13 สิงหาคม 2552 09:09 น.
ลุงเอง
ความทรงจำของสองเรา.....
โดย แม่นก
ใครๆ มักพูดกันว่านมแม่เป็นของขวัญอันล้ำค่าสำหรับลูก ซึ่งก็เป็นความจริงอย่างที่สุด แต่แม่ได้ซาบซึ้งกับความจริงอีกข้อหนึ่งว่า นมแม่เป็นของขวัญอันประเสริฐยิ่งสำหรับคนเป็นแม่ เป็นความทรงจำอันงดงามที่ทั้งสุขและเศร้าแต่มีค่าเหนือสิ่งอื่นใด และแม่คงไม่มีวันได้รับประสบการณ์อันล้ำค่านี้ หากไม่มี “ลูก” และไม่ได้พยายาม “เลี้ยงลูกด้วยนมแม่”
เมื่อ เริ่มตั้งครรภ์ แม่ดูแลสุขภาพเป็นอย่างดีและตั้งใจว่าจะคลอดลูกเองแบบธรรมชาติ (คือไม่ใช้ยาแก้ปวดหรือยาเร่งคลอดใดๆ) และจะเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างน้อยหนึ่งปี ถึงแม้ในที่สุดเมื่อผ่านการเจ็บท้องในห้องคลอดร่วม 15 ชั่วโมง ก็ต้องยอมรับการผ่าตัดด้วยข้อจำกัดทางสรีระของร่างกาย แต่ช่วงเวลานั้นก็เป็นประสบการณ์อันล้ำค่าที่แม่ไม่เคยคิดเสียดาย แม่กับพ่อได้มีประสบการณ์อันยิ่งใหญ่นี้ร่วมกัน และได้ซาบซึ้งถึงน้ำใจของคุณหมอและพยาบาลห้องคลอดที่ให้การดูแลเราเป็นอย่าง ดีและเชื่อมั่นเช่นเดียวกับเรา
ช่วง ที่อยู่โรงพยาบาล ทุกอย่างราบรื่นดี เมื่อแม่รู้สึกตัว พยาบาลก็อุ้มลูกมาให้ดูดนม (หลังจากคลอดเสร็จราว 3 ชั่วโมง) และดูดกระตุ้นทุก 3 ชั่วโมง ไม่มีการป้อนนมผสมใดๆ ทั้งสิ้น นมเริ่มมาวันที่สอง พอวันที่สามเราก็กลับบ้าน แต่พอกลับมาบ้านนี่สิ อะไรๆ ดูวุ่นวายสับสนไปหมด หนูร้องไห้โยเยจนแม่ต้องนั่งให้นมแทบจะตลอด 24 ชั่วโมงก็ว่าได้ ยกเว้นแค่เวลาเข้าห้องน้ำ ที่คนในบ้านต้องทนฟังเสียง 18 หลอดของหนู มีเสียงเปรยๆ จากผู้ใหญ่ว่านมไม่พอ แต่ด้วยความดื้อรั้นของทั้งพ่อและแม่เลยพาลูกรอดพ้นจากนมผสมมาได้ ช่วงแรกๆ มีแต่ความสับสนและว้าวุ่นใจ ทั้งๆ ที่เตรียมตัวหาข้อมูลมาอย่างดี แต่ภาคปฏิบัตินั้นไม่ง่ายเหมือนในทฤษฎี ดีที่ได้กำลังใจจากบรรดากระทู้ของแม่มือใหม่และมือเก่าเขียนไว้ในเว็บกลุ่ม นมแม่ ช่วยให้มีกำลังใจขึ้นมากและรู้สึกว่าเราไม่ได้เผชิญปัญหาเพียงลำพัง ที่สำคัญ ปัญหาของเรายังเป็นเรื่องจ้อยมากเมื่อเทียบกับแม่อีกหลายๆ ท่าน
