7 สิงหาคม 2552 09:13 น.

แม่คือผู้ให้

ลุงเอง

แม่คือผู้ให้ตลอดกาล  แม่ให้ทุกสิ่งทุกอย่างกับเรา  แม่ให้ทั้งความสุข  ความอบอุ่น  ความห่วงใย  ทุกสิ่งที่แม่ให้เรามาคือความรักจากใจแม่ 

    เวลาเราไม่สบาย  แม่จะคอยห่วงใย  ดูแลเอาใจใส่เรา  เวลาที่เราร้องไห้ แม่ก็จะคอยปลอบใจและเช็ดน้ำตาให้เรา  บางเวลาที่เราไม่สบายใจหรือท้อแท้  แม่จะคอยให้คำปรึกษาและเป็นกำลังใจให้เราเสมอ  ไม่ว่าเราจะทำอะไรแม่จะอยู่เคียงข้างเราเสมอ  ในบางครั้งเราซนหรือดื้อ  แม่ก็จะดุว่าเรา  แต่เราจะไม่ชอบที่แม่ดุว่า  และเราจะโกรธแม่  แต่ที่แม่ดุว่าเรานั้น  คือความรักของแม่  แม่อยากให้เราเป็นคนดี  บางเวลาที่เราทำให้แม่เสียใจ  ไม่ว่าอย่างไร  แม่ก็ให้อภัยเราเสมอ  คำพูดของแม่  ทำให้เรามีกำลังใจเสมอ  ทำให้เราสามารถชนะอุปสรรคต่างๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเรา

   คำว่าแม่สำหรับลูกๆแล้วมันก็เหมือนกับคำพูดธรรมดาที่ลูกๆ    ทุกคนมีและเรียกหาได้  แต่จะมีสักกี่คนที่จะเข้าใจความหมายของคำว่าแม่อย่างแท้จริง  เพราะฉะนั้นตอนนี้เวลานี้เมื่อเรายังมีแม่อยู่ข้างๆกายเรา  เราก็ควรดูแลและเอาใจใส่ท่านให้มากๆ  เพราะต่อให้เราตายแล้วเกิดใหม่ก็ไม่มีวันทดแทนพระคุณของท่านได้หมดเลย  วันนี้เรากอดแม่หรือบอกรักแม่หรือยังถ้ายังก็รีบทำซะเนาะ

.......คัดลอกมาเห็นว่ามีความหมายดี...... มอบแด่ลูกทุกคน.....				
5 สิงหาคม 2552 10:08 น.

ขวานทองเล่มสุดท้าย

ลุงเอง

แผ่นดินผืนสุดท้าย

  เราจะถอยไปไหนไม่ได้แล้ว           เหลือเพียงแนวสุดท้ายปลายที่มั่น

ขวานเล่มนิดฤทธิ์ฉกาจเคยฟาดฟัน       ระบือลั่นว่าไทยรักสามัคคี

เขมรยับ  เวียดนามเยินเกินจะยั่ง       ลาวก็พังไปแล้วใช่มั้ยนี่

หากคนไทยประมาทชาติไพรี            พบกันที่กลางสมุทรสุดแผ่นดิน………… 

     ประเทศไทยจะดำรงคงอยู่ได้  เพราะในอดีตชาติไทยมีคนเก่ง  หากคนไทยสิ้นเหี้ยมเหลี่ยมนักเลง  จะร้องเพลงชาติไทยให้ใครฟัง

     สิบนิ้วน้อมคำนับลงกราบกราน  ท่านพี่น้องน้องชาวไทยที่รักสมัครหมาย  ทั่วทุกถิ่นขวานทองพี่น้องไทย จงร่วมใจสมานสมัครสามัคคี     ถึงเวลาแล้วเราชาวพุทธศาสน์ เป็นทายาทสืบสายในกรุงศรี  เราคนไทยใจกล้าทั่วธานี  มาสามัคคีหันหน้าเข้าหากัน

     องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  ทรงลงหลักปักรั้วทั่วถิ่นฐาน  พระองค์ทรงเกรียงไกรกล้าปรีชาชาญ    ตั้งปฏิฐานปกป้องเทอดผองไทย

     พระบารมีปกเกล้าเราทั้งชาติ   ประวัติศาสตร์ต้องจารึกผนึกไว้  สามัคคีอันล้ำเลิศเกิดจากใคร  แม้มิใช้ทรงพระคุณกรุณา

