13 สิงหาคม 2552 21:33 น.
ลุงเอง
3 สายพันธุ์ใหม่ “แม่จำเป็น-แม่ไฮเปอร์-แม่เชย”......
วานนี้ (11 ส.ค.) ที่สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เครือข่ายครอบครัวจัดเสวนา เรื่อง “แม่ไทยจะเป็นแบบไหน ในอีก 10 ปี ข้างหน้า” โดย ดร.อมรวิชช์ นาครทรรพผู้ อำนวยการสถาบันรามจิตติ กล่าวว่า ในอีก 10 ปี ข้างหน้าจะมีคุณแม่สายพันธุ์ใหม่เกิดขึ้น 3 แบบ คือ 1.คุณแม่จำเป็นมีลูกเพราะไม่ตั้งใจ จากการศึกษาข้อมูลพบว่า แต่ละปีมีเด็กอายุต่ำกว่า 19มาทำคลอดปีละ 6-7 หมื่นคน โดยในปี 2550 มีมากถึง 68,385 คน เฉลี่ยวันละ187 คน และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในอีก 10 ข้างหน้าจะมีแม่กลุ่มนี้ไม่ต่ำกว่า 7 แสนคนที่ส่วนใหญ่เป็นแม่วัยรุ่นไม่พร้อมจะเลี้ยงลูก ทั้งด้านจิตใจหรือเลี้ยงไม่เป็นเนื่องจากไม่มีความรู้ บางส่วนยังต้องเรียนหนังสือรวมถึงคุณแม่ที่ยากจน ขาดความสามารถที่จะเลี้ยงดูบุตร ซึ่งจะเป็น 10%ของคุณแม่ทั้งหมดทำให้แม่กลุ่มนี้เสี่ยงที่จะติดสุราและบุหรี่และเป็นยุว อาชญากรมากกว่าแม่กลุ่มอื่นๆ ถึงเท่าตัว
mom898t778.jpg (116.87 KB)
12-8-2008 11:04
ดร.อมรวิชช์ กล่าวต่อว่า ส่วนกลุ่มที่ 2 คือ คุณแม่ไฮเปอร์จอมเวอร์ เจ้าไฮเทค เป็นกลุ่มหญิงชนชั้นกลางอยู่เมืองใหญ่ๆ มีการศึกษาสูงซึ่งปัจจุบันมีคนที่เรียนต่อปริญญาโท-เอก ประมาณ 2-3 แสนคนและส่วนใหญ่คุณแม่กลุ่มนี้มีรายได้สูง มีกำลังซื้อมากดังนั้นจึงพยายามเป็นผู้อำนวยการสร้างออกแบบชีวิตของลูกสรรหา สิ่งที่คิดว่าที่สุดให้กับลูก จนเกินพอดี เช่นมีสถาบันพัฒนาสมองชั้นเลิศต้องพาไปเรียน ใส่โปรแกรมเรียนพิเศษจนแน่นแย่งกันพาเด็กไปเข้าคอร์สอัจฉริยะทุกด้าน ต้องเก่งดนตรีเหมือนบีโทเฟ่นวาดรูปตามรอยแวนโก๊ะ มีเทคโนโลยีใหม่ๆ ต้องหามาประเคนให้ลูกเพราะมีความคิดว่าลูกต้องไม่ด้อยกว่าเด็กคนอื่น
“คุณ แม่กลุ่มนี้จะมีราว 10-15% ซึ่งตัวแม่นั้นไม่น่าห่วง ที่น่าห่วงคือเด็กเด็กที่เติบโตมาท่ามกลางการถูกยัดเยียดสิ่งที่ดีที่สุด ทำให้เด็กรับไม่ไหวจากการถูกเร่งมากเมื่อเด็ก พอโตถึงช่วงวัยรุ่นตอนต้นเด็กเครื่องจะดับบางคนกลายเป็นเด็กมีพฤติกรรมเกเร กลายเป็นแม่ฆ่าลูกด้วยรัก อีกทั้งยังทำให้เกิดช่องว่างในสังคมมากขึ้นทุกทีเพราะเด็กที่เกิดจากคุณแม่ กลุ่มที่ 1 และ 2 จะมีความแตกต่างกันมากกลุ่มแรกด้อยโอกาสอย่างมหาศาล กลุ่มที่ 2 ก็เปี่ยมโอกาสจนล้นผมอยากให้ลองนึกดูว่า สังคมข้างหน้าจะเป็นอย่างไร คนที่มีความต่างกันมากๆจะยิ่งพูดกันไม่รู้เรื่อง” ดร.อมรวิชช์ กล่าว
