10 สิงหาคม 2552 01:40 น.
ลุงเอง
กายกับใจมนุษย์นี้ พิกล
วันหนึ่งละล่องหน กี่ครั้ง
ไปทั่วปฐพีดล อาจนับ ได้ฤๅ
กายหยุดใจไม่ยั้ง หลับแล้วใฝ่ฝัน
0 ส่วนกายนั้นเล่าเฝ้า กฎเกณฑ์
ไม่หลบหลีกเอียงเอน แน่แท้
ถือหลักเรื่องตายเป็น แก่เจ็บ ไว้แล
ใจจะจัดการแก้ กฎนี้หมดหวัง
0 กายแก่เจ็บแน่แท้ ของจริง
ไม่เลือกว่าชายหญิง ทราบไว้
ใจมักจะประวิง ขอผ่อน ผันนา
กายไม่ยอมผ่อนให้ กฎนี้ของขลัง
0 ดูกายใจถ่องแท้ ขบขัน
วิวาททุ่มเถียงกัน ทุกมื้อ
นับแต่เกิดถึงวัน แดกดับ ชีพแฮ
ต่างฝ่ายต่างดุดื้อ แข็งข้อพอดู
0 กายกับใจไม่ให้ อภัยกัน
กายเร่งรีบผายผัน มิดม้วย
แก่เจ็บตายทุกวัน ใจไม่ แก่แฮ
ทั้งไม่เจ็บตายด้วย ร่วมรู้กับกาย
0 กายกับใจลักษณ์คล้าย ผัวเมีย
ร่วมสมัครรักคลอเคลีย ดับด้วย
แล้วค่อยจืดจางเพลีย เหินห่าง กันแล
เจ็บแก่แลชีพม้วย บ่ายหน้าเบือนหนี
9 สิงหาคม 2552 10:06 น.
ลุงเอง
* แม่เป็นดิน ที่ให้ไม้หยั่งราก
ให้ฝังฝากต้นอ่นอ้อนไฉน
คอยระแวดระวังทุกกิ่งใบ
แม้เติบใหญ่ลิมดินก็ยินดี
* แม่เป็นน้ำ ฉ่ำชื่นระรื่นใส
คือน้ำใจอุทิศมิหน่ายหนี
กษีรในกายแม่ยอมพลี
ลุกราคีแม่ร่ำแต่น้ำตา
* แม่เป็นลม พรมไล้ให้คลายร้อน
ทุกคำสอนลมปากฝากคุณค่า
คำของแม่พัดผ่านกาลเวลา
แม้เหนื่อยล้าแม่ทนจนสิ้นลม
* แม่คือไฟ ให้แสงแรงชีวิต
ช่วยส่องทิศส่องทางสว่างสม
แม้ลูกเป็นคนดีแม่ภิรมณ์
เฝ้าชื่นชมจนกว่าจะมอดไฟ
* แม่คือดิน น้ำ ลม ไฟ ในวันนี้
ธาตุทั้งสีสร้างชัวิตลูกสดใส
จงทำดีมีศีลธรรมประจำใจ
แม่สุขใจเห็นลูกเป็นดี
* ทุกทุกวันนั้นหรือคือวันแม่
ใช่เพียงแต่ สิบสอง หมองราศี
วันเราเกิดแม่ยอมเสี่ยงชีวี
เราต้องมี "วันแม่" ที่ในใจ
8 สิงหาคม 2552 15:05 น.