     อันขวานทองเล่มสุดท้ายที่ไทยหวัง  สิบสี่ครั้งรอดมาได้เพราะไทยรักษา  เอาชีวิตแลกไว้จึงได้มา  เป็นผืนสุธาของท่านลูกหลานไทย

     เสียครั้งแรก เกาะหมากจากแผนผัง  เขาเปลี่ยนชื่อมาเป็นปีนังจำได้มั้ย  นั้นแหละบิ่น จากขวานทองเล่มของไทย  สามร้อยกว่าตารางไมล์หลักฐานมี

     ครั้งที่สอง เสียซ้ำยังจำได้  เสียมะริดแหละทวายตะนาวศรี  สองพันสามร้อยสามสิบหกโชดไม่ดี  เสียเนื้อที่สามหมื่นกว่าตารางไมล์

     ครั้งที่สาม บันพรายมาศถูกตัดเหี้ยม  เขาเปลี่ยนชื่อมาเป็นฮาเตี้ยนตั้งชื่อใหม่   สองพันสามร้อยห้าสิบสามแสนซ้ำใจ เสียเนื้อที่เท่าไหร่ไม่ปรากฏในบทความ

     ครั้งที่สี่เจ็บ แค้นเสียแสนหวี  กินเนื้อที่ถึงเชียงตุงกรุงสยาม  ตั้งเก้าหมื่นตารางกิโลโอ้มันทำ  คนสร้างกรรมบัดเดี๋ยวนี้ก็ดีกัน

     ครั้งที่ห้า เสียรัฐเปรัด  ถูกเขาผลักหกล้มเฉือนคนขวาน  สองพันสามร้อยหกสิบเก้าแสนร้าวราน  ต่างหยิบขวานขึ้นมาถือดูชื่อไทย

     ครั้งที่หก อกตรมเดินก้มหน้า  เสียสิบสองพันนาน้ำตาไหล  ตั้งหกหมื่นตารางกิโล  โอ้โอ๋ไทย  แถบขาดใจต่อสู้ศัตรูมา

     ครั้งที่เจ็ด เสียแคว้นดินแดนเขมร   เกิดพิเรนเพราะฝรั่งกำลังบ้า  เที่ยวออกล่าเมืองขึ้นชื่นอุรา   เสียอีกหนึ่งแสนกว่าตารางกิโล

     ครั้งที่แปด เสียแคว้นดินแดนใหม่  ชื่อสิบสองจุไทยก็ใหญ่โข  แปดหมื่นกว่าที่กว้างตารางกิโล  แทบร้องโฮใจระเหี้ยเพราะเสียดาย

    ครั้งที่เก้า เศร้าแสนแคว้นไม่สิ้น  เสียลุ่มแม่น้ำสาละวินด้านฝั่งซ้าย  สิบสามหัวเมืองต้องเหมาให้เขาไป ใครที่ทำซ้ำใจไทยต้องจำ

    ครั้งที่สิบ  เลี่ยนล้ำแม่น้ำโขง  ถูกเขาโกงฝั่งซ้ายไทยถลำ

    ครั้งสิบเอ็ด  เสียฝั่งขวานั่งหน้าดำ  มันเจ็บจำฝังจำอยู่กลางใจ

    ครั้งสิบสอง  ใจรัดทดแทบหมดท่า  เสียมณฑลบูรพาอีกจนได้  เขาพรากไปจากแหลมทองถิ่นของไทย  สามหมื่นกว่าตารางไมล์โดยประมาณ

    ครั้งสิบสาม  ตรังกานูไทรบุรี  ในแผนที่มองเห็นเป็นหลักฐาน  ไปถึงปริดติดรัฐกะลันตัน  อีกห้าหมื่นโดยประมาณตารางไมล์

    ครั้งสิบสี่ เสียเขาพระวิหาร  ปัจจุบันให้เขมรท่านเห็นไหม  จำไว้เถิดเลือดเนื้อเชื้อชาติไทย  จงหันใจเข้ารวบรวมพลัง

          เหมือนลงเรือลำเดียวน้ำเชียวจัด  มาช่วยกันคัดช่วยกันพรายให้ถึงฝั่ง  จะหันหลังหันหน้าพว้าพวัง  คนนั่งกลางอย่าเท้าลาลงวาริน  เป็นขวานทองเล่มสุดท้ายที่ไทยหวัง  ทะเลล้อมรอบข้างหมดทางหนี  ครั้งสิบห้า ต่อไปต้องไม่มี  ใครกดขี่ข่มขู่ขอ…….สู้ตาย

..............แล้วคุณละคิดอย่างไร ??????...........				
4 สิงหาคม 2552 10:15 น.