ดร.อมรวิชช์ กล่าวต่อว่า กลุ่มที่ 3 คุณแม่ที่ก้าวไม่ทันโลกรู้ไม่ทันลูก ที่เป็นแม่กลุ่มใหญ่ที่สุดราว 75-80%กลุ่มนี้ที่ส่วนหนึ่งอาจเป็นแม่บ้าน แม่เลี้ยงเดี่ยว แม่ทางไกลที่เป็นหญิงทำงานในเมืองตามตึกสูง ต้องเลี้ยงลูกทางโทรศัพท์ แต่ทันลูกไม่ค่อยรู้เรื่องเทคโนโลยี ต้องทำงานหนักเพื่อหาเลี้ยงชีพ ไม่มีเวลาให้ลูกจนแทบไม่รู้ว่า ลูกของตนทำอะไรอยู่ ขณะที่อีก 10 ข้างหน้าจะอยู่ในยุคของทุนนิยมสุดขั้ว เต็มไปด้วยความเจริญทางวัตถุ อบายมุขสิ่งยั่วยุ มีสิ่งล่อตา ล่อใจ ให้เด็กต้องการ และทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มาถ้าแม่รู้ไม่เท่าทัน ปัญหาสังคมจะรุนแรงกว่ากรณีเล่นเกมจีทีเอแล้วไปฆ่าคนเสียอีก
“แม่ ที่ดีต้องเป็นแม่แบบไทยผสมกับความทันโลก แม่ต้องเข้าใจโลกของลูกซึ่งต้องอาศัยความเป็นเพื่อนสูง จึงจะซี้กับลูกมากพอที่เขาจะไว้ใจพอที่จะพูดคุยปรึกษากับเราได้ทุกเรื่อง แต่ในความเป็นจริงมีงานวิจัยพบว่ามีแม่เพียง 20% ใช้ประโยคทางบวก พูดชื่นชม ยินดีกับลูก ขณะที่ถึง 80 %พูดคุยกับลูกด้วยประโยคทางลบ เช่น คาดคั้น กล่าวโทษ ว่าร้ายทำให้เด็กหัวใจรวน ซึ่งเด็กปัจจุบันน่าสงสารมาก ถูกยั่วยุ รุมเร้ามากเขาจึงต้องการแม่ที่จะพุดคุยด้วยเพื่อเช็คความคิดและการตัดสินใจ ของเขาว่าถูกหรือไม่”ดร.อมรวิชช์ กล่าว
ดร.อมรวิชช์ กล่าวด้วยว่า อย่างไรก็ตาม คุณแม่ทั้ง 3 กลุ่มต้องการความช่วยเหลือที่ต่างกัน และสามารถที่จะแก้ไขได้ในกลุ่มกลุ่มซึ่งแม่กลุ่มที่ 1 น่าห่วงที่สุดภาครัฐต้องมีนโยบายชัดเจนที่จะลดจำนวนแม่อายุต่ำกว่า 19 ลงให้ได้พร้อมทั้งช่วยเหลือเด็กที่กลายเป็นแม่ ให้กลับไปเรียนหนังสือส่วนแม่ไฮเปอร์ มีความรู้มากอยู่แล้ว แต่ต้องมีความเข้าใจด้วย ไม่กดดันลูกและรัฐต้องกระจายการศึกษา การพัฒนาต่างๆ ต้องให้เท่าเทียมทั่วถึงลดช่องว่างทางสังคม
ผู้อำนวยการสถาบันรามจิตติ กล่าวด้วยว่า ขณะเดียวกันรัฐต้องให้ความสำคัญกับนโยบายการพัฒนาสังคมโดยรวมและให้ความ สำคัญกับครอบครัว แก้ปัญหาสังคม ปราบสื่อลามกเพิ่มพื้นที่ดีให้เด็ก เพื่อให้เป็นเบ้าหลอมที่ดีแก่เด็กส่วนใหญ่ในสังคมโดยเสนอให้ใช้ทฤษฎีคนตัว เล็ก เพราะความซับซ้อนทางการเมืองอาจทำให้คนเก่งไม่สามารถทำงานได้มาก และไม่ควรตั้งความหวังกับคนตัวโตแต่ใจใหญ่หันมาสนับสนุน ใส่น้ำ เติมปุ่ยให้กับคนตัวเล็ก อย่างอบต.อบจ.เครือข่ายครอบครัว ให้คนตัวเล็กในพื้นที่เล็กๆ ก็สามารถทำงานใหญ่ๆ ได้
รศ.ดร.สายฤดี วรกิจโภคาทรผู้ อำนวยการสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว กล่าวว่าจากงานวิจัยชิ้นหนึ่ง พบว่า วัยรุ่นไทยอยากเป็นแม่เพียง 20%เนื่องจากเห็นว่าความเป็นแม่ เป็นความทุกข์ยาก ลำบาก เหนื่อยแต่กลับไม่มีอะไรมาตอบแทนโดยเด็กที่มีลักษณะเสี่ยงที่จะเป็นแม่ที่ ไม่มีคุณภาพ คือเด็กที่ไม่มีความสนใจในตัวเอง ไม่คิดอะไรมาก ชอบเที่ยวชอบแต่งตัวมีแต่เพื่อนเที่ยว ซึ่งการเตรียมความพร้อมสู่สังคมยุคต่อไปเยาวชนต้องมีความเก่งเพิ่มขึ้นหลาย เท่าตัว โดยเฉพาะการปรับตัวให้เหมาะกับสภาพสังคมที่เปลี่ยนไป การมีทัศนคติที่ดีในการชีวิตขณะที่รัฐบาลต้องมีนโยบายในการแก้ปัญหาครอบครัว อย่างจริงจังโดยจะต้องให้รัฐมนตรีแต่ละกระทรวง ทำแบบทดสอบว่านโยบายของกระทรวงนั้นๆเกี่ยวข้องหรือเชื่อมโยงสู่เรื่องครอบ ครัวและเด็กอย่างไร