ลุงเอง
* มองฟ้าหม่นเมฆครึ้มอึมครึมทั่ว
ฟ้าสลัวดับแสงแรงอาทิตย์
เสียงนกกาเคยร้องต้องเงียบกริบ
ทั่วทุกทิศสงบไร้แรงลม
* สายฝนหยาดจากฟ้ามาสู่ดิน
กลิ่นธรณินหอมกรุ่นเคล้าผสม
พฤกษาชื่นระรื่นสราญรมณ์
วสันต์พรมสมเป็นช่วงฤดู
* น้ำจากฟ้าหลั่งมาพาชื่นจิต
ชุบชีวิตชาวนาไม่อดสู
ต้นโพสพลู่ต่ำสายฝนพรู
สายนทีใหลสู่แม่คงคา
* คราฝนซาฟ้างามกระจ่างสวย
ปลายฟ้าด้วยรุ้งงามชวนฝันหา
เป็นวงโค้งชวนพิศติดตรึงตรา
น้ำจากฟ้าให้โลกสุขสมจินต์
* สุรสีห์ทอแสงแรงอบอุ่น
ชั่งหอมกรุ่นไอดินสมถวิล
เป็นไอหมอกลอยจากธรณิน
กลับสู่ถิ่นที่มาฟากฟ้างาม
* เปรียบประดุจชีวิตไม่สิ้นสุด
เป็นเพียงหยุดเพื่อรอกรรมต่อสาน
วัฏจักรเกิดตายเป็นเพียงนาม
ไม่พ้นสามโลกเวียนเปลี่ยนมาแทน
* โลกียะไม่ละสร้างกรรมต่อ
ยังไม่พอสมบัติที่หวงแหน
ทั้งลูกเมียคนรักยังติดแน่น
ให้เคืองแค้นแน่นยึดคือ "อัตตา"
* โลกุตตระ" ทิ้งละในสังขาร
ตัดบ่วงมารข้ามภพสิ้นห่วงหา
เป็นเส้นทางให้ข้ามสู่มรรคา
ไม่ต้องมาเวียนว่าย "ตายเกิด"กัน
7 สิงหาคม 2552 15:45 น.
ลุงเอง
บทที่ ๓
0 จึงรีบกลับไปเสนอ โกลิตะเพื่อนเกลอ
ได้ทราบได้ซึ้งหมัย
0 ไปหาอาจารย์สัญชัย บอกข่าวบัดใจ
ว่าพระพุทธเจ้าบังเกิด
0 เรารีบไปเฝ้ากันเถิด คงสุดประเสริฐ
ยิ่งกว่าลัทธิอาจารย์
0 ชี้แจงความไร้แก่นสาร ลัทธิของท่าน
ด้วยจิตบริสุทธิ์แจ่มใส
0 แต่ท่านอาจารย์สัญชัย กล่าวปฏิเสธไป
ซ้ำได้ถามข้าฯ ดังนี้
0 ในโลกนี้จะยังมี คนฉลาดพูนพี
หรือคนโง่มากกว่ากัน
0 ข้าพระองค์จึงตอบโดยพลัน คนโง่มากครัน
คนฉลาดมีน้อยนักหนา
0 อาจารย์สัญชัยบอกว่า คนโง่มากกว่า
จงมาหาเราที่นี่
0 คนฉลาดเจ้าจงจรลี เจ้ารีบไปซี
ที่สมณโคดม
0 ข้าพระองคืทั้งสองประนม น้อมศิระบังคม
อ้อนวอนอาจารย์สัญชัย
0 ท่านก็ปฏิเสธต่อไป มิโอนอ่อนใจ
มิไปเฝ้าพระศาสดา
7 สิงหาคม 2552 08:30 น.
ลุงเอง
* ก่อนที่จะบรรพชา ตามกิจจามิระวัง
เป็นหนุ่ม บ่ยับยั้ง ยังเที่ยวเร่รอนไป
* หากใครบรรลุธรรมพลัน ก่อนอีกคนนั้น
ขอให้รีบแจ้งแสดงความ
* วันหนึ่งอุปติสสะนาม เดินทางไปตาม
สกลบถเพื่อบูชายัญ
* ได้พบอาจารย์ทรงธรรม์ อัสสชิผู้นั้น
มีจิตเลื่อมใสศรัทธา
* ทั้งเห็นอากัปกิริยา งดงามหนักหนา
จึงเข้าไปหาอาจารย์
* ขอฟังธรรมะจากท่าน พระผู้ทรงญาณ
เทศนาธรรมจับใจ
* อุปติสสะฟังเลื่อมใส เกิดปัญญาไว
เห็นแจ้งพระธรรมล้ำเลิศ
ลฯล