7 มกราคม 2551 10:25 น.
ลุงแทน
ขำ ขำ ขำ ขำกลิ้งลิงกับหมา
ที่ยังมาเป็นมิตรจิดแจ่มใส
จูงมืกันพร้อมใจพากันไป
ต่างรู้ใจแมิมิใช้ภาษาคน
เพื่อนคู่คิดมิตรคู่ใจไม่สับสน
เหตุใดคนไม่อายขายหน้าหรือ
เป็น ส.ส. รู้อย่างเดียงเพียงมือ
ไม่อายหรือ "ลิงกับหมา" อนาถจริง
*****ขำ ขำ ขำ ขำ ขำ*****
7 มกราคม 2551 10:07 น.
ลุงแทน
*****อย่าดูหมิ่นความดีแม้มีน้อย
ดีบ่อยบ่อยค่อยดีคงมีหลาย
ดีมีน้อยบ่อยเข้าเล่ามากมาย
ดีจะหลายมาจากน้อยค่อยค่อยดี
การทำบุญจุนเจือเอื้อเฟื้อท่าน
ย่อมเป็นส่งเสริมเพิ่มคุณศรี
หากมีน้อยทำน้อยค่อยค่อยพลี
ฝกตกดีทีละหยาดปราชญ์ท่านชม
*****พอค่อนแจ้งแสงทองขึ้นส่องฟ้า
ได้เวลา ตีสี่ น. พอเหมาะสม
จงเข้าห้องไหว้พระละอารมณ์
ให้จิตชมความสุขทุกวันไป
ถ้ายามใดใจยุ่งมุ่งทำบาป
เหมือนกำซาบยาพิษติดนิสัย
ในวันหนึ่งยาพิษมิตรของใจ
จะนำให้ตัวเราเข้าอบาย
*****ถ้ายามใดใจดีไม่มีขุ่น
มุ่งทำบุญเป็นกิจติดนิสัย
ย่อมมีหวังสุคติเป็นที่ไป
ด้วยเหตุกอบกรรมธรรมที่ดี
การทำจิตทุกวันขยันเถิด
เป็นที่เกิดมรรคผลบุญราศรี
ละกิเลสนิดหน่อยค่อยทวี
ไม่เสียทีเป็นมนุษย์ลูกพุทโธ
7 มกราคม 2551 09:53 น.
ลุงแทน
***** คนทุกคนมีตนเป็นที่พึ่ง
คนคนหนึ่งพึ่งตนล้นเหลือหาย
เกิดขึ้นมาพึ่งตนจนวันตาย
คนทั้งหลายพึ่งตนทุกคนไป
เมื่อพึ่งตนสอนตนกำกับด้วย
จะได้ช่วยให้ตนพ้นเหลวไหล
คนทุกคนเกิดมาทุกเพศวัย
ไม่มีใครพึ่งผ฿้อื่นยืนกว่าตน
ทั้งยืนเดินนั่งนอนทำพูดคิด
จนชีวิตเป็นไปตามเหตุผล
ประกอบกรรมทำกิจแต่ละคน
อาศัยตนเราทำประจำกาล
อันคนเราเกิดตายทุกวันนี้
ตามที่มีในธรรมนำบรรหาร
อาศัยตนเกิดตายเป็นประธาน
อวสานชีวิตติดกับตน
7 มกราคม 2551 09:44 น.
ลุงแทน
*****กายกับใจมนุษย์นี้ พิกล
วันหนึ่งละลอ่งหน กี่ครั้ง
ไปทั่วปถพีดล อาจนับ ไดฤๅ
กายหยดใจไม่ยั้ง หลับแล้ว ฝันไป
*****ส่วนกายรนั้นเล่าเฝ้า กฎเกณฑ์
ไม่หลบหลีกเอนเอียง แน่แท้
ถือหลักเรื่องตายเป็น แก่เจ็บ ไว้แล
ใจจะจัดการแก้ ข้อนี้หมดหวัง
*****กายแก่เจ็บแน่แท้ ของจริง
ไม่เลือกว่าชายหญิง ทราบไว้
ใจมักจะประวิง ขอผ่อน ผันนา
กายไม่ยอมผ่อนให้ กฎนี้ของขลัง
*****ดูกายใจถ่องแท้ ขบขัน
วิวามทุ่มเถียงกัน ทุกมื้อ
นับแต่วันเกิดถึงวัน แตกดับ ชีพแฮ
ต่างฝ่ายต่างดุดื้อ แข็งข้อพอดู
*****กายกับใจไม่ให้ อภัยกัน
กายเร่งรีบผายผัน มอดม้วย
แก่เจ็บตายทุกวัน ใจไม่ แก่แฮ
ทั้งไม่เจ็บตายด้วย ร่วมรู้กับกาย
*****กายกับใจคล้ายลักษ์ ผัวเมีย
ร่วมสมัครรัคลอเคลีย ดับด้วย
แล้วค่อยจืดจางเพลีย เหินห่าง กันแล
เจ็บแก่แลชีพม้วย บ่ายหน้าเบือนหนี
*****ของจริงนั้นย่อมเร้น อยู่ใน
จักทราบด้วยหลักไตร ลักษ์นี้
ไม่เที่ยงเป็นทุกข์ภัย กายจิต นี้แล
เป็นอนัตตาลับลี้ ยากแท้แลเห็น
*****เห็นใจกายแจ่มด้วย อนิจจัง
เห็นเป็นกองทุกขัง หลั่งรู้
เห็นว่าอนัตตาฝัง แฝงอยู่ ในแฮ
เห็นชอบกอบรับรู้ เยี่ยงนี้ทรงคุณ
*****รวมกายใจเรียกร้อง ว่าตน
สมมติเรียกว่าคน ยึดไว้
ค้นหาว่าตนคน ไป่พบ ได้ฤๅ
เหตุว่าตนคนไซร้ มนุษย์เรียกร้องเอง
*****อนัตตากับอัตต์คู่นี้ ปิดบัง กันนา
อัตต์ย่อมค่อยคุมขัง สั่งให้
อนันต์ย่อมอยู่ยัง อำนาจ ตนแฮ
ถอนอัตต์นี้ออกได้ ย่อมพ้นโลกีย์
*****อันกายใจ ทุกเพศ ไร้สาระ
ตามคำพระ บอกแจ้ง แถลงผล
มีวิชา เท่านั้น มั่นคงทน
ยืดยาสจน ชีพม้วย ช่วยพ้น*****
5 มกราคม 2551 22:28 น.