ด้านนางทิชา ณ นครผู้ อำนวยการศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนชายบ้านกาญจนาภิเษก กล่าวว่าการเลี้ยงลูกพ่อแม่ต้องเชื่อว่าลูกไม่ใช่สมบัติไม่เช่นนั้นจะทำให้ เกิดการเลี้ยงลูกแบบครอบงำ คาดหวังกับลูกมากเลี้ยงลูกเหมือนตุ๊กตา จับแต่งสิ่งต่างๆโดยตอบสนองความใฝ่ฝันของตนเองที่ขาดหายไปจึงสร้างแรงกดดัน และปัญหาให้กับเด็กมากเมื่อเกิดปัญหาเด็กจะไม่กล่าบอกเล่าหากผิดจากความคาด หวังของพ่อแม่แต่หากเลี้ยงลูกให้เข้ามีชีวิตและพื้นที่ของเขาเองจะทำให้การ เลี้ยงลูกในครอบครัวเป็นแบบสบายๆ
นางทิชา กล่าวต่อว่าครอบครัวไทยในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงโครงสร้างจากครอบครัวขยายมา เป็นครอบครัวเดี่ยว เด็กมีความว้าเหว่า และเหงา ปัจจุบันใครเลี้ยงลูกรอดถือเป็นความสามารถเฉพาะตัวเนื่องจากกลไกภาครัฐยัง ไม่มีการออกแบบให้มีการรองรับหรือตอบสนองในการแก้ปัญหาครอบครัวตนจึงอยากให้ พรรคการเมืองลุกขึ้นมาประกาศนโยบายสาธารณะเกี่ยวกับครอบครัวไม่ใช่มีแต่ นโยบายพัฒนาอุตสาหกรรมหากทำได้จะช่วยให้พื้นที่ความสำคัญของการแก้ปัญหาครอบ ครัวกลับมาได้ส่วนหนึ่ง
นางกนิษฐา ปวีณะโยธินตัว แทนเครือข่ายพ่อแม่ กล่าวว่า หากสังคมต้องการแม่ที่มีคุณภาพต้องปรับทัศนคติให้เท่าเทียมกันทั้งชาย หญิง การจะมีแม่ที่ดีได้ต้องเริ่มสร้าง “พ่อที่ดี” ไปพร้อมๆ กันเพราะการมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกของเด็ก นอกจากความอยากลองแล้วส่วนใหญ่เกิดจากการใช้กำลัง ข่มขืน อีกทั้งต้องไม่คาดหวังกับเด็กสูงเกินไปจะทำให้พวกเขาต้องเอาตัวรอด ชิงดีชิงเด่น และหากอยากให้เด็กกตัญญูคนในครอบครัวต้องเป็นตัวอย่าง มีความกตัญญูต่อ ปู่ ย่า ตา ยายให้เด็กเห็นเสียก่อน
13 สิงหาคม 2552 20:24 น.
ลุงเอง
เมื่อแม่ชีกลายเป็น...สุนัข...???
จากคอลัมน์ "มองชีวิต" นิตยสารดิฉัน
ผู้เขียน - ศ.ดร.นพ.วิทยา นาควัชระ
เมื่อแม่ชีกลายเป็น...สุนัข เรื่องจริงที่ชวนหดหู่และน่าเห็นใจ
เป็นเรื่องของแม่และลูกสาวคู่หนึ่ง แม่เคยเป็นคนสวย ทำงานเก่ง แต่งงานกับสามีที่รูปหล่อ แต่ขี้เกียจ ไม่รับผิดชอบ และเจ้าชู้
...แม่มีลูกกับสามีคนนี้คนหนึ่ง เป็นผู้หญิง...
แม่มีชีวิตที่ชอกช้ำซ้ำๆซากๆ จากการที่สามีไม่มีคุณภาพคนนี้ตลอดมา ต้องช้ำใจจากความเจ้าชู้มีเมียหลายคนของเขา เธอเคยตามหึงหวงอาละวาด ก็ไม่ทำให้สามีดีขึ้น
นอกจากนั้นสามียังทำให้ครอบครัวทุกข์ยากจากการใช้เงินโดยไม่ประมาณตน ฟุ่มเฟือยไปกับการเที่ยวเตร่และบำเรอผู้หญิงอื่น สามีไม่ช่วยหาเงินมาจุนเจือครอบครัว แต่ทำตัวเป็นหนุ่มเจ้าสำราญตลอดมา
...เธอสาปส่งชีวิตรันทดด้วยการขอหย่ากับสามี แยกเอาลูกออกมาเลี้ยงดูตามลำพัง...
