25 พฤศจิกายน 2550 19:23 น.
ลุงแทน
ในโลกนี้มีอะไรเป็นไทยแท้
ของไทยแน่นั้นหรือคือภาษา
ซึ่งผลิดอกออกผลแต่ต้นมา
รวมเรียกว่าวรรณคดีไทย
อนึ่งศิลป์งามเด่นเป็นของชาติ
เช่นปราสาทปรางค์ทองอันผ่องใส
อีกดนตรีรำร่ายลวดลายไทย
อวดโลกได้ไทยแท้อย่างแน่นอน
และอย่าลืมจิตใจอย่างไทยแท้
เชื่อพ่อแม่ฟังธรรมคำสั่งสอน
กำเนิดธรรมจริยาเป็นอาภรณ์
ประชากรโลกเห็นเราเป็นไทย
แล้วยังมีประเพณีมีระเบียบ
ซึ่งไม่มีที่เปรียบในชาติไหน
เป็นของร่วมรวมไทยให้คงไทย
นี่แหละคือประโยชน์ในประเพณี
ได้รู้เช่นเห็นชัดสมบัติชาติ
เหลือประหลาดล้วนเห็นเป็นศักดิ์ศรี
ล้วนไทยแท้ไทยแน่ไทยเรามี
สิ่งเหล่านี้คือวัฒนธรรม
************************
25 พฤศจิกายน 2550 13:56 น.
ลุงแทน
.......เสียงระฆังวังเวงวิเวกแว่ว
แก๊ง.แก๊ง.แผ่วจากหนใดที่ไหนหนอ
วิหกร้องขันคูกู่เสียงคลอ
หอมละออกลิ่นมาลีคลี่ดอกบาน
จิตวิญญาณลอยวนอยู่หนไหน
โปรดจงช่วยกลับมาคืนผสาน
เป็นหนึ่งเดียวกับเรือนร่างดั่งต้องการ
อย่าซมซานเป็นกายทิพย์พเนจร
แสงแห่งธรรมสาดส่องทั่วท้องหล้า
ต่างจรมาน้อมรับฟังคำสั่งสอน
กิเลสที่กลางฤทัยเริ่มคลายคลอน
พนมกรน้อมรับภควันต์
เสียงธรรมะสะวะนะประสานก้อง
ดั่งเสียงร้องบรรเลงเพลงสวรรค์
ขับกล่อมมวลเวไนยสารพัน
ให้ยึดมั่นในศรัทธาค่าความดี
จักษุได้รู้เห็นเป็นแก่นสาร
ถึงความเจ็บปวดทรมานความบัดสี
เห็นการเกิดแก่เจ็บตายบรรดามี
ทั้งโลกีย์ตัญหาน่าเศร้าใจ
ความดีไม่เคยทำเลยสักนิด
ครั้นชีวิตใกล้จะลับดับสลาย
กระเสือกกระสนดิ้นรนหนีความตาย
เริ่มเห็นพระรำไรในสันดาน
โสตสองข้างควรรับสดับบ้าง
ทุกสิ่งอย่างล้วนนิจจังตามสังขาร
ไม่มั่นคงจีรังยั่งยืนนาน
ต้องแตกดับตามกาลกำหนดมา
จะต้องการสิ่งใดอะไรเล่า
เรามาเปล่าก็ไปเปล่านั่นแหละหนา
สร้างความดีประดับไว้ในโลกา
ดั่งผกาหอมระรินทั่วถิ่นไพร...
*กุหลาบขาว*
25 พฤศจิกายน 2550 13:29 น.
ลุงแทน
ทำดีต้องพร้อมความรู้ใคร่ครวญ
มีเหตุการณ์เรื่องหนึ่งพึงมาเล่า
เพื่อให้เข้าใจคิดรอบทิศา
ก่อนทำงานการกล่าวถ้อยวาจา
ต้องตรวจตราตนก่อนคุยกับใคร
การตำหนิติเขาเฝ้าติงแก้
เห็นสิ่งแย่ที่เขาเฝ้าขานไข
ชี้ถูกผิดอธิบายให้เข้าใจ
ด้วยหวังให้ทำงานผ่านด้วยดี
ถามว่า ทำอย่างนี้ทำดีไหม
หากครวญใคร่ไม่รอบในวิถี
คงตอบเสียงเดียวกันว่า..ทำดี
แต่ผู้มากปัญญาชี้..ดีจำแลง
ชี้ให้เห็นอาจเป็นความล่อแหลม
ถ้อยคำแง้มบาดหมางสร้างแสลง
อาจกลายเป็นปลายทวนหวนทิ่มแทง
หากผู้ฟังแอบแฝงไม่พอใจ
การท้วงติงผู้ใดต้องใฝ่รู้
เขาเป็นผู้มีจริตชนิดไหน
เราเป็นที่ยอมรับมากเท่าใด
ควรพูดไปหรือนิ่งเสียตำลึงทอง
บางปัญหาต้องพึ่งพาน้ำเย็นใส
ใช้เวลาแก้ไขอย่างไร้หมอง
ให้บางสิ่งก่อนท้วงติงเพื่อไตร่ตรอง
คอยประคองให้รากแน่นบนแผ่นดิน
บางปัญหาต้องพึ่งพาน้ำร้อนรด
เพิ่มเงางามหมดจดในทรัพย์สิน
หรือลวกต้มอาหารที่ทำกิน
ให้หมดสิ้นพิษภัยใช้ร้อนปราม
ก่อนตักเตือนผู้ใดให้ระวัง
ว่าตนพร้อมหรือยังกับคำถาม
และเขารับหรือไม่ในถ้อยความ
ทำดีต้องพร้อมความคิดใคร่ครวญ
จากคุณ *ดาว
24 พฤศจิกายน 2550 10:38 น.
ลุงแทน
"เพลง รำวงวันลอยกระทง"
วันเพ็ญเดือนสิบสอง น้ำนองเต็มตลิ่ง
เราทั้งหลายชายหญิง
สนุกกันจริง วันลอยกระทง
ลอย ลอยกระทง ลอย ลอยกระทง
ลอยกระทงกันแล้ว
ขอเชิญน้องแก้วออกมารำวง
รำวงวันลอยกระทง รำวงวันลอยกระทง
บุญจะส่งให้เราสุขใจ บุญจะส่งให้เราสุขใจ
วันเพ็ญเดือนสิบสอง น้ำนองเต็มตลิ่ง
เราทั้งหลายชายหญิง
สนุกกันจริง วันลอยกระทง
ลอย ลอยกระทง ลอย ลอยกระทง
ลอยกระทงกันแล้ว
ขอเชิญน้องแก้วออกมารำวง
รำวงวันลอยกระทง รำวงวันลอยกระทง
บุญจะส่งให้เราสุขใจ บุญจะส่งให้เราสุขใจ
23 พฤศจิกายน 2550 16:01 น.
ลุงแทน
.....8 ปริศนาธรรมการปลงศพ
พิธีศพของคนไทยความหมายมาก
มีหลายหลากปริศนาธรรมพึงจำไว้
แต่เริ่มต้นมัดตราสังยังร่างกาย
จวบสุดท้ายเผาเป็นขี้เถ้าเล่าบอกธรรม
1. มัดตราสังเป็นสามเปราะเคาะความหมาย
เมื่อวางวายมัดคอไว้ความหมายล้ำ
การผูกมัดหมายถึงบ่วงห่วงให้จำ
ที่คอนั้นบ่วงรักลูกผูกมัดใจ
มัดที่มือคือบ่วงรักภักดิ์ผัว-เมีย
เมื่อตายเสียยังห่วงหาอาทรไห้
ส่วนสมบัติและทรัพย์สินนั้นกินใจ
มัดติดไว้ที่ข้อเท้าให้เศร้าตรม
สามบ่วงนี้ผูกติดจิตติดนิสัย
เมื่อบรรรลัยนิพพานไปไม่ได้สม
ต้องเวียนว่ายในวัฏฏะสังคคม
เป็นอารมย์ที่ยึดติดจิตอุปไมย
2. ยามพระสงฆ์นั่งสวดพร้อมน้อมรับศีล
ศพไม่ได้ยินบุตรหลานเคาะโลงให้
แท้จริงใบ้แขกรับศีลผินประไพ
เป็นความหมายบอกผู้คนยลพระธรรม
อย่าทำตัวให้ประมาทขาดสติ
ไม่ทิฏฐิละทิ้งไปในคำสอน
หมดโอกาสได้กระทำยามม้วยมรณ์
จะอ้อนวอนเคาะโลงไงไม่ได้ฟัง
3. ยามพระสงฆ์สวดภาษาว่าบาลี
หมู่คนดีฟังไม่รู้อยู่หน้าหลัง
เข้าใจว่าพระสวดให้คนตายฟัง
อโธ่ถัง! พระสวดสอนคนตอนเป็น
หวังให้คนเอาไปใช้ปฏิบัติ
ใช้ยืนหยัดดำรงตนพ้นทุกข์เข็ญ
หากฟังแล้วไม่เข้าใจไม่จำเป็น
ขอให้เน้นสำรวมจิตคิดสิ่งดี
4. บวชหน้าไฟมักเข้าใจกันให้ผิด
ต่างก็คิด"จูงคนตาย"ไปวิถี
พ้นนรกสู่สวรรค์ชั้นที่ดี
จึงบางทีแย่งกันบวชผนวชกัน
แท้ที่จริงเป็นการลงปลงสังเวช
ถึงสาเหตุเกิดเจ็บตายไม่เหหัน
เกิดมาแล้วไม่แคล้ววายตายด้วยกัน
เพียงเท่านั้นมนุษย์นี้มีอะไร
เมื่อปลงได้ก็อยากได้หนีไปบวช
ไปผนวชหนีแสงสีโลกีย์วิสัย
ประพฤติธรรมเพื่อหลุดล้นให้พ้นไป
เพื่อจะได้สู่มรรคผลหนนิพพาน
5. การนิมนต์พระจูงศพพบแห่งเหตุ
เป็นจิตเจตให้คนคิดจิตสันนิษฐาน
ใช้พระธรรมองค์สัมมาฯมีมานาน
ดำรงการดำรงตนเป็นคนดี
ยามมีชีพดำรงตามพระธรรมสอน
ตามขั้นตอนองค์สัมมาหาวิถี
เอาคนตายให้พระนำตามวิธี
สังวรนี้ไว้สอนคนสนใจทำ
6. การเวียนศพซ้าย 3 รอบชอบความหมาย
การเวียนว่ายเกิดตายในภพสาม
มีกามภพ,รูปภพ,อรูปภพ ประสบตาม
ทุกเมื่อยามอยู่วนเวียนกรรมเกวียนกง
เมาตัณหาอุปทานการกิเลส
น่าสังเวชเป็นทุกข์ใจให้ลุ่มหลง
ไม่จบสิ้นมัวเวียนว่ายตายอยู่ยง
ต้องละหลงทวนกระแสแห่ศพเวียน
7. น้ำมะพร้าวล้างหน้าศพลบกิเลส
เป็นจิตเจตน์ความสะอาดไม่พลาดเปลี่ยน
ดั่งน้ำทิพย์อันบริสุทธิ์ดุจกระเษียร
ชำระเปลี่ยนให้จิตใจใส่ดวงธรรม
8. เผาศพแล้วเหลือขี้เถ้าเคล้าเศษอัฐิ
เขาเขี่ยคัดเถ้าไปมาน่าสอบถาม
จัดเป็นรูปร่างคนจนสวยงาม
คือหมายความกลับชาติใหม่ใช้กรรมเวร
ปริศนาธรรมคนเก่าก่อนสอนให้คิด
แฝงนิมิตบอกความนัยให้คนเห็น
เป็นข้อคิดก่อเกิดธรรมความจำเป็น
และฝากเน้นถึงกรรมดีที่พึงทำ.....
*************************
คัดลอกมาจาก ( คุณนพกรณ์ กุลตวนิช ผู้ประพันธ์ )