ลุงแทน
"เรียงความเรื่องแม่"
***คุณครูสั่งให้เขียน เรียงความเรื่องแม่ฉัน บอกให้ส่งให้ทันวันพรุ่งนี้
มันยากจังทำไม่ไหว หนู่แม่ไม่มี แล้วจะเขียนให้ดียังไง
เป็นห่วงก็ไม่รู้ ดูแลก็ไม่เห็น กอดแม่อุ่นจริงๆ มันจริงไหม
พร้อมหน้ากันทานอาหาร เคยมีแค่ฝันไป ไม่มีเพลงกล่อมใดไม่มี
* ห่มผ้าไม่เคยอุ่นเลย กอดหมอนไม่เคยอุ่นใจ นอนหลับไปอย่างเดียวดายทุกที
ไม่มีอะไรจะเขียน ให้ครูได้อ่านพรุ่งนี้ บนหน้ากระดาษก็เลอะน้ำตา
** ถ้าแม่ฟังอยู่ ไม่ว่าแม่อยู่ไหน ไม่ว่าแม่เป็นใคร ช่วยส่งความรักกลับมา
ถ้าแม่ฟังอยู่ คิดถึงหนูหน่อยหนา หนูขอสัญญาว่าหนูจะเป็นเด็กดี***
คุณครู พูดกับนักเรียนว่า "ใกล้จะถึงวันแม่แล้ว นักเรียน วันนี้ครูมีการบ้านให้เธอ คือเขียนเรียงความวันแม่ อย่าลืมเอามาส่งพรุ่งนี้ทุกคนนะ"
ในวัยเด็กสมัยนั้น ทุกคนคงเคยได้รับการบ้านให้เขียนเรียงความวันแม่ ซึ่งตอนนั้นผมยังจำได้ การเรียงความถึงแม่นั้น มันช่างเป็นโจทย์ที่ง่าย ซะจริงๆ ใครๆก็พูดกัน เขียนกันมา แม่เลี้ยงดูเรามาอย่างไร แม่รักเราแค่ไหน ทุกวันแม่ทำอะไร ให้เรา แล้วก็ลงท้ายว่าพระคุณแม่ใหญ่เท่าฟ้า มหาสมุทรยังเปรียบไม่ได้ อาจจะจบด้วยกลอนซึ้งๆ ปิดท้ายเรียงความ เห็นไหมครับว่ามันไม่ยากเลย แต่... สิ่งที่มองข้ามไปนั้น ก็คือ เรียงความของผมนั้น ไม่ได้มีอารมณ์หรือความซาบซึ้งที่แท้จริงออกมาจากปากกาแห่งความรู้สึกเลย
จนกระทั้ง...วันที่แม่ต้องแบกภาระเลี้ยงดูลูกทั้งสองคนที่ยังเล่าเรียนอยู่ด้วยตัวคนเดียว ตอนนั้นผมก็รู้ซึ้งเลยว่า แม่รักผมมากแค่ไหน เรียงความวันแม่ของผม มันก็ถูกเขียนใหม่ออกมาอีกครั้ง มันเป็นเรียงความจากความรู้สึก ที่ใช้ใจเป็นกระดาษ น้ำตาแห่งความซาบซึ้งเป็น หยดน้ำหมึก แล้วเพลง ค่าน้ำนม ที่ผมได้ยินอยู่ทุกปีๆ มันก็มีความหมาย และซาบซึ้งมาก ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ผมถือว่าผมโชคดีที่เกิดมาแล้วมีโอกาสที่ได้รับความอบอุ่นจากแม่ และได้รู้คุณค่าความรักที่แม่มีให้ต่อเราอย่างแท้จริง ผมก็คิดว่า เพื่อนๆพี่ ทุกคนก็เช่นกัน แต่ยังมีคนกลุ่มหนึ่งที่เขาเกิดมาโดยไม่มีโอกาสแม้แต่ที่เขาจะรู้ว่า แม่เขาหน้าตาอย่างไร ใครคือแม่ของเขา แน่นอนเขาไม่เคยสัมผัสถึง ความรัก ไออุ่น จากแม่ที่แท้จริงของเขาเลย แต่ในใจลึกๆนั้นเขาต้องการแม่ตลอดเวลาและเขาก็ยังรักแม่ของเขา
คนที่ไม่มีโอกาสแม้แต่จะได้รับความรัก ไออุ่น จากแม่ เขายังรู้สึกรักแม่ของเขา และยังอยากหาแม่ของเขา...
แล้วคุณละได้รับรู้ มีโอกาสสัมผัส แต่ทุกวันนี้คุณลืมคนที่เรียกว่า "แม่" ไปแล้วหรือยัง...