงฉันมีเพื่อนๆ