เมื่อ ลูกอายุได้ห้าวัน แม่ต้องพาลูกกลับไปโรงพยาบาลใหม่เพราะตัวเหลือง หมอวัดแล้วพบว่าระดับเหลืองสูงจนใกล้ขีดอันตราย และต้องนอนพักอยู่ที่ในโรงพยาบาล หมอแนะนำให้งดนมแม่และให้นมผสมในคืนนั้น แม้จะไม่เห็นด้วย แต่ก็ต้องยอมเพราะตอนนั้นเราไม่มีแรงจะไปต่อสู้อะไร นอกจากขอให้ลูกปลอดภัยเป็นสำคัญ ในเวลานั้นทุกครั้งที่ลูกร้องไห้ นมแม่จะไหลพุ่งตามสัญชาตญาณ แม่พยายามทำใจให้เข้มแข็งและไปบีบนมเก็บไว้ พร่ำบอกกับตัวเองในใจว่าลูกจะต้องหายดี พอถึงเช้าวันรุ่งขึ้นเมื่อระดับเหลืองลดลง แม่ก็กลับมาให้นมลูกอีกครั้ง เป็นความปีติสุขอย่างยิ่ง เพราะลูกดูดนมอย่างมีความสุข ไม่หวีดร้องหันหนีเหมือนตอนที่พยาบาลพยายามป้อนนมผสมด้วยช้อนเลย
ถึง อย่างนั้น แม่ก็ยังกังวลเสมอว่าเราจะสามารถให้นมแม่อย่างเดียวไปจนครบหกเดือนได้หรือ เปล่า ลูกทานนมถี่มาก (พ่อกับแม่มารู้ทีหลังเมื่อลูกอายุ 3 เดือนว่าหนูมีปัญหาลิ้นติดเล็กน้อย) ช่วงสองสามเดือนแรก ลูกแทบจะทานนมตลอดเวลาที่ตื่น (แถมหนูยังเป็นเด็กนอนน้อยอีกต่างหาก) จนเมื่อเริ่มต้นเดือนที่ 4 จึงเริ่มเว้นระยะห่างบ้างแต่ก็ไม่นานนัก ถ้าจะยึดตามสูตรว่าต้องกินทุกกี่ชั่วโมง แม่คงกลุ้มใจแย่แน่ๆ โชคดีที่พยายามลืมคำแนะนำในหนังสือคู่มือเลี้ยงลูกไปเสีย และปล่อยให้ธรรมชาติของลูกเป็นคนบอกแทน
แล้ว เราก็ผ่านช่วงหกเดือนมาด้วยดี เมื่อลูกเริ่มทานอาหารเสริมแล้ว ต่อมาเราถึงรู้ว่าหนูแพ้นมวัวอย่างรุนแรง (หลังจากที่เคยลองป้อนอาหารเสริมสำเร็จรูป และหนูอาเจียนไม่หยุด กับมีผื่นลมพิษขึ้นทั่วตัว) ลูกแพ้นมวัวรุนแรงถึงขนาดที่แค่สัมผัสโดนคราบนมที่แห้งแล้วก็มีลมพิษขึ้น ทันที (ส่วนเรื่องกินนมและผลิตภัณฑ์จากนมนั้นลืมไปได้เลย) แม่จึงต้องหลีกเลี่ยงนมและอาหารที่มีส่วนผสมของนมและผลิตภัณฑ์จากนมทุกชนิด ด้วย อะไรที่ลูกทานไม่ได้ แม่ก็ทานไม่ได้ด้วย ไม่งั้นจะเห็นผลทันทีในอีกไม่กี่ชั่วโมงต่อมาหลังจากที่หนูทานนมแม่ แม่รู้สึกดีใจและนึกขอบคุณที่เรา (พ่อกับแม่) ได้ความพยายามฝ่าฟันอุปสรรคให้นมแม่มาจนสำเร็จ ไม่อย่างนั้น คงต้องมีปัญหาอื่นๆ ตามมาอีกมาก
การ ให้นมลูกด้วยตนเองและเลี้ยงลูกเอง ทำให้แม่รู้จักอารมณ์ความรู้สึกของลูกเป็นอย่างดี ขณะเดียวกันก็คิดว่าลูกก็รับรู้ถึงความรู้สึกแม่ดีด้วย จำได้ว่าตอนที่จะหย่านมกลางคืนเมื่อหนูอายุได้ขวบกว่านั้น แม่บอกลูกก่อนล่วงหน้าสักสี่ห้าวัน พอถึงวันที่เริ่มหย่านมจริงๆ เมื่อถึงเที่ยงคืนที่หนูมักจะตื่นมาร้องกินนม หนูกลับแค่ร้องโยเยเบาๆ แต่ไม่มีคำว่า “แม่...กินนม” ออกจากปากหนูเลย หนูเป็นเด็กที่เข้มแข็งมาก แม่อุ้มหนู ร้องเพลงกล่อมจนหนูหลับไปในที่สุด ลูกตื่นร้องงอแงอยู่สัก 3-4 วัน ก็อดนมกลางคืนได้