ลำนำชีวิต ชีวิต คือ?

ลุงเอง

ลำนำชีวิต ชีวิต คือ? 

1...ชีวิต..คือ..การเติบโต
ลองย้อนกลับไปเป็นเด็กๆน้อยที่ยังไม่รู้เรื่องราวว่าโลกเรามันก้างขนาดไหนดูสิ?
ลองตอบคำถามสิว่า...เราโตมาได้อย่างไรแล้วเอาอะไรติดตัวติดหัวใจมาด้วย
"บางคนโตมากับความรักของคนรอบข้างแต่กลับไม่รักคนรอบข้างเลย"
"บางคนโตมากับความร่ำรวยรวยแต่ไม่เคยที่คิดที่จะแบ่งปัน"
"หรือบางคนโตมากับความรุ่งเรื่องทางวัตถุจนเลยเถิดไปกับค่านิยมที่ฟุ้งเฟ้อแล้วกลายเป็นดูถูกดูแคลนความเชื่อโบราณของคนเฒ่าคนแก่"

ดังนั้นคิดกับตัวเองดูสิครับว่า.........ทุกวันที่คุณดำเนินชีวิตคุณเก็บเกี่ยวอะไรได้บ้างแล้วแบ่งปันอะไรให้กับคนรอบข้างบ้าง?..

2..ชีวิตคือ..สิ่งทีผันผ่าน ผ่านคืนวัน
....เมื่อวานคุณสามารถจำอะไรได้บ้าง...
....สิ่งที่ทำตั้งแต่เมื่อวานมันมีผลอะไรกับเราบ้างในวันนี้...

พูดง่ายๆว่าเมื่อวานคุณมีคุณค่า...วันนี้คุณย่อมมีคุณค่ามากกว่าเมื่อวาน
ถ้าเมื่อวานคุณแย่....มันก็ไม่แน่ว่าวันนี้คุณจะต้องแย่เหมือนเมื่อวาน..

คิดดูอีกที.......เค้าถึงว่ากันว่า....จงทำวันนี้ให้ดีที่สุดไม่ว่าเมื่อวานมันจะดีจะ
ร้ายอย่างไร..


...........ขอขอบคุณเจ้าของบทความนี้ ไว้ ณ โอกาสนี้


วันนี้จะต้องดีที่สุดเพราะวันนี้เราคือเป็บซี่...(เพราะว่าเรา..ดีที่สุด)

3...ชีวิตคือ...การเรียนรู้

.......ย้อนไปเมื่อตอนสมัยที่คุณเป็นนักเรียนชั้นประถม(ไม่ว่าจะที่บ้านนอกหรือบ้านใน)
คุณทราบหรือไม่ว่า.พ่อแม่ดูแลพร่ำสอนคุณอย่างไร ..คุณครูสอนอะไรไปทำไม...วันนี้คุณได้ใช้วิชาเหล่านั้นหรือยัง
ใครเป็นผู้มีพระคุณกับคุณ....ถามตัวเองดูสิว่า....ใช่คุณครูหรือไม่

ดังนั้นสิ่งที่ผมอยากจะบอกนั่นก็คือ.....
....การเรียนรู้นั้นสามารถหาได้ทุกที่ หาความรู้ไปเถิด
วันนี้เพราะความรู้ของคุณทำให้คุณได้ดี คุณอาจได้เป็นวิศวกร หมอ  หรือแม้แต่เป็นนายกที่เก่งกาจกล้าหาญ
แต่อย่าลืมสิว่า..........คนเบื้องหลังที่ทำให้คุณมีวันนี้ได้ก็เพราะ.....ผู้มีพระคุณที่เคยสอนสั่งคุณนั่นเอง

...แค่อยากบอกว่า...........บุญคุณนั้นต้องทดแทน.....