เธอเริ่มต้นทำงานสร้างตัวเองเพื่อชีวิตที่ดีขึ้นของลูกสาว เธอรักลูกมาก ให้การศึกษาอย่างดีในโรงเรียนที่ดีๆตลอดมา ลูกก็เป็นเด็กดี เรียนดี แถมเป็นคนสวยชนิดเตะตาหนุ่มๆ มีคนหมายปองมาจีบอยู่เสมอๆตั้งแต่เริ่มผลิเนื้อสาว
แม่มักจะห้ามลูก ไม่อยากให้ลูกมีแฟน โดยอ้างว่าแม่รักลูก แม่ทำให้ลูกได้หมดทุกอย่างทั้งการเงินและอนาคต แต่ไม่อยากให้ลูกแต่งงานหรือรักผู้ชาย เพราะจะต้องช้ำใจอย่างแม่ เธอพูดถึงความเลวร้ายของผู้ชายในรูปแบบต่างๆให้ลูกฟังอยู่เสมอ
"ทั้งขี้เกียจ เห็นแก่ตัว เอาแต่ได้ มักมากในทางกาม เจ้าชู้ ไม่รับผิดชอบ เอาเปรียบผู้หญิง แล้วลูกจะไปรักเขาทำไม ไม่มีใครจริงใจหรอก เชื่อแม่เถอะ รักนวลสงวนตัวเอาไว้ เรียนหนังสือให้ดีๆ ขยันทำมาหากินช่วยตัวเองให้ได้ก็ดีแล้ว ลูกเอ๋ย อย่ามีเลยทั้งสามีหรือครอบครัว ไม่ดีทั้งนั้น" เธอพร่ำบอกลูกอย่างนี้ตลอดมา
ลูกสาวก็เชื่อแม่ อยู่ในโอวาทตลอดมาเช่นกัน แต่ก็ไม่วายมีหนุ่มๆมาเกาะแกะ นั่งคุย นั่งจีบ ซึ่งก็ถูกแม่ขัดขวางจนต้องร้างราไปทุกราย ลูกสาวเคยบอกแม่ว่า " ลูกจะเชื่อแม่ จะเป็นคนดีและจะไม่ทำให้แม่ผิดหวัง ทุกวันนี้รู้ว่าแม่เจ็บปวดกับชีวิตในอดีตและทำงานหนักเพื่อลก เพราะรักลูก ลูกก็จะรักแม่ตลอดไป"
เมื่อลูกสาวเรียนจบมหาวิทยาลัย มีงานทำ เหตุการณ์ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นทุกด้าน คือมีคนมาจีบลกสาวมากขึ้น ลูกสาวก็พยายามหลีกหนี หรือปฏิเสธ แต่แม่ก็มักระแวงและคิดว่าลูกจะใจอ่อนรับรักชายหนุ่มคนใดคนหนึ่งแน่ๆในอนาคต แม่จึงหาทางป้องกันโดยปกป้องมากขึ้น พูดจากระแนะกระแหนให้ลูกเจ็บใจ และหว่านล้อมไม่ให้เปลี่ยนใจมากขึ้น รวมทั้งก้าวร้าวกับผู้ชายทุกคนที่มาตีสนิทกับลูก
ลูกสาวอดทนจนทนไม่ไหว จึงตัดสินใจบอกแม่ว่า "ลูก ขอไปบวชเป็นชีดีกว่า เพื่อแม่จะได้สบายใจว่าลูกจะไม่มีแฟน และผู้ชายจะได้ไม่ตามไปจีบ ถ้าบวชแล้วสบายใจดี ลูกจะขอบวชชีไปเรื่อยๆนะแม่"
แม่ก็ยินยอมและยินดี เพราะคิดว่าปลอดภัยดี ลูกสาวลาออกจากงานและไปบวชเป็นชีอยู่ที่วัดแห่งหนึ่ง เธอปฏิบัติตนอยู่ในกรอบของศีลธรรมและข้อห้ามต่างๆได้ดี วางตัวได้เหมาะสม กิตติศัพท์ความงามของแม่ชีสาวคนนี้ก็ยังเลื่องลือออกไปไกล
หนุ่มๆที่เคยจีบหลายคนพยายามทำความสนิทสนมหาทางมาหา มาคุย นำของมาถวาย แล้วแต่จะพลิกแพลงหาโอกาสต่างๆเพื่อให้ได้ใกล้ชิด โดยหวังว่าวันหนึ่งเมื่อแม่ชีสึกออกไป เขาจะได้พิชิตใจสาวน้อยคนนี้ แม่ชีก็ปฏิบัติตนเหมาะสม ไม่วอกแวก อยู่ในศีลในธรรม เวลารับแขกก็สำรวมกิริยามารยาท และอยู่ในที่เหมาะสมตลอดมา
แม่รับรู้เรื่องราวเหล่านี้ด้วยความโกรธ ไม่พอใจเรื่องที่มีคนตามมาจีบแม่ชี และไม่พอใจที่แม่ชียังพูดคุยกับชายหนุ่มเหล่านั้น เธออยากให้แม่ชีไล่ผู้ชายทุกคนออกไปจากวัด แต่แม่ชีก็ทำไม่ได้เพราะไม่สุภาพ เธอบอกแม่ว่าในใจไม่ได้คิดอะไรเชิงพิศวาสกับผู้ชายเหล่านั้นเลย แต่แม่ไม่เชื่อ
วันหนึ่งแม่มาเยี่ยมแม่ชีลูกสาวพร้อมของเยี่ยม พบชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งคุยอยู่กับแม่ชีที่ระเบียงกุฏิ เธอโกรธมาก กล่าวด่าทอชายหนุ่มคนนั้นและไล่เขาออกไป หาว่าเขาเป็นตัวมาร เลวทรามต่ำช้ามาก เท่านั้นยังไม่พอ แม่ยังหันมาด่าแม่ชีอีกว่า "เธอเองก็เลวมากเช่นกัน ทำตัวเหมือนหมาเดือนสิบสอง อยากมีคู่หรือไงถึงได้ร่านนัก"
ขาดคำที่แม่ด่า แม่ชีสะอึกสะอื้น ร้องไห้โฮใหญ่ ตัวสั่นเทิ้ม เธอส่งเสียงวี้ดดังลั่น ล้มตัวลงนอนราบ แล้วลุกขึ้นมาคลานสี่เท้าเหมือนสุนัข คลานเข้าหาแม่ พร้อมทั้งกัดแม่ตามแขนขา สลับด้วยเสียงเห่าเสียงหอนเหมือนหมาจริงๆ
ตอนแรกแม่นึกว่าลูกแกล้งทำ จึงเอ็ดว่ายิ่งขึ้น แต่ลูกสาวก็ไม่หยุด ยิ่งแสดงพฤติกรรมเป็นหมามากขึ้น สุดท้ายแม่รู้ว่าแม่ชีกลายเป็นหมาไปแล้ว เธอเสียใจมาก ร้องไห้สะอึกสะอื้นเป็นที่น่าเวทนา ทั้งสภาพของแม่และลูก
ผม(คุณหมอวิทยา) ได้เห็นสภาพจริงๆที่แม่ชีกลายเป็นหมา คลานสี่เท้า เห่าหอนแบบหมา เพราะแม่ได้ขอร้องคนในวัดช่วยกันจับส่งโรงพยาบาลจิตเวช เมื่อได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดแล้ว ยิ่งสมเพชและอนาถใจยิ่งขึ้น
คุณคิดอย่างไรกับเรื่องนี้บ้างครับ ใครควรจะเป็นคนถูกเห็นใจ หรือถูกประณาม?
วิเคราะตามหลักจิตเวช
๑. แม่มีบาดแผลทางใจที่ได้จากสามีไม่ดีและนึกถึงบ่อยๆไม่เคยลืม จึงเกิดความแค้นใจและระแวงผู้ชาย เจ็บใจตลอดมา เกิดเป็นความก้าวร้าวและอคติกับผู้ชายทุกคน
๒. แม่ใช้บทบาทแสดงความรักที่แฝงด้วยความก้าวร้าว (PassiveAggressive) กับลูก ตอนแรกๆเพื่อให้ลูกเชื่อฟัง ไม่คบผู้ชาย โดยแสดงความรักลูก ห่วงลูกมากๆเพื่อคลุมความก้าวร้าวของตนเองเอาไว้
๓. ลูกกลายเป็นคนมีลักษณะสมยอม (Passive Dependent) เธอตามใจแม่ทุกอย่าง แม้แต่การตัดสินใจไปบวชชีเพื่อให้แม่สบายใจ
๔. เป็นเพราะแม่มีความคาดหวังในตัวลกสาวสูงมากว่าจะเลิกยุ่งเกี่ยวกับผู้ชายยาม บวชชี เมื่อเห็นลูกคุยกับผู้ชายจึงผิดหวังรุนแรง กลายเป็นความโกรธและความก้าวร้าวแบบระงับใจไม่ได้ (Explosive) จึงระเบิดคำด่าว่าที่เกินความเป็นจริง เพื่อยัดเยียดความผิดและต่ำต้อยให้ลูก เพื่อให้ตัวแม่รู้สึกมีค่ามากขึ้นที่ได้ยัดเยียดความผิดให้คนอื่นได้
๕. ลูกสาวแม้จะยอมตามแม่ทุกอย่าง แต่ก็มีความเครียดอยู่ในใจ และต้องการความรักความสนใจจากแม่มากเช่นเดียวกัน เมื่อเหตุการณ์ทวีความรุนแรง เกิดความขัดแย้งในใจชนิดแก้ไขปัญหาไม่ได้ เธอจึงใช้กลไกปรับตัวชนิด Conversion คือเปลี่ยนตัวเองจากการเป็นคนธรรมดา หรือเป็นแม่ชีกลายเป็นหมาตามคำด่าว่าของแม่ เพื่อให้แม่สมใจ การกระทำเช่นนี้เป็นการถอยหลัง (Regression) ลงไปสู่โลกของความเป็นเด็ก และเป็นอยู่นาน
อาการของแม่ชีที่กลายสภาพเป็นหมา จึงเป็นลักษณะของคนเป็นโรคจิตชนิด Hysterical Psychosis ได้
๖. การรักษามีทั้งการใช้ยา ทำช็อตด้วยไฟฟ้า และทำจิตบำบัดเมื่อมีอาการดีขึ้น
๗. เรื่องนี้คนที่หัวใจสลาย ควรจะเป็นลูก หรือเป็นแม่
และใครควรจะเป็นคนถูกตำหนิ?
ที่มา http://deltadrive.exteen.com/20070117/entry
__________________
ความรักนั้นก็อดทนนานและกระทำคุณให้ ความรักไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง ไม่หยาบคาย ไม่คิดเห็นแก่ตนเองฝ่ายเดียว ไม่ฉุนเฉียว ไม่ช่างจดจำความผิด ไม่ชื่นชมยินดีเมื่อมีการประพฤติผิด แต่ชื่นชมยินดีเมื่อประพฤติชอบ ความรักทนได้ทุกอย่างแม้ความผิดของคนอื่น และเชื่อในส่วนดีของเขาอยู่เสมอ และมีความหวังอยู่เสมอ และทนต่อทุกอย่าง (1โครินธ์13:4-7)
เมื่อมีคนยากจน ตายเพราะความหิวโหย มันไม่ได้เกิดขึ้นเพราะพระเจ้าไม่ได้ดูแลพวกเขา
มันเกิดขึ้นเพราะทั้งคุณและฉัน ยังไม่แบ่งปันในสิ่งที่พวกเขาเหล่านั้นขาดแคลน
13 สิงหาคม 2552 18:25 น.
ลุงเอง
เก้าคำกำกวมของผู้หญิง.......!!!!?
NINE WORDS WOMEN USE -เก้าคำกำกวมของผู้หญิง
(1) ดี,โอเค: คำนี้ผู้หญิงใช้ปิดการโต้เถียงตอนที่เธอมั่นใจว่าเป็นฝ่ายถูก และคุณต้องหุบปากซะ
(2) ห้านาทีนะ: ถ้าหล่อนกำลังแต่งตัว นี่จะหมายถึงชั่วโมงครึ่ง แต่ห้านาทีก็คือห้านาทีถ้าเธอเพิ่งยอมให้คุณดูบอลต่ออีกห้านาทีแล้วค่อยไปช่วยเธอทำงานบ้าน
(3) ไม่มีไร: นี่คือความสงบก่อนพายุจะเข้า มันแปลว่า"มีอะไร"แน่ ๆ ขอให้เตรียมตัวได้เลย การโต้เถียงที่เริ่มด้วย "ไม่มีไร" มักจะไปจบลงที่ "ดี,โอเค"
(4) ก็เอาดิ,เอาเลย: นี่เป็นคำท้า ไม่ใช่คำอนุญาต อย่าทะลึ่งทำเป็นอันขาด!
(5) ทำเสียง ชิ,ฮึ,จึ๊ ฯลฯ ออกมาดัง ๆ: มันมีความหมายแน่นอน แต่อวจนภาษามักทำผู้ชายเข้าใจผิด เสียงพวกนี้หมายความว่าเธอกำลังคิดว่าคุณแม่งซื่อบื้อเหลือทน และไม่เข้าใจว่าจะมาเสียเวลายืนเถียงกับคุณเรื่อง"ไม่มีไร"แบบนี้ทำไม (กลับไปดู "ไม่มีไร" ที่ข้อ 3)
(6) ไม่เป็นไร: นี่คือสถานะอันตรายสุด ๆ ที่ผู้หญิงจะมีต่อผู้ชายแล้ว "ไม่เป็นไร"แปลว่าเธอต้องคิดดูก่อนอย่างนานและอย่างหนักว่าคุณต้องชดใช้อะไร อย่างไร และเมื่อไหร่ ในความผิดที่คุณก่อไว้
(7) ขอบคุณ: ถ้าผู้หญิงขอบคุณ อย่ามีคำถาม อย่ามัวทำเฉย ตอบรับคำเขาไปดี ๆ (แต่ขอเพิ่มหน่อยว่า ถ้าผู้หญิงพูดว่า "ขอบคุณมาก" อันนี้ประชดเต็มดอก เธอไม่ได้ขอบคุณอะไรเลย อย่าได้ทะลึ่งตอบรับ ไม่งั้นคุณจะเจอกับ "เออ เอาเหอะ")
(8) เออ เอาเหอะ: เป็นวิธีที่เจ้าหล่อนจะพูดกับคุณว่า ไอ้เหี้ย!
(9) อย่าห่วงเลย,อือ เข้าใจละ: อีกหนึ่งสถานะอันตราย หมายความว่านี่คือบางอย่างที่เธอบอกให้คุณทำมาหลายครั้งละ แต่คราวนี้เธอจะทำเอง ซึ่งเดี๋ยวคุณก็จะถามว่า "เป็นไรอะ" แล้วคุณก็จะเจอกับข้อ 3.
* ส่งให้ผู้ชายทุกคนที่คุณรู้จัก เขาจะได้เลี่ยงอันตรายจากการโต้เถียง ถ้าเขาจำความหมายเหล่านี้ได้.
......แบบว่าลุงแทนเองได้รับจากเพื่อนมา.......
13 สิงหาคม 2552 09:09 น.
ลุงเอง
ความทรงจำของสองเรา.....
โดย แม่นก
ใครๆ มักพูดกันว่านมแม่เป็นของขวัญอันล้ำค่าสำหรับลูก ซึ่งก็เป็นความจริงอย่างที่สุด แต่แม่ได้ซาบซึ้งกับความจริงอีกข้อหนึ่งว่า นมแม่เป็นของขวัญอันประเสริฐยิ่งสำหรับคนเป็นแม่ เป็นความทรงจำอันงดงามที่ทั้งสุขและเศร้าแต่มีค่าเหนือสิ่งอื่นใด และแม่คงไม่มีวันได้รับประสบการณ์อันล้ำค่านี้ หากไม่มี “ลูก” และไม่ได้พยายาม “เลี้ยงลูกด้วยนมแม่”
เมื่อ เริ่มตั้งครรภ์ แม่ดูแลสุขภาพเป็นอย่างดีและตั้งใจว่าจะคลอดลูกเองแบบธรรมชาติ (คือไม่ใช้ยาแก้ปวดหรือยาเร่งคลอดใดๆ) และจะเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างน้อยหนึ่งปี ถึงแม้ในที่สุดเมื่อผ่านการเจ็บท้องในห้องคลอดร่วม 15 ชั่วโมง ก็ต้องยอมรับการผ่าตัดด้วยข้อจำกัดทางสรีระของร่างกาย แต่ช่วงเวลานั้นก็เป็นประสบการณ์อันล้ำค่าที่แม่ไม่เคยคิดเสียดาย แม่กับพ่อได้มีประสบการณ์อันยิ่งใหญ่นี้ร่วมกัน และได้ซาบซึ้งถึงน้ำใจของคุณหมอและพยาบาลห้องคลอดที่ให้การดูแลเราเป็นอย่าง ดีและเชื่อมั่นเช่นเดียวกับเรา
ช่วง ที่อยู่โรงพยาบาล ทุกอย่างราบรื่นดี เมื่อแม่รู้สึกตัว พยาบาลก็อุ้มลูกมาให้ดูดนม (หลังจากคลอดเสร็จราว 3 ชั่วโมง) และดูดกระตุ้นทุก 3 ชั่วโมง ไม่มีการป้อนนมผสมใดๆ ทั้งสิ้น นมเริ่มมาวันที่สอง พอวันที่สามเราก็กลับบ้าน แต่พอกลับมาบ้านนี่สิ อะไรๆ ดูวุ่นวายสับสนไปหมด หนูร้องไห้โยเยจนแม่ต้องนั่งให้นมแทบจะตลอด 24 ชั่วโมงก็ว่าได้ ยกเว้นแค่เวลาเข้าห้องน้ำ ที่คนในบ้านต้องทนฟังเสียง 18 หลอดของหนู มีเสียงเปรยๆ จากผู้ใหญ่ว่านมไม่พอ แต่ด้วยความดื้อรั้นของทั้งพ่อและแม่เลยพาลูกรอดพ้นจากนมผสมมาได้ ช่วงแรกๆ มีแต่ความสับสนและว้าวุ่นใจ ทั้งๆ ที่เตรียมตัวหาข้อมูลมาอย่างดี แต่ภาคปฏิบัตินั้นไม่ง่ายเหมือนในทฤษฎี ดีที่ได้กำลังใจจากบรรดากระทู้ของแม่มือใหม่และมือเก่าเขียนไว้ในเว็บกลุ่ม นมแม่ ช่วยให้มีกำลังใจขึ้นมากและรู้สึกว่าเราไม่ได้เผชิญปัญหาเพียงลำพัง ที่สำคัญ ปัญหาของเรายังเป็นเรื่องจ้อยมากเมื่อเทียบกับแม่อีกหลายๆ ท่าน
เมื่อ ลูกอายุได้ห้าวัน แม่ต้องพาลูกกลับไปโรงพยาบาลใหม่เพราะตัวเหลือง หมอวัดแล้วพบว่าระดับเหลืองสูงจนใกล้ขีดอันตราย และต้องนอนพักอยู่ที่ในโรงพยาบาล หมอแนะนำให้งดนมแม่และให้นมผสมในคืนนั้น แม้จะไม่เห็นด้วย แต่ก็ต้องยอมเพราะตอนนั้นเราไม่มีแรงจะไปต่อสู้อะไร นอกจากขอให้ลูกปลอดภัยเป็นสำคัญ ในเวลานั้นทุกครั้งที่ลูกร้องไห้ นมแม่จะไหลพุ่งตามสัญชาตญาณ แม่พยายามทำใจให้เข้มแข็งและไปบีบนมเก็บไว้ พร่ำบอกกับตัวเองในใจว่าลูกจะต้องหายดี พอถึงเช้าวันรุ่งขึ้นเมื่อระดับเหลืองลดลง แม่ก็กลับมาให้นมลูกอีกครั้ง เป็นความปีติสุขอย่างยิ่ง เพราะลูกดูดนมอย่างมีความสุข ไม่หวีดร้องหันหนีเหมือนตอนที่พยาบาลพยายามป้อนนมผสมด้วยช้อนเลย
ถึง อย่างนั้น แม่ก็ยังกังวลเสมอว่าเราจะสามารถให้นมแม่อย่างเดียวไปจนครบหกเดือนได้หรือ เปล่า ลูกทานนมถี่มาก (พ่อกับแม่มารู้ทีหลังเมื่อลูกอายุ 3 เดือนว่าหนูมีปัญหาลิ้นติดเล็กน้อย) ช่วงสองสามเดือนแรก ลูกแทบจะทานนมตลอดเวลาที่ตื่น (แถมหนูยังเป็นเด็กนอนน้อยอีกต่างหาก) จนเมื่อเริ่มต้นเดือนที่ 4 จึงเริ่มเว้นระยะห่างบ้างแต่ก็ไม่นานนัก ถ้าจะยึดตามสูตรว่าต้องกินทุกกี่ชั่วโมง แม่คงกลุ้มใจแย่แน่ๆ โชคดีที่พยายามลืมคำแนะนำในหนังสือคู่มือเลี้ยงลูกไปเสีย และปล่อยให้ธรรมชาติของลูกเป็นคนบอกแทน
แล้ว เราก็ผ่านช่วงหกเดือนมาด้วยดี เมื่อลูกเริ่มทานอาหารเสริมแล้ว ต่อมาเราถึงรู้ว่าหนูแพ้นมวัวอย่างรุนแรง (หลังจากที่เคยลองป้อนอาหารเสริมสำเร็จรูป และหนูอาเจียนไม่หยุด กับมีผื่นลมพิษขึ้นทั่วตัว) ลูกแพ้นมวัวรุนแรงถึงขนาดที่แค่สัมผัสโดนคราบนมที่แห้งแล้วก็มีลมพิษขึ้น ทันที (ส่วนเรื่องกินนมและผลิตภัณฑ์จากนมนั้นลืมไปได้เลย) แม่จึงต้องหลีกเลี่ยงนมและอาหารที่มีส่วนผสมของนมและผลิตภัณฑ์จากนมทุกชนิด ด้วย อะไรที่ลูกทานไม่ได้ แม่ก็ทานไม่ได้ด้วย ไม่งั้นจะเห็นผลทันทีในอีกไม่กี่ชั่วโมงต่อมาหลังจากที่หนูทานนมแม่ แม่รู้สึกดีใจและนึกขอบคุณที่เรา (พ่อกับแม่) ได้ความพยายามฝ่าฟันอุปสรรคให้นมแม่มาจนสำเร็จ ไม่อย่างนั้น คงต้องมีปัญหาอื่นๆ ตามมาอีกมาก
การ ให้นมลูกด้วยตนเองและเลี้ยงลูกเอง ทำให้แม่รู้จักอารมณ์ความรู้สึกของลูกเป็นอย่างดี ขณะเดียวกันก็คิดว่าลูกก็รับรู้ถึงความรู้สึกแม่ดีด้วย จำได้ว่าตอนที่จะหย่านมกลางคืนเมื่อหนูอายุได้ขวบกว่านั้น แม่บอกลูกก่อนล่วงหน้าสักสี่ห้าวัน พอถึงวันที่เริ่มหย่านมจริงๆ เมื่อถึงเที่ยงคืนที่หนูมักจะตื่นมาร้องกินนม หนูกลับแค่ร้องโยเยเบาๆ แต่ไม่มีคำว่า “แม่...กินนม” ออกจากปากหนูเลย หนูเป็นเด็กที่เข้มแข็งมาก แม่อุ้มหนู ร้องเพลงกล่อมจนหนูหลับไปในที่สุด ลูกตื่นร้องงอแงอยู่สัก 3-4 วัน ก็อดนมกลางคืนได้
จาก ความไม่มั่นใจที่ว่าจะไม่สามารถให้นมลูกได้ครบหกเดือน กลายเป็นความกังวลว่าลูกจะไม่ยอมเลิกดูดนมแม่ เพราะหนูอายุ 3 ขวบกว่าแล้ว แต่ยังติดนมแม่อยู่เหมือนเดิม (แม้จะกินแค่สองเวลาคือก่อนนอนกลางวัน กับก่อนนอนกลางคืน จนในที่สุดลดลงเหลือแค่มื้อก่อนนอนกลางคืนก็ตาม) พอแม่เปรยๆ เรื่องเลิกนม ลูกก็พูดด้วยความมั่นใจว่าหนูจะกินนมแม่ตลอดไป
ช่วง หลังๆ ลูกเริ่มบ่นอยากมีน้อง อยากให้น้องมาเกิด แล้วเลยคิดเอาเองว่าถ้ายังกินนมแม่ น้องก็จะไม่มีนมกิน กับหนูเริ่มรู้สึกสงสารแม่ เพราะนมแม่เหลือน้อยมากๆ จนเมื่อลูกดูดทีไร แม่ก็ร้องเจ็บทุกที มีอยู่วันหนึ่งลูกบอกกับแม่ว่า “หนูจะไม่ดูดนมแม่แล้ว จะเก็บไว้ให้น้อง น้องจะได้มาเกิด” แม่ยังเถียงว่าไม่จริงหรอก เดี๋ยวถึงเวลาหนูก็มาดูด แต่ลูกยังยืนยันคำเดิมว่า “หนูพูดจริงๆ หนูจะไม่ดูดแล้ว” คืนนั้นลูกไม่ดูดนมแม่จริงๆ แม่รู้ว่าลูกต้องหักห้ามใจอย่างมากแต่ก็ยังอดทน ลูกร้องไห้กระซิกและกระสับกระส่ายอยู่พักหนึ่งแล้วก็หลับไป ลูกทนอยู่เกือบอาทิตย์แล้วก็เลิกนมได้ จำได้ว่าเมื่อเลิกได้สักสามสี่วัน แม่ถามเรื่องนมแม่ ลูกตอบว่า “หนูคิดถึงนมแม่ตลอดเวลาเลย คิดถึงอยากกินมากๆ แต่หนูอดทนไม่กิน” คำตอบนี้ทำเอาแม่น้ำตาซึม
ลูก เลิกนมแม่เมื่ออายุได้ 3 ขวบ 7 เดือน ถึงตอนนี้ก็ผ่านมาเกินครึ่งปีแล้ว เวลานอนลูกจะต้องกอดแขนแม่ไว้ ไม่ได้ร้องกินนม แต่ก็เอ่ยถึงบ้างในบางโอกาส เช่นว่าถ้าน้องมาเกิดแล้ว หนูจะขอน้องชิมนมแม่บ้าง เมื่อคิดย้อนกลับไป แม่ยังรู้สึกเหมือนว่าเมื่อวานนี้เองที่ลูกยังเป็นทารกเล็กๆ ที่ร้องดูดนมแม่อยู่ตลอดเวลาโดยไม่ยอมให้แม่ขยับตัวไปทางไหนเลย และแม่ก็ให้นมไปด้วยความไม่มั่นใจในตัวเองว่าให้ถูกท่าหรือเปล่า ลูกดูดได้นมเต็มที่หรือเปล่า ลูกจะอิ่มไหม นมจะมีพอไหม ฯลฯ แต่วันเวลาก็ผ่านมาแล้วถึงวันนี้ และทิ้งไว้แต่ความทรงจำอันล้ำค่าที่หวนนึกเมื่อใดก็รู้สึกเต็มตื้นในหัวใจ เมื่อนั้น และมันคงเป็นประสบการณ์พิเศษสุดที่ไม่มีสิ่งใดมาทดแทนได้เลย