จาก ความไม่มั่นใจที่ว่าจะไม่สามารถให้นมลูกได้ครบหกเดือน กลายเป็นความกังวลว่าลูกจะไม่ยอมเลิกดูดนมแม่ เพราะหนูอายุ 3 ขวบกว่าแล้ว แต่ยังติดนมแม่อยู่เหมือนเดิม (แม้จะกินแค่สองเวลาคือก่อนนอนกลางวัน กับก่อนนอนกลางคืน จนในที่สุดลดลงเหลือแค่มื้อก่อนนอนกลางคืนก็ตาม) พอแม่เปรยๆ เรื่องเลิกนม ลูกก็พูดด้วยความมั่นใจว่าหนูจะกินนมแม่ตลอดไป
ช่วง หลังๆ ลูกเริ่มบ่นอยากมีน้อง อยากให้น้องมาเกิด แล้วเลยคิดเอาเองว่าถ้ายังกินนมแม่ น้องก็จะไม่มีนมกิน กับหนูเริ่มรู้สึกสงสารแม่ เพราะนมแม่เหลือน้อยมากๆ จนเมื่อลูกดูดทีไร แม่ก็ร้องเจ็บทุกที มีอยู่วันหนึ่งลูกบอกกับแม่ว่า “หนูจะไม่ดูดนมแม่แล้ว จะเก็บไว้ให้น้อง น้องจะได้มาเกิด” แม่ยังเถียงว่าไม่จริงหรอก เดี๋ยวถึงเวลาหนูก็มาดูด แต่ลูกยังยืนยันคำเดิมว่า “หนูพูดจริงๆ หนูจะไม่ดูดแล้ว” คืนนั้นลูกไม่ดูดนมแม่จริงๆ แม่รู้ว่าลูกต้องหักห้ามใจอย่างมากแต่ก็ยังอดทน ลูกร้องไห้กระซิกและกระสับกระส่ายอยู่พักหนึ่งแล้วก็หลับไป ลูกทนอยู่เกือบอาทิตย์แล้วก็เลิกนมได้ จำได้ว่าเมื่อเลิกได้สักสามสี่วัน แม่ถามเรื่องนมแม่ ลูกตอบว่า “หนูคิดถึงนมแม่ตลอดเวลาเลย คิดถึงอยากกินมากๆ แต่หนูอดทนไม่กิน” คำตอบนี้ทำเอาแม่น้ำตาซึม
ลูก เลิกนมแม่เมื่ออายุได้ 3 ขวบ 7 เดือน ถึงตอนนี้ก็ผ่านมาเกินครึ่งปีแล้ว เวลานอนลูกจะต้องกอดแขนแม่ไว้ ไม่ได้ร้องกินนม แต่ก็เอ่ยถึงบ้างในบางโอกาส เช่นว่าถ้าน้องมาเกิดแล้ว หนูจะขอน้องชิมนมแม่บ้าง เมื่อคิดย้อนกลับไป แม่ยังรู้สึกเหมือนว่าเมื่อวานนี้เองที่ลูกยังเป็นทารกเล็กๆ ที่ร้องดูดนมแม่อยู่ตลอดเวลาโดยไม่ยอมให้แม่ขยับตัวไปทางไหนเลย และแม่ก็ให้นมไปด้วยความไม่มั่นใจในตัวเองว่าให้ถูกท่าหรือเปล่า ลูกดูดได้นมเต็มที่หรือเปล่า ลูกจะอิ่มไหม นมจะมีพอไหม ฯลฯ แต่วันเวลาก็ผ่านมาแล้วถึงวันนี้ และทิ้งไว้แต่ความทรงจำอันล้ำค่าที่หวนนึกเมื่อใดก็รู้สึกเต็มตื้นในหัวใจ เมื่อนั้น และมันคงเป็นประสบการณ์พิเศษสุดที่ไม่มีสิ่งใดมาทดแทนได้เลย
13 สิงหาคม 2552 08:55 น.
ลุงเอง
แม่ยอมเสียแขนเพื่อลูก...
เรื่องจริงจากโรงเรียนอัญสัมชัญ
แล้วจะกลั้นน้ำตาแทบไม่อยู่ ......
เรื่องนี้ต้องยกความดีความชอบให้กับ "มิสอุไรพร" ครูที่มีจิตวิทยาสูงในการสอนเด็ก
รักใดไหนเล่าเท่ารักแม่... วีรกรรมสุดยิ่งใหญ่ของแม่ที่ลูกทุกคนต้องอ่าน!
ตึกเซนต์หลุยส์มารี โรงเรียนอัสสัมชัญ แผนกประถม ราวกลางปี พ.ศ.2539
"มิสคะ ช่วงพักเที่ยงจะมีผู้ปกครองมารอพบสองท่านที่หน้าห้องรับรองค่ะ"
โทรศัพท์แจ้งจากห้องประชาสัมพันธ์ทำให้...
มิสอุไรพร นาคะเสถียร ครูสาวประจำระดับชั้น ป.4 รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
เพราะจำได้ว่ามีการโทรนัดหมายจะมาพบจากคุณแม่ท่านหนึ่งเพียงท่านเดียวในวันนี้
เอ...ใครล่ะนี่ จะมีเรื่องอะไรรึเปล่านะ
เมื่อมิสอุไรพรเดินมาถึงหน้าห้องประชาสัมพันธ์
ครูสาวก็แทบยกมือรับไหว้จากสุภาพสตรีทั้งสองท่านไม่ทัน
หากก็รู้สึกแปลกใจที่เห็นคุณแม่ท่านหนึ่งยกมือไหว้แต่เพียงแขนข้างเดียว
อย่างไรก็ตาม มิสได้เชิญคุณแม่ท่านแรก เข้าไปคุยก่อนตามลำดับการนัด
โดยเก็บงำความแปลกใจไว้
หลังจากคุยกับคุณแม่ท่านแรกเสร็จมิสจึงเชิญคุณแม่อีกท่านเข้ามาคุยในห้องรับรอง
ภาพแรกที่ได้เห็นชัดๆทำให้ครูสาวตกใจเล็กน้อย แขนซ้ายของคุณแม่เป็นแขนเทียม
คุณแม่มาปรึกษาเรื่องการเรียนของลูก เพราะไม่ได้มาในวันนัดพบผู้ปกครองประจำปี
"ลูกเขาไม่อยากให้มา เขาว่าเขาอายที่แม่ใส่แขนเทียม
กลัวโดนเพื่อนล้อแม่มาทีเพื่อนก็ล้อกันประจำว่าแม่แขนเดียว
แม่เป็นหุ่นยนต์เหรอ อะไรนี่น่ะค่ะ เลยไม่ได้มา"
น้ำเสียงของคุณแม่แฝงแววเอ็นดูมากกว่าที่จะโกรธหรือไม่พอใจ
มิสอุไรพรขออนุญาตซักถามเกี่ยวกับสาเหตุที่คุณแม่ต้องใส่แขนเทียม
เมื่อได้ทราบความจริงทั้งหมดครูสาวก็ตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะต้องจัดการ
เรื่องที่ลูกไม่ยอมรับและไม่เข้าใจแม่นี้โดยเร็ว หากปล่อยเรื่องนี้ไป...
ก็จะเป็นบาปอันหนักยิ่งติดตัวเด็กไปในภายหน้า ทั้งตัวลูกชายและคนที่ล้อเพื่อนด้วย
ช่วงเย็นวันนั้นมีชั่วโมงลูกเสือแต่ฝนตกหนัก
มิสอุไรพรจึงได้โอกาสนำเรื่องนี้มาเล่าให้นักเรียนฟังในห้องเรียน เรื่องราวที่ว่านั้น มีดังต่อไปนี้...
วันที่ 21 สิงหาคม พ.ศ.2536 หลังวันแม่เพียงไม่กี่วัน...
ครอบครัวหนึ่งได้เดินทางไปเที่ยวนากุ้งที่จังหวัดสตูล
ครอบครัวนี้ประกอบด้วยคุณพ่อ คุณแม่ และลูกชายอีกสามคน
พวกเขาเดินชมนากุ้งไปตามทางเดินซึ่งเป็นคันดิน
ท่ามกลางบรรยากาศสดชื่นของธรรมชาติ
โดยคุณพ่อเดินนำหน้ากับลูกชายคนโตสองคน
ส่วนคุณแม่เดินตามหลังมากับลูกชายคนเล็ก
ทางเดินที่เป็นคันดินนั้นมีการแบ่งเป็นท้องร่องเพื่อติดตั้งระหัดวิดน้ำ
ซึ่งมีใบพัดทำจากเหล็กสูงจากคันดินราว 25 ซม.
คุณพ่อและลูกคนโตสองคนก็ข้ามท้องร่องแล้วเดินนำต่อไปข้างหน้า
ไม่มีใครฉุกใจคิดระวังถึงเหตุร้าย
แต่แล้วลูกชายคนเล็กกลับก้าวพลาดล้มลงไปในท้องร่อง
ขากางเกงเข้าไปติดกับร่องของระหัดวิดน้ำที่กำลังหมุนอยู่
และฉุดขาของลูกทั้งสองข้างเข้าไปในใบพัดเหล็ก
"ถ้าเป็นพวกคุณ น้องตกลงไปอย่างนี้คุณจะทำอย่างไร"
มิสหยุดเรื่องไว้ก่อนเพื่อซักถาม มองหน้าเด็กนักเรียนทั้งห้องที่นั่งเงียบกริบ หน้าซีด
โดยเฉพาะ "ลูกชาย" ของคุณแม่ท่านนั้น
"ทุกคนตกตะลึงใช่มั้ย คิดไม่ทันใช่มั้ย
แต่นักเรียนรู้มั้ยว่าคุณแม่ท่านตัดสินใจทำอย่างไร"
คุณแม่ไม่ยอม เสียเวลาคิดอะไรเลย
ท่านรีบยึดดึงตัวลูกเอาไว้แล้วเอาแขนซ้ายที่ว่างอยู่เข้าไปขวางใบพัดเหล็กไว้ก่อน...
ใบพัดจึงหมุนเอาแขนของคุณแม่เข้าไป... คนงานที่เห็นเหตุการณ์รีบปิดเครื่องทันที
แต่แรงเฉื่อยทำให้ใบพัดยังหมุนต่อด้วยกำลังแรง...
แรงจนกระชากแขนซ้ายของคุณแม ่ขาดสะบั้นลง!
คุณแม่กรีดร้องด้วยความเจ็บปวดทรมานแสนสาหัสสติสัมปชัญญะดับวูบลงในทันที
ท้องร่องทั่วบริเวณแดงฉานไปด้วยเลือด... เลือดของแม่...
ใบพัดเหล็กยังหมุนต่อไปอีกเล็กน้อยและบดเอาขาทั้งสองข้างของลูกชายคนเล็ก
จนกระดูกหัก...แต่ไม่ขาด
ไม่ขาด...เพราะแขนซ้ายของแม่ขาดแทน...
ไม่ขาด...เพราะแม้จะไร้ซึ่งสติสัมปชัญญะ
มือขวาของคุณแม่ก็ยังยึดตัวลูกเอาไว้แน่น...ไม่ยอมปล่อย...
คุณพ่อและลูกคนโตทั้งสองคนหันกลับมามองตามเสียงตะโกนเอะอะโวยวายของคนงาน
พร้อมๆกับเสียงกรีดร้องของคุณแม่... ภาพที่เห็นทำให้พวกเขาช็อกจนแทบสิ้นสติ!
คุณพ่อกระโจนพรวดเดียวถึงตัวคุณแม่และลูกน้อย แต่...มันสายเกินไปแล้ว!
สิ่งเดียวที่ทำได้คือรีบพาสองแม่ลูกส่งโรงพยาบาลทันที
ผลของการรักษาคือคุณแม่ต้องใส่แขนเทียมแทนแขนซ้ายที่ขาดไป
ส่วนลูกคนเล็กที่ขาหักต้องอยู่โรงพยาบาลนานราวสามเดือนจึงสามารถเดินเหินได้เป็นปกติ
มิสอุไรพรกวาดสายตามองไปรอบๆห้องถามขึ้นอีกว่า
"นักเรียนคิดว่าคุณแม่ท่านนี้กล้าหาญมั้ยคะ?"
"กล้าหาญมาก" เด็กๆพากันตอบเป็นเสียงเดียวกันพลางพยักหน้า
หลายๆคนยังหน้าซีดเซียว เมื่อนึกภาพเหตุการณ์ไปตามที่ครูเล่า
มิสมองหน้า "ลูกชาย" ของคุณแม่แล้วบอกต่อว่า...
"นักเรียนทราบมั้ยว่าคุณแม่ท่านนี้เป็นคุณแม่ของเพื่อนเราในห้องนี้เองไหน
ใครเป็นลูกของคุณแม่ท่านนี้ยืนขึ้นให้เพื่อนเห็นหน่อยสิ"
เด็กนักเรียนคนนั้นยืนขึ้น ท่ามกลางเสียงปรบมือของเพื่อนทั้งห้อง
"วันนี้เมื่อคุณกลับไปบ้านมิสฝากเรียนคุณแม่ด้วยว่า
พวกเราชื่นชมและยกย่องท่านมากจริงมั้ยพวกเรา"
"จริงครับๆ ใช่ครับๆ" เสียงเล็กๆตอบมาเป็นทางเดียวกัน
"มิสได้ทราบมาว่ามีหลายๆคนไปล้อเลียนเพื่อน
ไหนคนไหนบ้างคะที่เคยล้อคุณแม่เขา ถ้ามีเราเป็นลูกผู้ชายต้องกล้ารับค่ะ"
มีนักเรียน 3-4 คนยืนขึ้น สีหน้าของแต่ละคนซีดเซียวอย่างสำนึกผิด
มิสอุไรพรมองหน้าของเด็กกลุ่มนี้อย่างอ่อนโยน ถามว่า...
"ดีมากนักเรียน ตอนนี้คุณคงอยากพูดอะไรกับเพื่อนใช่มั้ยคะ"
เด็กชายกลุ่มนั้นเดินเข้าไปโอบกอดคอแล้ว กล่าวขอโทษเพื่อนด้วยความจริงใจ
ครูสาวน้ำตาคลอ ยืนมองภาพนั้นด้วยความปลาบปลื้มยินดีหนักใจอยู่เหมือนกันว่า
หากถามขึ้นมาแล้วไม่มีใครยอมรับว่าเคยล้อเพื่อน...จะทำอย่างไร?
เธอไม่เคยผิดหวังในตัวนักเรียนอัสสัมชัญและจนถึงเวลานี้ก็ยังคงไม่ผิดหวัง
ใครเล่า...จะเข้าใจความเจ็บช้ำขมขื่นในหัวใจเล็กๆของเด็กชายคนหนึ่ง
ที่ถูกเพื่อนล้อเลียนประสาเด็กโดยไม่ทันคิด
หากบัดนี้...ความรักของแม่และน้ำใจของเพื่อนได้สลายปมด้อยในใจ
ของเด็กคนนี้ลงจนสิ้นแล้ว เหลือเพียงความรักและภาคภูมิใจในตัวคุณแม่เท่านั้น
เมื่อหมดชั่วโมงเรียน มิสอุไรพรได้เรียกตัว "ลูกชาย" เข้าไปคุยอีกครั้ง
"วันนี้เรามีอะไรในใจที่คิดว่าควรพูดกับคุณแม่มั้ยคะ"
เด็กคนนั้นนิ่งคิดไปชั่วครู่ก่อนจะตอบเสียงสั่นปนสะอื้นไห้ว่า
"ผม...ผมจะไปขอโทษคุณแม่แล้ว...แล้วบอกคุณแม่ว่า ผมรักคุณแม่ที่สุดในโลกเลยครับ"
รู้มั้ยน้ำนมหยดหนึ่งซึ่งไหลมาต้องใช้น้ำตาหยาดเหงื่อสักเท่าไหร่
บอกแม่เถอะนะ บอกทุกวัน ว่ารักท่านมากมาย
กอดแม่เถอะนะ ให้คุ้นเคย กอดเลยไม่ต้องอาย
ก่อนไม่มีแม่ให้กอด...
โดยคุณ blueberrycake อา.3 ก.พ.2008 17:49
9 สิงหาคม 2552 12:58 น.
ลุงเอง
แม่เบ็ดเสร็จ 27 แม่
@ แม่ ของลูก เรียกว่า แม่บังเกิดเกล้า
@ แม่ ของขี้เมา เรียกว่า แม่โขง
@ แม่ ของชาวพระโขนง เรียกว่า แม่นาก
@ แม่ ของชายที่รัก เรียกว่า แม่ทูนหัว
@ แม่ ของคุณตัว เรียกว่า แม่เล้า
@ แม่ ของทหารเรา เรียกว่า แม่ทัพ
@ แม่ ชอบทำกับข้าว เรียกว่า แม่ครัว
@ แม่ ชอบก่อสร้างทั่วไป เรียกว่า แม่แบบ
@ แม่ ด่าเจ็บแสบ เรียกว่า แม่ค้า
@ แม่ สอนให้ศึกษา เรียกว่า แม่พิมพ์
@ แม่ เลี้ยงเราจนอิ่ม เรียกว่า แม่โพสพ
@ แม่ น็อกศอกเข่าสลบ เรียกว่า แม่ไม้มวยไทย
@ แม่ ทำเซอร์ไพรส์ เรียกว่า แม่เจ้าโว้ย
@ แม่ ของนักเล่นแชร์ เรียกว่า แม่ชม้อย
@ แม่ หาคู่ให้คนบ่อย เรียกว่า แม่สื่อแม่ชัก
@ แม่ ช่วยลิเกเป็นหลัก เรียกว่า แม่ยก
@ แม่ ของหญิงสามีตายตก เรียกว่า แม่ม่าย
@ แม่ มีพลังดึงดูดมากมาย เรียกว่า แม่เหล็ก
@ แม่ ของเรือเล็กใหญ่ เรียกว่า แม่ย่านาง
@ แม่ ของหญิงตัวอย่าง เรียกว่า แม่ศรีเรือน
@ แม่ หมอดีผีสะเทือน เรียกว่า แม่มด
@ แม่ รับน้ำหนักได้ร้อยแปด เรียกว่า แม่พระธรณี
@ แม่ จัดงานแล้วชอบชี้ เรียกว่า แม่ งาน
@ แม่ไหลท่วมบ้าน เรียกว่า แม่น้ำ
@ แม่ ทิ้งลูกให้ระกำ เรียกว่า แม่ของดาวพระศุกร์
7 สิงหาคม 2552 09:43 น.
ลุงเอง
เช้าวันหนึ่ง..ที่โรงพยาบาล...
'ขอให้ชั้นดูหน้าลูกหน่อย..ได้มั๊ยคะ'
คุณแม่คนใหม่เอ่ยขึ้น..
เมื่อห่อผ้าน้อย ๆ .....................อยู่ในอ้อมกอดเธอ เธอค่อย ๆ คลี่ผ้าที่ห่อออก..
เพื่อมองใบหน้าเล็ก ๆ .....................
กรี๊ดดดด.....เธอกรีดร้อง
หมอต้องอุ้มเด็ก..ออกไปอย่างรวดเร็ว
**เด็กทารกที่เกิดมา...ไม่มีใบหู**
และแล้ว....กาลเวลาพิสูจน์ว่า.... การได้ยินของเจ้าหนู..ไม่มีปัญหา
ปัญหา..มีเฉพาะสิ่งที่มองเห็นภายนอก คือ....ใบหูที่หายไป
หลายครั้ง..ที่เจ้าหนูกลับจากโรงเรียน แล้ววิ่งมาบอกแม่
เธอรู้ว่า..หัวใจลูกปวดร้าวแค่ไหน...
เจ้าหนูพูดโพล่งออกมา..อย่างน่าเศร้า
'พวกเด็กตัวโต ..พวกมันล้อผมว่า
..--ไอ้ตัวประหลาด--'
จนกระทั่ง...................... เจ้าหนูเติบโตขึ้น..หล่อเหลา.. เป็นที่รักของเพื่อน ๆ..
เค้ามีพรสวรรค์ ในด้านอักษรศาสตร์.. วรรณคดี..และดนตรี..
เค้าอาจได้เป็นหัวหน้าชั้น
...
แต่เพราะเจ้าสิ่งนั้น... ทำให้เค้า..ไม่อยากเจอใคร
'ลูกต้องพบปะกับผู้คนบ้างนะลูก' แม่กล่าว..ด้วยความสงสารลูก
พ่อของเด็กชาย.. ปรึกษากับหมอประจำครอบครัว
และได้รับข่าวดีจากหมอว่า...
'ผมสามารถปลูกถ่ายใบหูได้ครับ ถ้ามีผู้บริจาค..แต่ใครล่ะ..
จะเสียสละใบหู..เพื่อเด็กน้อยคนนี้' คุณหมอกล่าว
จนกระทั่ง ......................2 ปีผ่านไป พ่อบอกกับลูกชาย..
'ลูกเตรียมตัวไปโรงพยาบาลนะ พ่อกับแม่..หาคนบริจาคใบหู
ที่ลูกต้องการได้แล้ว...
แต่นี่เป็นความลับ'
การผ่าตัด..สำเร็จด้วยดี และแล้ว...คนคนใหม่ก็เกิดขึ้น..
....เค้ากลายเป็น..ผู้มีพรสวรรค์...
เป็นอัจฉริยะในโรงเรียน...ในวิทยาลัย
จนเป็นที่กล่าวขานกัน..รุ่นต่อรุ่น
ต่อมาได้แต่งงาน... และทำงาน.. เป็นข้าราชการในสถานทูต
วันหนึ่ง.. ชายหนุ่มถามผู้เป็นพ่อว่า.
'พ่อครับ.. ใครเป็นคนมอบใบหูให้ผมมา ใครช่างให้ผมได้มากมาย..
แต่ผมไม่เคยทำอะไร.. เพื่อเค้าได้เลยสักนิด'
'พ่อไม่เชื่อว่า.. ลูกจะตอบแทนเค้าได้หมดหรอก..
เรื่องนี้.....................เป็นความลับ เราตกลงกันแล้ว'
พ่อตอบ..
หลายปีผ่านไป....
มันยังคงเป็นความลับ
และแล้ว..วันนึง..วันที่มืดมิดที่สุด.. ผ่านเข้ามา..ในชีวิตของลูกชาย
แม่เค้าได้เสียชีวิตลง.
เค้ายืนข้าง ๆ พ่อ... ใกล้หีบศพของแม่
พ่อเรียกเค้า..
'มานี่สิลูก..มานั่งใกล้ ๆ นี่'
พ่อลูบผมแม่อย่างช้า ๆ..และนุ่มนวล
ผมสีน้ำตาลแดง..ถูกเสยขึ้น จนมองเห็นใบหน้า..
ที่มองดูเหมือนคนนอนหลับ
...และแล้ว.. สิ่งที่ทำให้ลูกชาย..ถึงกับต้องตะลึง..
...ใบหูของแม่...หายไป!..
แม่ไม่มีใบหู...
'นี่เป็นคำตอบ.. ที่ลูกอยากรู้มาตลอดชีวิต'...
พ่อกระซิบผ่านลูกชาย
'แม่บอกพ่อว่า..เธอดีใจ...................... ที่ได้ทำอย่างนี้..ตั้งแต่วันผ่าตัด..
แม่ไม่เคยตัดผมอีกเลย..
ไม่มีใคร..มองเห็นว่า.. เธอไม่สวยจริงมั๊ย?
- - - - - - - - - - - - - -
- - - - - - - -
จงจำไว้..
~สิ่งมีค่า.....................ที่แท้จริง~
ไม่ได้อยู่ที่..การมองเห็น.. หากแต่อยู่ที่..
~สิ่งที่เรา..มองไม่เห็น~
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
~ความรัก..ที่แท้จริง~
ไม่ได้อยู่ที่.. เราได้ทำอะไร.. แล้วมีคน..รับรู้..
หากแต่อยู่ที่.. สิ่งที่เรา..กระทำ..แล้วไม่มีใคร..รับรู้ ..
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
~ความรัก~
บางครั้ง.. ไม่จำเป็น.. ต้องพูดพร่ำเพรื่อ..
หากแต่อยู่ที่....การกระทำ.. ซึ่งเรา..อาจรับรู้..
เพียงแค่..ฝ่ายเดียว..
หมวดหมู่: ข้อคิดชีวิต ปรัชญา ศาสนา