4...ชีวิต...ต้องการที่พึ่งทางใจ

.....วันใดที่คุณปวดเมื่อยตัว เหนื่อยล้าจากการทำงานหนัก คุณสามารถล้มตัวลงนอนที่ไหนก็ได้ถ้าไม่แคร์สายตาประชาชน
..... แต่ถ้าวันใดที่ใจคุณอ่อนแอ...คิดร้าย...คิดเชิงลบเมื่อไรแล้วล่ะก็...คุณจะ ไม่มีที่ที่ให้พักผ่อนนอกจากคุณจะปล่อยใจแล้วให้ใจคุณพักเอง


5...ชีวิต คือ การดิ้นรน...เพื่อปากท้อง

.....หากวันนี้ท้องคุณหิวคุณจะทำยังไง?
.....ถ้าคุณไม่มีเงินแล้วหิวคุณจะทำยังไง?

คุณต่อสู้มาหนักขนาดไหนสามารถเทียบได้กับใครหรือเปล่า
วันที่คุณดิ้นรนจนสายเอ็นแทบขาด...เหนื่อยแทบตาย..แล้วยังมีใครไหมที่ดิ้นรนมากกว่าคุณ เหนื่อยจนตายไปก่อนคุณ

"จงคิดไว้เสมอว่าโลกนี้ไม่มีอะไรฟรีๆ  สิ่งที่ได้มานั้น...ได้มาจากการพึ่งพาตัวเองเท่านั้น"


..6..ชีวิต...เมื่อโรยรา

......ในฐานะที่ท่านๆเป็นผู้ถ่ายภาพท่านหนึ่งเหมือนๆกัน
สังเกตไหมว่ารอยตีนกามันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ..นั่นไงที่ประสบการณ์เราสั่งสมมามาก รู้เท่าทันโลกมากยิ่งขึ้น
มองดูคนแก่เฒ่า...คิดไปว่าเมื่อก่อนคนแก่เหล่านี้เป็นยังไงบ้างหนอ..วิ่งเร็วเท่าเราไหม..เก่งกว่าเราไหม

ใช่...ถ้าเราอยู่ในยุคนั้นเราอาจจะด้วยกว่าหรือแย่กว่าท่านเหล่านั้นที่เคยผ่านชีวิตมาก่อน
วันนี้...คนเหล่านี้ล่ะที่เคยอุ้มชูเรา..สร้างนวัตกรรมเทคโนโลยีเพื่อให้เราได้สะดวกสบายจนถึงทุกวันนี้

***แล้วเราล่ะ..สามารถสร้างอะไรให้ท่านเหล่านั้นได้บ้าง...ถ้าคิดได้แล้วก็...ไปทำซะ***


7...พอมาถึงตอนนี้แล้ว...เราเริ่มชักแก่...วันที่เหลืออยู่มีอีกเท่าไร

สามารถคิดได้ไหมว่า...เวลาที่เหลืออ่ยู่เราจะสามารถสร้างสรรค์อะไรให้กับโลกบ้าง.....?
เป็นคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบ...ต้องการเพียงว่าทำได้หรือไม่ได้ทำเท่านั้น!

8...และแล้ววันนั้นก็มาถึง.......
ความไม่แน่นอนของชีวิตอะไรก็เกิดขึ้นได้
วันนี้คุณกำลังเติบโต มีหน้าที่การงานดี มีลูกเล็กที่กำลังน่ารัก มีพ่อแม่ที่คุณยังต้องตอบแทนบุญคุณ
ถามว่า....คุณอยากมีช่วงเวลาชีวิตที่มีความสุขไปนานๆหรือไม่?
ถ้าตอบว่าใช่......คุณต้องทำยังไง


......คุณต้องไม่ประมาทในเรื่องต่างๆที่อาจจะทำลายชีวิตคุณรวมถึงคนที่อยู่เบื้องหลังคุณ.....

.............และภาพนี้..เป็นต้นเหตุที่ทำให้ผมคิดว่า.................ชีวิตคืออะไร?
              (ขอให้ดวงวิญญานบุคคลบนเตียงนอนในภาพนี้ไปสู่สุขคติด้วยเถิด)


9...และสุดท้าย....
อย่าลืมว่า........มีคนหนึ่งซึ่งมีชีวิตและคุณค่าเหมือนกับเราอยู่ด้วยกันบนโลกใบนี้
แต่ผู้คนที่พิการเหล่านั้นนั้นไม่สามารถเลือกเกิดมาโชคดีอย่างคุณได้....จงแลดูเขา
อย่าทอดทิ้งเขา......เพราะเขาเหล่านั้นมีเลือดสีแดงข้นเหมือนกับคุณ				
4 สิงหาคม 2552 10:00 น.

ลำนำชีวิตของทุกคน

ลุงเอง

บทความ  -    อายุวัฒนะ
วันจันทร์ที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๑ เวลา ๑๐:๕๑ น.
            กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ยังมีต้นหว้าใหญ่ต้นหนึ่ง มีกิ่งก้านแผ่กว้างใหญ่ ร่มรื่น ถึงฤดูกาลมีลูกดกใหญ่หวานหอม เด็กน้อยคนหนึ่งชอบมาเล่นที่ต้นหว้านี้  ปีนเล่นตามกิ่ง เวลาหิวก็เก็บลูกหว้ากิน เวลาง่วงก็นอนเล่นใต้ร่มหว้านั้น เด็กน้อยรักต้นหว้ามาก ต้นหว้าก็รักเด็กน้อยมาก

            ต่อ มาเด็กน้อยไปเรียนหนังสือที่โรงเรียนจึงห่างเหินต้นหว้า ต้นหว้าซึมเศร้าเพราะคิดถึงเด็กน้อยมาก วันหนึ่งเด็กน้อยมาที่ต้นหว้าๆ ดีใจมาก
            “เจ้าหนูมาวิ่งเล่น ปีนเล่น  นอนเล่น  เหมือนก่อนนะ” 

           เด็กน้อยตอบด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อยว่า “ฉันไม่มีอารมณ์จะเล่นหรอก  ฉันโตแล้ว  ฉันอยากได้ตุ๊กตา แต่ไม่มีเงินซื้อ  ช่วยฉันได้ไหม” 

           “ฉันไม่มีเงินหรอกเจ้าหนู แต่ฉันจะช่วยเธอ จงเก็บลูกหว้าจากต้นฉันทั้งหมดเอาไปขายแล้วเอาเงินไปซื้อตุ๊กตา” 
           เด็กน้อยดีใจมาก รีบเก็บลูกหว้าอย่างมีความสุข ต้นหว้าเห็นเด็กน้อยมีความสุขก็มีความสุขมาก
            เด็กน้อยหายไปอีกหลายปี  ต้นหว้ารอคอยด้วยความเงียบเหงา เศร้าซึม อยู่มาต้นหว้าก็ตื่นเต้นดีใจมากที่เด็กน้อยมาหา  แต่คราวนี้เขาโตเป็นหนุ่มแล้ว
           “มาวิ่งเล่น  ปีนเล่น  นั่งเล่น ซีเจ้าหนู” ต้นหว้าระล่ำระลักด้วยความดีใจ
            “ฉันเป็นผู้ใหญ่แล้ว  ไม่มีใจคิดจะเล่นอีกแล้ว  ฉันมีครอบครัวแล้วและกำลังปลูกบ้าน  แต่มีไม้ไม่พอ  ช่วยฉันหน่อยได้ไหม” เด็กน้อยกล่าว
            “ฉันไม่มีเงินหรอก แต่เอาเถิดฉันจะช่วยเธอ จงตัดเอากิ่งก้านทั้งหมดของฉันไปใช้” เด็กน้อยได้ฟังก็ดีใจ รีบตัดกิ่งก้านทั้งหมดเอาไปทำบ้าน ยางต้นหว้าสีแดงตามลำต้นที่ถูกตัดกิ่งก้านออกค่อย ๆ ไหลซึมด้วยความดีใจที่เห็นเด็กน้อยมีความสุข

            ต้นหว้ารอคอยเด็กน้อยด้วยความเศร้าซึมอีกหลายปีต่อมา และแล้ววันหนึ่ง  ต้นหว้าก็ดีใจตื่นเต้นอีกครั้งหนึ่งที่เด็กน้อยกลับมาเยี่ยม “มาเล่นกับฉันซี หลายปีมานี้ฉันเหงาและคิดถึงเธอเหลือเกิน” ต้นหว้ากล่าวขึ้น

            “ฉัน เล่นไม่ได้หรอก ฉันเป็นผู้ใหญ่จนผมสีขาวเริ่มแซมประปรายแล้ว ลูกของฉันก็เติบโตแล้ว ฉันไม่ต้องการอะไรอีกเพราะต้องการพักผ่อน ฉันอยากได้เรือสักลำหนึ่งสำหรับท่องเที่ยวไปในที่ต่าง ๆ แต่ฉันไม่มีเงินพอที่จะซื้อเรือ  พอจะช่วยได้ไหม” เด็กน้อยซึ่งวันนี้ผ่านวัยกลางคนไปแล้วกล่าวขึ้น

            “ฉัน ไม่มีดอกผล ไม่มีกิ่งใบที่จะให้เธอไปขายเปลี่ยนเป็นเงินอีกแล้ว เอาอย่างนี้เธอจงตัดลำต้นของฉันเอาไปทำเป็นเรือตามที่เธอต้องการเถิด” ต้นหว้าตอบเด็กน้อยดีใจมากที่ได้เรือตามต้องการ  ต้นหว้าก็มีความสุขใจที่เห็นเด็กน้อยมีความสุข ในขณะที่ยางหว้าสีแดงและขาวขุ่นๆ ไหลซึมที่ตอ

            หลาย ปีต่อมาเด็กน้อยซึ่งวันนี้แก่หง่อมได้มาที่ตอต้นหว้าอีกครั้งหนึ่ง ตอต้นหว้าดีใจมาก แต่กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อยและอ่อนล้าว่า “ฉันไม่มีผลให้เธอกิน ไม่มีกิ่งให้เธอปีนป่าย ไม่มีร่มเงาให้เธอบังแดด ไม่มีประโยชน์สำหรับเธออีกแล้ว  ฉันเสียใจจริงๆ”

            เด็กน้อยตอบว่า “ฉันเองก็แก่แล้ว ไม่มีฟันที่กินลูกหว้า ไม่มีแรงที่จะปีนป่ายหรือท่องเที่ยวไปที่ไหนอีก ฉันไม่ต้องการอะไรอีกแล้วนอกจาการนอนพักผ่อน”

            “ถ้าอย่างนั้นรากที่เหลือจากการเปื่อยผุของฉันพอมีอยู่และใช้แทนหมอนให้เธอหนุนนอนพักผ่อนได้” ต้นหว้าตอบด้วยเสียงที่อ่อนล้า

            ท่าน ผู้อ่านที่เคารพ พฤติกรรมของเด็กน้อยคนนี้คือพฤติกรรมของพวกเราทุกคนที่ปฏิบัติต่อพ่อแม่ของ เรา ถึงเวลาแล้วหรือยังที่พวกเราควรทบทวนการปฏิบัติต่อพ่อแม่แล้วมอบความอบอุ่น ความใกล้ชิดและปรนนิบัติท่านด้วยความกตัญญู

           ท่าน ผู้อ่านที่เคารพ เรื่องสั้นเรื่องนี้ไม่รู้ใครเป็นคนเขียน แต่มีอยู่ใน website เป็นภาษาอังกฤษ ลูกสาวผมไปพบเข้าจึงพิมพ์มาให้ดู อ่านให้ฟังแล้วจูบแก้มผมด้วยความรักครั้งหนึ่ง ผมก็พลอยตื้นตันไปด้วย เอามาอ่านดูเห็นเป็นสำนวนของฝรั่งจึงถอดความเสียใหม่ให้สอดคล้องกับความ รู้สึกแบบไทย ๆ ดังที่ได้นำมาลงให้ได้อ่านกันนี่แหละครับ

           ผมทราบว่ามีผู้เอาเรื่องสั้นนี้มาแปลเป็นภาษาไทยก่อนแล้ว และใช้เป็นแบบประกอบการเรียน แต่ไปสรุปเป็นเรื่องของความเห็นแก่ตัวซึ่งผมเห็นว่าเป็นแง่คิดอีกด้านหนึ่ง แต่ถ้าในด้านของความกตัญญูรู้บุญคุณของพ่อแม่แล้วน่าจะตรงกับเรื่องมากกว่า

           ใครอ่านแล้วลองส่งให้ลูกหลานอ่านดูบ้าง ก็อาจจะได้สัมผัสถึงความรู้สึกใหม่ ๆ.				
3 สิงหาคม 2552 11:57 น.

รักนี้ที่....ต้องตาย

ลุงเอง

พ่อกะทิ ชายหนุ่มโผงผางผู้กำพร้าพ่อแม่ อยู่ตัวคนเดียว พูดจริงทำจริง ขยันขันแข็งเอางานเอาการ เสร็จจากงานนา ก็มารับจ้างขี่ควายส่งคนเข้าซอย ทุกคนในหมู่บ้านล้วนรักและเอ็นดู กะทิ ยกเว้นผู้ใหญ่ปลั่ง เพราะผู้ใหญ่ปลั่งมีลูกสาวสวย ที่ดันมาหลงรัก กะทิด้วยเช่นกัน แม่แป้ง ลูกสาวคนเดียวของ ผู้ใหญ่ปลั่งสาวสวยประจำหมู่บ้าน นางเจอกับ กะทิในวันลอย กระทง ทั้งคู่ขี่ควายสัญญากัน ต่อหน้าพระจันทร์ ไม่ว่าข้างหน้า จะมีอุปสรรคขวางกั้นเพียงใด ทั้งคู่ก็จะขอเอาความรักแท้ที่จริงใจฝ่าฟันข้ามไป แล้ว กะทิก็รวบรวมเงินทองเท่าที่ เก็บสะสมมาได้ ไปบ้านผู้ใหญ่ปลั่งเพื่อสู่ขอแม่แป้ง ซึ่งผู้ใหญ่ก็ต้อนรับมันอย่างดี ด้วยชายฉกรรจ์ 6 นาย พร้อมอาวุธครบมือ กะ ทิไม่ว่ากระไร ได้แต่พาร่าง อันสะบักสะบอมกลับไปบ้าน นอนหยอดน้ำข้าวต้มหลายวัน ด้วยใจยังตั้งมั่นว่า วันหน้าจะมาขอใหม่ ขอไปจนกว่าผู้ใหญ่จะใจอ่อน ในที่สุดผู้ใหญ่ปลั่งก็ปิดหนทาง ความรักของกะทิ ด้วยการคลุมถุง จัดงานแต่งงานให้ลูกสาว กับปลัดหนุ่มจากบางกอก กะทิรู้ข่าวจึงรีบวิ่งทุรนทุราย หมายจะมาทำลายพิธี ซึ่งผู้ใหญ่ปลั่งก็รู้ดีว่า กะทิ ต้องกระทำแบบนี้ จึงขุดหลุมพรางดักรอเอาไว้ แม่แป้งแอบได้ยินแผนร้าย ก็แอบหนี หมายจะมาห้ามคนรัก ไม่ให้หลงกล เหตุการณ์ต่อไปนี้ ไม่มีบันทึกเป็นลายลักษณ์ ได้แต่ปะติดปะต่อ มาจากคำบอกเล่า ของชาวบ้านแบบปากต่อ ปากว่า  คืนนั้นเป็นคืนเดือนแรม แม่แป้งแอบวิ่งฝ่าความมืดออกมาดัก หน้ากะทิ กะทิเห็นแม่แป้งวิ่งมาก็ดีใจ รีบ วิ่งไปหา แม่แป้งเห็น กะทิรีบวิ่งมา ก็รีบ วิ่งเข้าไปหาให้เร็วยิ่งขึ้นไปอีก ฉับพลัน ร่างแม่แป้ง ก็ร่วงหล่นลงไปในหลุมพราง ของผู้ใหญ่ปลั่ง ต่อหน้าต่อตา กะทิ ทันทีอารามตกใจ กะทิรีบกระโดดตามลง ไปเพื่อช่วยเหลือ อารามดีใจ สมุนชายฉกรรจ์ 6 นายของ ผู้ใหญ่ปลั่ง รีบเข้ามาโกยดินฝังกลบ เพราะคิดว่าก้นหลุมมีเพียง กะทิผู้ เดียวที่อยู่ในนั้นรุ่ง เช้า ผู้ใหญ่ปลั่งเดินยิ้ม มาขุดหลุมเพื่อดูผล ภาพเบื้องล่างพบ กะทิตระกองกอดทับ ร่างแม่แป้งลูกสาวของตน นอนตายคู่กันอย่างมีความสุข เมื่อยิ้มถูกเปลี่ยนไปเป็นน้ำตา ผู้ใหญ่ปลั่งสั่งลูกสมุน สร้างเจดีย์คลุมครอบปิดหลุม นั้นไว้ เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจคนทั่วไปว่า อย่าคิดทำร้าย หรือทำลายความรักของใครอีกเลย				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟลุงเอง
Lovings  ลุงเอง เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟลุงเอง
Lovings  ลุงเอง เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟลุงเอง
Lovings  ลุงเอง เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงลุงเอง