4 กันยายน 2552 16:57 น.

มนุษย์เกิดมาทำไม?

ลุงเอง

มนุษย์เกิดมาทำไม?
      หลายคนสงสัยและถามว่า ทำไมงานบุญทางพุทธศาสนา ขณะที่พระสงฆ์ให้ศีล ชาวพุทธจึงไม่ให้ความสนใจการรับศีล ทำไมรับศีลแล้วยังคงตั้งวงดื่มเหล้า? ทำไมทำบุญจึงต้องฆ่าวัว ควาย หมู เป็ด ไก่? ทำไมชาวพุทธจึงต้องเบียดเบียนชีวิตและทรัพย์สิน แก่งแย่งชิงดีชิงเด่น โป้ปดมดเท็จไม่ซื่อสัตย์และจริงใจต่อกัน? ทำไม? ......และทำไม......?
       สังคมในปัจจุบัน เป็นผลจากการพัฒนาของสังคมโลก โดยเริ่มพัฒนาการจากยุคสังคมเกษตรกรรมปฏิวัติสู่ยุคอุตสาหกรรม ยุคเทคโนโลยีก้าวหน้า (เริ่มบริโภคนิยม) ยุคโลกาภิวัตน์ จนถึงยุคปัจจุบัน “ยุคข้อมูลข่าวสารหรือไร้พรมแดน” (บริโภคนิยมสุดโต่ง) สังคมโลกแสวงหาความสุขความสะดวกสบายจากการบริโภควัตถุนิยมแบบสุดๆ แสวงหาความมั่งคั่งร่ำรวย (โลภะ) แสวงหาและแย่งชิงอำนาจโดยการเบียดเบียน (โทสะ) และเผาผลาญ และเสพ ทำลายอย่างลุ่มหลง (โมหะ) เวียนวนอยู่ในลาภ ยศ สรรเสริญและความสุข ปฏิเสธความเสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์ ซึ่งทางพระพุทธศาสนาเรียกว่า “โลกธรรม ๘ ประการ” คือ ธรรมะคู่โลก ถึงจะปฏิเสธอย่างไร สังคมโลกก็ดิ้นรนวิ่งหนีความทุกข์ไปไม่พ้น เพราะทุกสิ่งล้วนตกอยู่ในกฏแห่งสามัญญลักษณะ หรือ ไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จึงทำให้สังคมมนุษย์ปัจจุบันประสบความทุกข์ทั้งกายและใจมากกว่าสมัยโบราณ (ยุคเกษตรกรรม) นั่นเพราะเหตุอันเกิดปัญหาที่เนื่องมาจากการพัฒนา ดังคำกล่าวที่ว่า“พัฒนาใดๆ ก็ติด ถ้าจิตไม่พัฒนา” ยิ่งมีความเจริญทางวัตถุมากเท่าไรความเสื่อมถอยทางจิตใจก็ยิ่งทวีมากยิ่ง ขึ้นเท่านั้น ดังจะเห็นได้จากปัญหาทางสังคมที่เกิดขึ้นในแต่ละวันมากมายหลายรูปแบบ นับวันแต่จะทวีความรุนแรง ทารุณ โหดร้ายมากยิ่งขึ้น ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ไม่รู้จบ จึงน่าเป็นห่วงว่าสังคมโลกจะถึง “ยุคเสื่อมถอยทำลายล้าง” ละหรือ?
       ถ้าหากว่าสังคมโลกกำลังจะถึงยุคเสื่อมถอยทำลายล้างดังกล่าวจริงมนุษย์ก็เกิด มาเพื่อพบกับความทุกข์ แล้วมนุษย์เราจะอยู่กันได้อย่างไร?
       แต่ถ้าหากท่านยังไม่อยากให้ถึงยุคดังกล่าว ท่านควรจะต้องทำอย่างไรจึงจะอยู่อย่างมีความสุข และความสุขที่ว่านี้ต้องเป็นความสุขที่แท้จริงด้วย ดังนั้นคำถามที่ว่ามนุษย์เกิดมาทำไม? หากต้องการทราบโปรดติดตามพลิกอ่านบทความต่อไปก็คงจะทราบคำตอบได้โดยไม่ยาก				
3 กันยายน 2552 18:19 น.

ความหมายของสีประจำวัน

ลุงเอง

ความหมายของสีประจำวัน


ที่มาว่าทำไมวันจันทร์ต้องสีเหลือง อังคารสีชมพู พุธสีเขียว พฤหัสบดีสีส้ม ศุกร์สีฟ้า เสาร์สีม่วง จากการสืบค้นดูแล้วไม่ปรากฏว่าใครเป็นผู้กำหนดสีประจำวันเหล่านี้ อย่างไรก็ตาม เรามีคำอธิบายเกี่ยวกับสีประจำวันในแต่ละวันว่ามีความหมายอย่างไรบ้างมาฝาก ดังนี้

วันอาทิตย์- สีแดง

สีแดงเป็นสัญลักษณ์แห่งความมั่งคั่ง สุขภาพ และแรงปรารถนา เชื่อว่าสีแดงจะมีพลังอำนาจสูงสุดเมื่ออยู่คู่กับคนที่เกิดวันอาทิตย์ สีแดง อาจหมายถึงโชคดีสำหรับคนที่เริ่มทำธุรกิจใหม่ คู่แต่งงานและความอายุยืน ในด้านสุขภาพสีแดงยังช่วยในการไหลเวียนโลหิตเสริมสร้างความสัมพันธ์ให้ยืนยาวนานอีกด้วย

วันจันทร์-สีเหลือง

สีเหลืองมักถูกอ้างถึงความเจิดจ้า ความสว่างไสว ความเชื่อใจ พระอาทิตย์รังสีสีเหลืองที่ให้ชีวิตแก่สิ่งมีชีวิต สีเหลืองเป็นสัญลักษณ์ของชีวิตใหม่และชีวิตที่ดีขึ้น ด้วยความสว่างไสว สีเหลืองยังช่วยชำระจิตใจที่ยังช่วยให้ตัดสินใจได้ดีที่สุดสำหรับเรื่องธุรกิจและชีวิตที่นำไปสู่ความอุดมสมบูรณ์

วันอังคาร-สีชมพู

สีชมพูทำให้แรงปรารถนาของสีแดงอ่อนโยนลงกลายเป็นสีแดงอันอ่อนละมุน สีชมพูช่วยหัวใจในตัดสินใจได้ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนรักเพราะสีชมพูหมายถึงความรักที่คงทนและไร้เงื่อนไข รวมถึงมิตรภาพ ในเรื่องสุขภาพสีชมพูสร้างความสมดุลระหว่างสุขภาพกายและใจ

วันพุธ-สีเขียว

สีเขียวเป็นสัญลักษณ์แสดงถึงความเจริญรุ่งเรืองและสะท้อนพลังอันมีชีวิตชีวาของชีวิต ทำให้สิ่งมีชีวิตเจริญเติบโต เชื่อกันว่าสีเขียวมีคุณลักษณะอันเป็นประโยชน์หลายประการ ยกตัวอย่างเช่น ช่วยให้ตาผ่อนคลาย เพิ่มพูนความฉลาดและกล้าหาญและช่วยป้องกันจากโรคร้าย และนำพาสู่ชีวิตอมตะ สีเขียวจะมีพลังสูงสุดเมื่อคู่กับคนที่เกิดวันพุธ

วันพฤหัสบดี-ส ีส้ม

สีส้มเป็นสีที่ดีที่สุดสำหรับคนที่เกิดวันพฤหัสบดี สีส้มแสดงถึงความหวังและความอิ่มเอิบ ช่วยเปลี่ยนโลกให้กลายเป็นสถานที่อันชวนหลงใหลสำหรับการอาศัยอยู่ ช่วยส่งเสริมและนำมาซึ่งความหวังแก่ผู้คนที่โชคร้ายในชีวิต นอกจากนั้นยังเชื่อว่าสีส้มช่วยเผยความรู้สึกที่เก็บไว้ซึ่งเป็นการดีเมื่อได้แสดงความรู้สึกที่แท้จริงออกมา ในด้านสุขภาพ สีเขียวช่วยป้องกันการติดต่อจากเชื้อโรคและทำให้สุขภาพดี

วันศุกร์-สีฟ้า

สีฟ้าแสดงถึงสันติภาพ ความสงบและความฝัน ช่วยให้การแต่งงานราบรื่นและยืนยาว ซึ่งจะทรงพลังที่สุดเมื่ออยู่กับคนที่เกิดวันศุกร์ สำหรับคนที่ทำธุรกิจ สีฟ้าช่วยยุติการทะเลาะเบาะแว้ง สร้างหุ้นส่วนใหม่และช่วยให้มีความกล้าในการทำสิ่งที่ยากลำบาก ช่วยรักษาอาการขี้เกียจและเสริมสร้างพลังทางใจด้วย

วันเสาร์-สีม่วง

สีม่วงเป็นการผสมผสานระหว่างแรงปรารถนาของสีแดงและความสงบเงียบของสีฟ้า สีม่วงเป็นที่รู้จักสำหรับความลึกลับ ความรุ่งโรจน์ สีม่วงเป็นสีที่เป็นประโยชน์สำหรับคนที่เคร่งเครียดและบ้างานเพราะช่วยในการควบคุมอารมณ์ ผ่อนคลายจิตใจและปลดปล่อยจากภาระผูกพันเนื่องจากการวิตกกับชีวิต จากหลายความเชื่อ สีนี้เหมาะสำหรับคนที่เกิดวันเสาร์				
3 กันยายน 2552 08:34 น.

เทพประจำเทศกาลสารทจีน

ลุงเอง

เทพประจำเทศกาลสารทจีน

เทพจงหยวน เทพประจำเทศกาลสารทจีน

        เทพจงหยวนเป็นเทพประจำเทศกาลสารทจีน ชื่อเต็มว่า "จงหยวนต้าตี้-อธิบดีแห่งคืนเพ็ญกลาง" หรือ "ตี้กวนต้าตี้-ธรณิศมหาเสนาธิบดี" เรียกสั้นๆ ว่า "ตี้กวน-ธรณิศเสนา" มีหน้าที่ควบคุมดูแลเทพแห่งมหาบรรพตทั้งห้า (ของจีน) ภูเขาและแม่น้ำ เจ้าที่ประจำเมืองทุกเมือง เทพในเมืองที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ ตรวจดูโชคเคราะห์ของสรรพสัตว์ ตรวจบัญชีความดีความชั่วของมนุษย์ และหน้าที่สำคัญคือให้อภัยโทษแก่ผู้รู้ผิดกระทำพลีบูชาท่าน วัน15 ค่ำ เดือน 7ท่านจะลงมาตรวจบัญชีชั่วดีของมนุษย์แล้วประทานอภัยให้

        นอกจากนี้ท่านยังต้องมาเป็นประธานดูแลการไหว้ผีไม่มีญาติ ซึ่งคนเป็นผู้ไหว้ โดยท่านจะไปเจรจากับ "ลี่" ราชาของผีพวกนี้ ให้ช่วยคุมดูแลบริวารไม่ให้ทำร้ายมนุษย์ ฉะนั้นผู้คนจึงกินเจ ทำพิธีเซ่นสรวงบูชาท่าน เซ่นไหว้บรรพชน เพื่อให้ท่านอภัยโทษให้ทั้งแก่ตนเองและวิญญาณบรรพชน ปัจจุบันในไต้หวันนิยมไหว้ท่านตั้งแต่ยามแรกของวัน 15 ค่ำ จีนแบ่งวันคืนออกเป็น 12 ยาม ยามละ 2 ชั่วโมง ยามแรกคือช่วง 5 ทุ่มถึงตี1 (23.00-01.00 น.) ยามแรกของวัน15 ค่ำ ก็คือช่วง23.00-01.00 น. ของคืนวัน14 ค่ำ เพราะจีนเริ่มวันใหม่ตอน 5 ทุ่ม ถ้าไม่ไหว้ตอน 5 ทุ่ม ก็มาไหว้ตอนเที่ยงวันของวัน 15 ค่ำ หลังจากไหว้บรรพบุรุษไปแล้ว ในจีนแต่ละถิ่นเวลาไหว้ต่างกัน บางถิ่นก็ไม่ได้ไหว้แล้ว ส่วนในไทยไม่ปรากฏมีพิธีไหว้เทพจงหยวนโดยเฉพาะ ประเพณีนิยมการไหว้ในวันเทศกาลจีนของไทยจะไหว้เจ้าและเทวดาทั้งหมดตอนเช้า อนึ่งคนจีนในไทยนับถือ "ตี่จู๋เอี๊ย" คือ "เจ้าที่" มาก มีศาลเล็กๆ ตั้งอยู่ในบ้านแทบทุกบ้าน ตี่จู๋เอี๊ยอยู่ใต้บังคับบัญชาของตี้กวน (ธรณิศเสนา) หรือเทพจงหยวน จึงถือได้ว่าเป็นตัวแทนของท่านประจำอยู่ทุกบ้าน การไหว้ตี่จู๋เอี๊ยจึงพออนุโลมแทนการไหว้เทพจงหยวนได้				
3 กันยายน 2552 08:25 น.

เทศกาลสาร์ทจีน

ลุงเอง

เทศกาลสาร์ทจีน

วันสารทจีน ตามปฏิทินทางจันทรคติ เทศกาลสารทจีนจะตรงกับวันที่ 15 เดือน 7[1] ตามปฏิทินจีน เทศกาลสารทจีนถือเป็นวันสำคัญที่ลูกหลานชาวจีนจะแสดงความกตัญญูต่อบรรพบุรุษ โดยพิธีเซ่นไหว้ และยังถือเป็นเดือนที่ประตูนรกเปิดให้วิญญาณทั้งหลายมารับกุศลผลบุญได้

ตำนาน

ตำนานที่ 1

ตำนานนี้กล่าวไว้ว่าวันสารทจีนเป็นวันที่เซ็งฮีไต๋ตี๋ (ยมบาล) จะตรวจดูบัญชีวิญญาณคนตาย ส่งวิญญาณดีขึ้นสวรรค์และส่งวิญญาณร้ายลงนรก ชาวจีนทั้งหลายรู้สึกสงสารวิญญาณร้ายจึงทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ ดังนั้นเพื่อให้วิญญาณร้ายออกมารับกุศลผลบุญนี้จึงต้องมีการเปิดประตูนรก นั่นเอง


ตำนานที่ 2

มีชายหนุ่มผู้หนึ่งมีนามว่า “มู่เหลียน” (พระโมคัลลานะ) เป็นคนเคร่งครัดในพุทธศาสนามาก ผิดกับมารดาที่เป็นคนใจบาปหยาบช้าไม่เคยเชื่อเรื่องนรก-สวรรค์มีจริง ปีหนึ่งในช่วงเทศกาลกินเจนาง เกิดความหมั่นไส้คนที่นุ่งขาวห่มขาวถือศีลกินเจ นางจึงให้มู่เหลียนไปเชิญผู้ถือศีลกินเจเหล่านั้นมากินอาหารที่บ้านโดยนางจะ ทำอาหารเลี้ยงหนึ่งมื้อ

ผู้ถือศีลกินเจต่างพลอยยินดีที่ทราบข่าวว่ามารดาของมู่เหลียนเกิดศรัทธา ในบุญกุศลครั้งนี้ จึงพากันมากินอาหารที่บ้านของมู่เหลียนแต่หาทราบไม่ว่าในน้ำแกงเจนั้นมี น้ำมันหมูเจือปนอยู่ด้วย การกระทำของมารดามู่เหลียนนั้นถือว่าเป็นกรรมหนัก เมื่อตายไปจึงตกนรกอเวจีมหานรกขุมที่ 8 เป็นนรกขุมลึกที่สุดได้รับความทุกข์ทรมานแสนสาหัส

เมื่อมู่เหลียนคิดถึงมารดาก็ได้ถอดกายทิพย์ลงไปในนรกภูมิ จึงได้รู้ว่ามารดาของตนกำลังอดอยากจึงป้อนอาหารแก่มารดา แต่ได้ถูกบรรดาภูตผีที่อดอยากรุมแย่งไปกินหมดและเม็ดข้าวสุกที่ป้อนนั้นกลับ เป็นไฟเผาไหม้ริมฝีปากของมารดาจนพอง แต่ด้วยความกตัญญูและสงสารมารดาที่ได้รับความทุกข์ทรมานอย่างสาหัสมู่เหลียน ได้เข้าไปขอพญาเหงี่ยมล่ออ๊อง (ยมบาล) ว่าตนของรับโทษแทนมารดา

แต่ก่อนที่มู่เหลียนจะถูกลงโทษด้วยการนำร่างลงไปต้มในกระทะทองแดง พระพุทธเจ้าได้เสด็จลงมาโปรดไว้ได้ทัน โดยกล่าวว่ากรรมใดใครก่อก็ย่อมจะเป็นกรรมของผู้นั้นและพระพุทธเจ้าได้มอบ คัมภีร์อิ๋ว หลันเผิน ให้มู่เหลียนท่องเพื่อเรียกเซียนทุกทิศทุกทางมาช่วยผู้มีพระคุณให้หลุดพ้น จากการอดอยากและทุกข์ทรมานต่างๆ ได้ โดยที่มู่เหลียนจะต้องสวดคัมภีร์อิ๋ว หลันเผินและถวายอาหารทุกปีในเดือนที่ประตูนรกเปิดจึงจะสามารถช่วยมารดาของ เขาให้พ้นโทษได้

นับแต่นั้นเป็นต้นมา ชาวจีนจึงได้ถือเป็นประเพณีปฏิบัติสืบต่อมากันโดยตลอดด้วยการเซ่นไหว้ โดยจะนำอาหารทั้งคาวหวาน และกระดาษเงินกระดาษทองไป วางไว้ที่หน้าบ้านหรือตามทางแยกที่ไม่ไกลนัก มีนัยว่าเป็นการเบี่ยงเบนความสนใจของบรรดาวิญญาณเร่ร่อนที่กำลังจะผ่านมา ใกล้ที่พักของตน

จำนวนชุดที่ไหว้

การไหว้ในเทศกาลสารทจีนแบ่งออกเป็น 3 ชุด ดังนี้

[แก้] 1. ชุดสำหรับไหว้เจ้าที่

จะไหว้ในตอนเช้า มีอาหารคาวหวาน ขนมที่ไหว้ก็ขนมถ้วยฟู กุยช่าย ส่วนขนมไหว้พิเศษที่ต้องมีซึ่งเป็นประเพณีของสารทจีนคือขนมเทียน ขนมเข่ง ซึ่งต้องแต้มจุดสีแดงไว้ตรงกลาง เนื่องจากชาวจีนมีความเชื่อที่ว่าสีแดงเป็นสีแห่งความเป็นศิริมงคล นอกจากนั้นก็มีผลไม้ น้ำชา หรือเหล้าจีน และกระดาษเงินกระดาษทอง

[แก้] 2. ชุดสำหรับไหว้บรรพบุรุษ

คล้ายของไหว้เจ้าที่พร้อมด้วยกับข้าวที่บรรพบุรุษชอบ ตามธรรมเนียมต้องมีน้ำแกงหรือขนมน้ำใสๆ วางข้างชามข้าวสวย และน้ำชาจัดชุดตามจำนวนของบรรพบุรุษ ขาดไม่ได้ก็คือขนมเทียน ขนมเข่ง ผลไม้และกระดาษเงินกระดาษทอง

[แก้] 3. ชุดสำหรับไหว้วิญญาณเร่ร่อนหรือวิญญาณไม่มีญาติ

วิญญาณเร่ร่อนหรือวิญญาณไม่มีญาติ เรียกว่า ไป๊ฮ๊อเฮียตี๋ แปลว่า ไหว้พี่น้องที่ดี เป็นการสะท้อนความสุภาพและให้เกียรติของคนจีน เรียกผีไม่มีญาติว่าพี่น้องที่ดีของเรา โดยการไหว้จะไหว้นอกบ้านของไหว้จะมีทั้งของคาวหวานและผลไม้ตามต้องการและที่ พิเศษคือมีข้าวหอมแบบจีนโบราณ คอปึ่ง เผือกนึ่งผ่าซีกเป็นเสี้ยวใส่ถาด เส้นหมี่ห่อใหญ่ เหล้า น้ำชา และกระดาษเงินกระดาษทองจัดทุกอย่างวางอยู่ด้วยกันสำหรับเซ่นไหว้

[แก้] ขนมที่ใช้ไหว้

ในสมัยโบราณชาวจีนใช้ขนมไหว้ 5 อย่าง เรียกว่า โหงวเปี้ย หรือเรียกชื่อเป็นชุดว่า ปัง เปี้ย หมี่ มั่ว กี

    * ปัง คือขนมทึงปัง เป็นขนมที่ทำมาจากน้ำตาล

    * เปี้ย คือขนมหนึงเปี้ย คล้ายขนมไข่

    * หมี่ คือขนมหมี่เท้า ทำมาจากแป้งข้าวเจ้าข้างในไส้เต้าซา

    * มั่ว คือขนมทึกกี่ เป็นขนมข้าวพองสีแดงตรงกลางมีไส้เป็นแผ่นบาง

    * กี คือขนมทึงกี ทำเป็นชิ้นใหญ่ยาวเวลาจะกินต้องตัดเป็นชิ้นเล็กๆ

แต่ชาวไทยเชื้อสายจีนใช้ขนมเทียน ขนมเข่งในการไหว้ โดยหลักของที่ไหว้ก็จะมีของคาว 3 หรือ 5 อย่าง เช่น ไก่ หมู เป็ด ไข่ หมึก ปลา เป็นต้น ของหวาน 3 หรือ 5 อย่าง เช่น ขนมเทียน ขนมมัดไต้ ขนมถ้วยฟู หรือขนมสาลี่ปุยฝ้าย ขนมเปี๊ยะ ส้ม หรือผลไม้ตามใจชอบ

แง่คิด

ประเพณีสารทจีนนอกจากจะเป็นประเพณีที่ลูกหลานจะแสดงความกตัญญูต่อ บรรพบุรุษซึ่งล่วงลับไปแล้ว ยังเป็นประเพณีที่มีกุศโลบายในการสนับสนุนให้ทุกคนในครอบครัวทำกิจกรรมร่วม กันอย่างพร้อมหน้าและมีความสุข

[แก้] อ้างอิง

    * บทความโดย วัชนี พุ่มโมรี กลุ่มประชาสัมพันธ์ สำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม				
2 กันยายน 2552 11:11 น.

ภูเขาไฟใกล้ไทยรอวันปะทุ

ลุงเอง

ภูเขาไฟใกล้ไทยรอวันปะทุ


ภูเขาไฟ (Volcano) คือภูเขาที่เกิดขึ้นโดยการปะทุของหินหนืดร้อน แรงดันสูงภายใต้เปลือกโลก ปรากฏตัวเป็นลักษณะเด่นอย่างหนึ่งทางภูมิศาสตร์ มีหลายชนิดแบ่งตามสภาพของความรุนแรงในการปะทุ

การเกิดภูเขาไฟตาม ทฤษฎีพลูม (Plume Theory) โดยเจสัน มอร์แกน (Jason Morgan) กล่าวว่า การเกิดภูเขาไฟระเบิดเกิดจากจุดศูนย์รวมความร้อน (Hot Spot) หรือ "พลูม" (Plume) เกิดการถ่ายเทพลังงานของมวลที่แข็งและร้อนในชั้นของเปลือกโลกแมนเทิล (Mantle) ซึ่งเป็นชั้นหินหลอมเหลวใต้เปลือกโลก

ปรากฏการณ์ดังกล่าวทำ ให้เกิดภูเขาไฟและภูเขาไฟระเบิด ตัวอย่างที่สนับสนุนทฤษฎีนี้ ได้แก่ การแทรกตัวของมวลหินร้อนที่โผล่พ้นระดับน้ำทะเล กลายเป็นหมู่เกาะฮาวาย

การ ระเบิดของภูเขาไฟนอกจากจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินแล้ว ยังเกิดปรากฏการณ์ธรรมชาติอื่นๆ เช่น คลื่นสึนามิ (Tsunamis) หรือเถ้าภูเขาไฟตกทับถมอยู่ใกล้ภูเขาไฟ ทำให้เมื่อมีฝนตกหนัก อาจเกิดน้ำท่วมและโคลนถล่มตามมา เช่น กรณีภูเขาไฟพินาตูโบ ที่ฟิลิปปินส์ระเบิด เป็นต้น

บทความ เนื้อเรื่อง หรือ คำอธิบาย โดยละเอียด
ในประเทศไทย พบว่าภูเขาไฟส่วนใหญ่มักเกิดบริเวณภาคเหนือ กระจายตัวและตำแหน่งที่ไม่แน่นอน สันนิษฐานว่าเป็นภูเขาไฟเมื่อประมาณ 2-4 ล้านปีที่แล้ว จากรายงานทางธรณีวิทยาและแผนที่ทางธรณีวิทยา พบบริเวณที่เป็นหินภูเขาไฟ หรือหินบะซอลต์อยู่ 5 บริเวณ ได้แก่

บริเวณที่ 1 ทางภาคเหนือ ได้แก่ อำเภอแม่ทา อำเภอสบปราบ และอำเภอเมืองลำปาง ทางด้านทิศตะวันตกของจังหวัดแพร่ น่าน อุตรดิตถ์ ตาก และสุโขทัย เป็นหินบะซอลต์ ไรโอไลต์ แอนดีไซต์ และแอกโกเมอเรต (ศิลาแลง)

บริเวณที่ 2 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ บริเวณเขากระโดง เขาพนมรุ้ง และภูอังคาร จังหวัดบุรีรัมย์ สุรินทร์ และทางทิศใต้ของจังหวัดศรีสะเกษ

บริเวณที่ 3 ที่ราบสูงภาคกลาง พบที่จังหวัดสระบุรี โคกสำโรง หล่มเก่า ท่าลี่ และทางด้านทิศตะวันตกของภูกระดึง จังหวัดเลย อำเภอเดิมบางนางบวช อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี

บริเวณที่ 4 ภาคตะวันตก พบที่อำเภอบ่อพลอย จังหวัดกาญจนบุรี

บริเวณที่ 5 ภาคตะวันออก พบที่บ้านบ่อไร่ จังหวัดตราด บ้านบ่อพลอย จังหวัดจันทบุรี

ภูเขาไฟที่พบในประเทศไทยทั้งหมดเป็นภูเขาไฟที่สิ้นพลังแล้วทั้งสิ้น อายุอย่างน้อยที่สุดประมาณ 7 แสนปี

ส่วนใหญ่มีสัณฐานแบบรูปโล่ (Shield Volcanoes) คือสัณฐานไม่สูงมากนักมีความลาดเอียงไม่เกิน 10 องศา ส่วนความเอียงที่ฐานไม่เกิน 2 องศา

และมีแร่รัตนชาติอยู่มาก เช่น ทับทิม บุษราคัม และเขียวส่อง เป็นต้น

ส่วนภูเขาโคลนที่พบในทะเลอันดามัน มีโอกาสน้อยมากที่จะเป็นภูเขาไฟ

แต่ยังต้องรอการพิสูจน์ที่ชัดเจนต่อไป
วรวุฒิ ตันติวนิช" ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านที่ปรึกษาทางการบริหารจัดการทรัพยากรธรณี กรมทรัพยากรธรณี ซึ่งระบุว่าภูเขาไฟลูกนี้เคยระเบิดมาแล้วเมื่อครั้งอดีต แต่เป็นภูเขาไฟขนาดเล็กไม่ค่อยมีความสำคัญในสายตาของนักวิทยาศาสตร์โลก แต่บังเอิญว่าเป็นภูเขาไฟที่อยู่ใกล้ประเทศไทย

วรวุฒิอธิบายว่า ภูเขาไฟบนเกาะบาร์เรนตั้งอยู่กลางทะเลอันดามัน อยู่ห่างจากหมู่เกาะนิโคบาร์ ประเทศอินโดนีเซีย ไปทางทิศตะวันออก มีประวัติการปะทุและระเบิดของภูเขาไฟลูกนี้เป็นระยะๆ แต่ไม่รุนแรง ล่าสุดปี 2538 มีรายงานการปะทุและมีรายงานการพ่นลาวาออกมา

อย่างไรก็ตามวรวุฒิ บอกว่า บนเกาะบาร์เรนไม่มีคนอยู่อาศัย จึงไม่ค่อยมีข้อมูลเกี่ยวกับการระเบิดมากเท่าไรนัก แต่ภูเขาไฟลูกนี้ดร.สมิทธ ธรรมสโรช ประธานกรรมการอำนวยการศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ กังวลว่าหากเกิดการระเบิดอาจจะเกิดสึนามิ ซึ่งประเทศไทยอาจได้รับผลกระทบจากภูเขาไฟลูกนี้ เพราะอยู่ใกล้ประเทศไทยมากกว่าภูเขาไฟลูกอื่นๆ
อย่างไรก็ตามเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2550 มีรายงานการปะทุและระเบิดของภูเขาไฟบนเกาะบาร์เรนที่อยู่ห่างจากเกาะ นิโคบาร์ไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ 135 กิโลเมตร ทีมผู้เชี่ยวชาญด้านภูเขาไฟระเบิดจากประเทศอินเดีย ลงไปสำรวจร่องรอยการระเบิดครั้งใหม่ในรอบ 10 ปี เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน ที่ผ่านมา พบลาวาและหินระเบิดพุ่งออกมาอย่างรุนแรงจากปล่องภูเขาไฟ มีอุณหภูมิตั้งแต่ 900 ถึงมากกว่า 1,200 องศาเซลเซียส พร้อมด้วยฝุ่นหินของลาวาที่ร้อนแรงพุ่งออกมาจากปล่องสูงถึง 100 เมตร นานกว่า 15-30 วินาที หมอกควันที่ระเบิดออกมา มีรูปร่างคล้ายดอกเห็ดใหญ่ๆ ที่มีทิศทางพุ่งไปทางเหนือ

นอกจากนี้วรวุฒิ ยังระบุถึง ภูเขาไฟอีกลูกที่อาจก่อให้เกิดคลื่นสึนามิชายฝั่งอ่าวไทย นั่นคือ ภูเขาไฟที่ตั้งอยู่ตรงบริเวณปลายแหลมญวน หากระเบิดขึ้นมาอาจทำให้เกิดคลื่นสึนามิได้ แต่ตอนนี้ยังสบายใจได้ เพราะภูเขาไฟลูกนี้ยังสงบเงียบอยู่ แต่ขณะเดียวกันภูเขาไฟกรากะตัวที่ยังคุกรุ่นอยู่ด้วย ยังเป็นสิ่งที่น่ากังวล เพราะหากภูเขาไฟลูกนี้ระเบิดอีกครั้งอาจทำให้เกิดสึนามิได้เช่นกัน
ภูเขาหินยักษ์ที่อัดแน่นไปด้วยแมกม่าจากหินหลอมละลายใต้พิภพเกือบ200 แห่งทั่วโลกอาจกำลังถูกปลุกด้วยการขยับตัวของแผ่นเปลือกโลก ฤา...ใกล้ถึงวงรอบการระเบิดของภูเขาไฟครั้งประวัติศาสตร์ที่จะย้อนมากลืน อารยธรรมของมนุษย์อีกครั้ง!


บันทึก...ปฐพีเดือดครั้งสำคัญ ของโลก


- ปี622 ภูเขาไฟวิสุเวียส ประเทศอิตาลี มีผู้เสียชีวิตราว16,000 คน

- ปี1712 ภูเขาไฟเอ็ตนาเกาะซิซิลี ประเทศอิตาลี มีผู้เสียชวิตราว15,000 คน

- ปี2174 ภูเขาไฟวิสุเวียสประเทศอิตาลี มีผู้เสียชีวิตราว 4,000 คน

- ปี2212 ภูเขาไฟเอ็ตนาเกาะซิซิลี ประเทศอิตาลี มีผู้เสียชีวิตราว 20,000 คน

- ปี2315 ภูเขาไฟปาปันดายัง ประเทศอินโดนีเซีย มีผู้เสียชีวิตราว 3,000 คน

- ปี2335 ภูเขาไฟอุนเซ็นดาเกะ ประเทศญี่ปุ่น มีผู้เสีนชีวิตราว10,400 คน

- ปี2358 ภูเขาไฟแทมโบโลประเทศอินโดนีเซีย มีผู้เสียชีวิตราว12,000 คน และยังทำให้ปี2359 ไม่มีฤดูร้อนอีกด้วย

- วันที่26-28 สิงหาคม2426 ภูเขาไฟกรากะตัว ประเทศอินโดนีเซีย มีผู้เสียชีวิตราว 36,000 คน

- วันที่8 เมษาย 2445 ภูเขาไฟซานตามาเรียประเทศกัวเตมาลา มีผู้เสียชีวิตราว 1,000 คน

- วันที่8 พฤษภาคม 2445 ภูเขาไฟปิเล เกาะมาร์ตินีกมีผู้เสียชีวิตราว 10,000 คน

ระวัง วันไหนที่เผลอมันอาจกระชากวิญญาณคุณ
ส่วนข้อมูลละเอียดที่
http://www.dmr.go.th/news_dmr/data/2355.html				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟลุงเอง
Lovings  ลุงเอง เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟลุงเอง
Lovings  ลุงเอง เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟลุงเอง
Lovings  ลุงเอง เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงลุงเอง