17 มกราคม 2547 17:43 น.
ลึกลึก
หลายปีก่อนผมได้มีโอกาสไปศึกษาที่ประเทศอเมริกา เนื่องจากเกรงใจทางบ้านที่ส่งเสียผมมาตลอด จึงใช้เวลาว่างเท่าที่มีทำงานเก็บเงินเพื่อจะได้สนองความต้องการตัวเองโดยไม่ต้องพึ่งทางบ้านเด็กที่ไปเรียนนอกโดยธรรมชาติจะจับกลุ่ม กลุ่มใครกลุ่มมันขึ้นอยู่กับ way of life หรือ life-style เช่นว่ามีเงินเหลือให้ผลานมากพอๆกัน ก็อยู่กลุ่มเดียวกัน หรือชอบธรรมชาติเหมือกัน ชอบศึกษาห้างสรรพสินค้าเหมือนกัน (กลุ่มนี้พอจบกลับมานึกว่าจะมาเปิดห้าง แต่เห็นมาศึกษาห้างเมืองไทยต่อ คงเป็นการศึกษาต่อเนื่อง ประมาณนั้น) บ้างก็ชอบเล่นกีฬาเหมือนกัน บางกลุ่มก็ลงเรียนวิชาเดียวกัน ก็ช่วยกันอ่านช่วยกันเรียน ส่วนประเภทของผมไม่ค่อยติดเป็นกลุ่มเพราะแยกกันดังชะมากกว่า เราเรียกประเภทนี้ว่า ประเภทเห็นแก่เงินครับ ทำงานไว้ก่อน พอมีเวลาว่างก็ไปแจมกลุ่มนั้นกลุ่มนี้ ตอนนั้น แฟนผมก็ไปด้วยแต่เธอเป็นลูกคนมีตังค์ งานนอกเวลาเรียนจึงไม่จำเป็นนัก เนื่องจากไม่ค่อยมีเวลาให้เธอมากนักหรือเป็นเพราะเธอมีเวลาเหลือมากเกินไป เหมือนนักเรียนนอกคนอื่นๆ ซึ่งก็คือเพื่อนๆผมนั่นเอง เธอก็เลยเปลี่ยนฐานะจากแฟนผมไปเป็นแฟนเพื่อนซะ คือเค้าคงอยู่กลุ่มเดียวกัน จำได้ว่าตอนนั้นแย่ไปเหมือนกัน แต่พอทำงานมากๆเข้า ไม่มีเวลาอยู่ว่างๆ ให้คิดมาก ก็ทำให้พอใช้ชีวิตไปได้กระท่อนกระแท่น
ขณะที่เรียนอยู่ที่นั่นได้ เกือบปี ก็ได้มีโอกาสรู้จักน้องคนนึงเข้าพอดีเค้าไปเรียนพร้อมเพื่อนผมคนนึงซึ่งอยู่กลุ่มเดียวกัน แต่เค้าเรียนคนละที่กับผมนะ ห่างกันเกือบสองร้อยไมล์ ตอนเห็นน้องเค้าครังแรกก็ปิ้งเลย รู้สึกได้เลยว่า สดชื่น ความหมายของคำว่า น้ำหล่อเลี้ยงชีวิต กระจ่างชัดขึ้นทันที ทั้งๆที่ตัวเองไม่ค่อยมีเวลาอยู่แล้ว ยังสามารถขับรถไปหาน้องเค้าซึ่งเรียนอยู่อีกเมือง ต้องขับรถประมาณ สามชั่วโมง ไปกลับก็ปาเข้าไปหกชั่วโมง หนักๆเข้าบางอาทิตย์ไปเช่าโรงแรมนอนที่นั่นเลย เราก็ฟอร์มประมาณว่าไปหาเพื่อนเรา อ้อลืมไปเพื่อนเราที่ว่าเนี่ยเป็นผู้หญิงด้วย ที่แย่ก็คือเพื่อนเราดันนึกว่าเราจีบ กว่าจะคุยกันรู้เรื่องหนะโลกเกือบเบี้ยวเลย ส่วนน้องเค้าพอรู้ว่าเราชอบก็ไม่ถึงกับปิดกั้นอะไร แต่เธอกลับเล่าอะไรให้ผมฟังอย่างนึง
คือทางบ้านเธอเชื่อหมอดูมาก ก่อนมาเรียนต่อเนี่ย แน่นอนต้องดูหมอมาก่อน (จริงๆต้องเรียกว่า ไปให้หมอดู ดู จริงมะ ถ้าไปดูหมอเนี่ย ไปถึงมองหมอแวบนึง แล้วต้องกลับเลย อย่านะ หมอ อย่าหันมา อย่าดูหนู เพราะหนูมาดูหมอ ประมาณนี้นะ) เรื่องก็คือ หมอดูบอกว่า ระหว่างที่เรียน ห้ามมีแฟน คนที่จะมาจีบเนี่ยะน่ากลัวมาก เป็น เสือผู้หญิง (เสือผู้หญิงเนี่ยนะ เป็นเสือประเภทไหนก็ไม่รู้ สงสัยเป็นเสือตัวเมีย ก็ไม่ไช่เสือผู้ชายนี่ เสือสมิงรึปล่าวก็ไม่รู้ เอาหละ เป็นอันว่าใครอย่ามาจีบหล่อยเชียว เอ็งต้องเป็นเสือกระเทยแน่ นอกจากว่าเอ็งจะเป็นทอม) น่ากลัวมาก มีโอกาศถูกฟันแล้วทิ้ง ( ผมว่าหมอดูพูดผิด เพราะผมหาไอ้เสีอฟันแล้วทิ้งอยู่นาน พึ่งมาเจอตอนกลับมาเมืองไทยแล้ว เห็นว่าชื่อหมอวิสุทธิ์อะไรนี่แหละ ที่แกฟันแฟนแกเป็นชิ้นเลย แฟนแกก็อยู่กลุ่มเดียวกันคือกลุ่มหมอ ต่อมาคนที่มาช่วยไขคดีก็เป็นหมอเหมือนกัน หมอคนนี้สงสัยชอบ ร๊อด สต๊วด ไว้ผมประมาณนั้น ไม่รู้ไอ้กลุ่มหมอนี่ยังงัยทะเลาะกันจัง) ด้วยความมั่นใจในตัวเองว่าถูกอบรมมาดีพอ พ่อ แม่ก็เป็นคนแล้วเราจะเป็นเสือได้งัย คนที่มาจีบน้องเค้าก็ออกเยอะคงเป็นคนอื่นแนะ ด้วยความเป็นสุภาพบุรุษ ก็ต้องช่วยดูแลสุภาพสตรีอยู่แล้ว ก็คบกันไปเรื่อย จนกลุ่มเธอตัดสินใจย้ายมาเรียนที่เดียวกับผม (บอกแล้วไอ้กลุ่มเดียวกันเนี่ย คิดและทำเป็นสามัคคีเสมอ) เนื่องจากอยู่มานานกว่า ก็จะรู้ว่าจะหาที่พักยังงัย กินนอนยังงัย ซื้อของที่ไหนถูก ก็มีโอกาสใกล้ชิดมากขึ้น สิบเดือนผ่านไปเร็วเหมือนโกหก (ถ้าเป็นโกสี่ หรือโกห้าเนี่ยะ จะช้าหน่อย ใช้กับ สามถึง สี่เดือน) ผมเรียนจบและเราเป็น แฟนกัน
ผมกลับมาบ้านด้วยหัวใจถวิลหา ไม่มีสักชั่วโมงที่สติตื่นอยู่โดยไม่คิดถึง ความสุขที่เคยมีกลายเป็นความทรมาน นี่ไม่ได้เว่อร์นะ เป็นงั้นจริงๆ ไอ้เพลงที่ถึงพิจรณาว่าน้ำเน่านั่นหนะ ถึงอารมณ์ดีนักหละ วันไหนดูหนังเศร้านะ ยิ่งไปกันใหญ่ นึกไปถึงครั้งที่อกหักก็ยังไม่เศร้าเท่า หรือเป็นเพราะตอนนั้นเราไม่มีเวลาว่างนัก ก็เลยรีบหางานทำสิเผื่อว่าถ้ายุ่งๆจะหายคิดถึงงัย ก็ได้ทำงานในบริษัทต่างชาติแห่งหนึ่ง ดีเลยงานยุ่งดีต้องโทรติดต่อต่างประเทศบ่อยๆ เวลาทำงานเกือบไม่พอ ทำจนค่ำทุกวัน จะทำทันได้งัย ก็วันๆใช้โทรศัพท์บริษัทโทรทางไกลไปคุยกับแฟน วันๆเป็นชั่วโมง พอเช้ามาก็โทรเลย เก้าโมงเรา ก็สามทุ่มทางโน้น พอดีเลย เจ้านายเห็นก็คิดว่าเราขยันสิ คุยโทรศัพท์ยุ่งทั้งวัน เลิกงานเย็น ยังไม่สองเดือนเลย พ้นโปรแล้ว เรื่องมาแย่ลงตรงที่ พอหลังๆโทรไปแล้วเธอไม่ค่อยอยู่บ้าน อ้างว่าไปติวหนังสือกับเพื่อน หลายวันที่ผมโทรไปตอนเที่ยงซึ่งตรงกับเที่ยงคืนที่นั่น (เจ้านายยิ่งชื่นชม ขนาดเที่ยงยังไม่พักเลย) ต่อมายิ่งหนักขึ้นเพราะบางวันเธอไม่กลับบ้านเลย ทีนี้ยิ่งเศร้าหนักเลย คิดไปต่างๆนาๆ(อั่นแน่ คิดอะไรอยู่ครับ ไอ้ต่างๆนาๆของผมเนี่ย น่าสงสัยไช่มั๊ย) ใครจะไม่คิดได้หละ ถ้าใครเคยต้องอยู่หอพักตอนเรียนมหาลัยจะเข้าใจ คือการไม่กลับห้องตอนช่วงสอบเนี่ยเป็นเรื่องธรรมดาเลย เพราะต้องติวกันมาก แล้วตอนกลางคืนหนะไม่ค่อยมีสิ่งที่จะมาทำให้เสียสมาธิ แต่ก็ทั้งรู้นะ ก็คิดมากอยู่ดี เธอก็บอกนะว่าวันไหนจะไปไหน แต่ผมก็ทุกข์ใจอยู่ดี ผมลางานเลย บินไปหาเลย เจ้านายก็อนุญาติสิเพราะเห็นเราขยันมาตลอดกลัวเราเครียดเกินไป คงสังเกตุเห็นว่าพักหลังหน้าตาเศร้าหมองไป
พอบินไปหาทุกอย่างก็สดใสขึ้น ทำให้มีกำลังใจกลับมาทำงานต่อไป แล้วประวัติศาสตร์ก็ซ้ำรอยเมื่อเธอต้องสอบอีกครั้ง ผมเองก็กลัวว่าเธอจะรำคาน ก็เลยไม่พยายามกวนใจเธอ พยายามใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ ชวนเพื่อนที่ทำงานเล่นกีฬาตอนเย็นๆ ไปตีเทนนิสบ้าง แบ็ตบ้าง ก็พอทุเลา ช่วงแรกๆกลุ่มก็ข้อนข้างใหญ่ แบบว่า การเล่นกีฬาเนี่ยฟังดูดีนะ เพื่อสุขภาพงัย แต่ก็อย่างที่รู้นะ นิสัยเนี่ยะสำคัญกว่า เพราะถ้าไม่ได้ชอบจริง ไปเล่นได้ไม่กี่ครั้งก็ไม่ไปแล้ว คนที่ไปเล่นกีฬาได้ตลอดมีสองประเภท ประเภทที่หนึ่งคือชอบออกกำลัง ชอบเล่นกีฬา อีกประเภทคือมี something คือมีจุดประสงค์แฝง อย่างเช่น อยากลืมเรื่องทุกข์ใจ(นั่นเป็นเหตุผลของผม) หรือแอบปิ้งคนที่เล่นกีฬาด้วยกัน(นั่นคือเหตุผลของเธอ(อีกคน)) ต่อมาไม่นานกลุ่มก็เล็กลงจนเหลือคนเพียงประเภทเดียว คือพวกมีจุดประสงค์แฝงงัย คือเหลืออยู่สองคน ต่อมาก็ได้รู้ว่าเธอแอบชอบผมมานาน คอยเอาใจไปหมด เอาไปหมดจริงมั๊ย คงไม่หรอก เพียงรู้ว่าเราจะไม่เหงาถ้าไม่รีบกลับบ้าน ก็แค่นั้น ทีนี้ด้วยความบริสุทธิ์ใจเราก็เล่าให้แฟนเราฟัง แล้วเธอก็หึง แล้วเธอก็เริ่มมีเรื่องของเธอมาเล่าให้เราฟัง แล้วเราก็ทะเลาะกัน ทีนี้มันยากนะจะง้อกันข้ามทวีปเนี่ย ในที่สุดเราก็เลิกกัน เธอกลายเป็นแฟนของติวเตอร์คนนั้น ส่วนผมเป็น เสือผู้ชาย
17 มกราคม 2547 17:42 น.
ลึกลึก
เอาเป็นว่าตอนมัธยม ผมก็เคยเห็นพี่เค้าหลายครั้ง
และได้พูดคุยกันก็หลายหน
คุยไปคุยมาจนเปปน
คุยหลายหนจำได้คล้ายจะมั่นใจ พอก่อนครับเขียนเรื่องสั้นต่อดีกว่า กลอนเอาไว้ทีหลัง
ครับ จากนั้นพี่เค้าก็จบไป ปีต่อมาผมก็จบบ้าง ผมก็มีชีวิตที่ดีขึ้นเมื่อไม่เจอพี่เค้า. จริงๆ ไม่เกี่ยวนะครับ การไม่เจอพี่ทอ๊ปกับชีวิตที่ดีขึ้น ผมเรียนในระดับอุดมศึกษา ทำงานหาประสบการณ์เล็กน้อยก่อนไปเรียนต่อ วันนึงขณะลงทะเบียนเทอมที่สองเสร็จ ผมเดินออกมาหน้าตึก จำได้ว่าอากาศวันนั้นหนาวมาก ผู้คนใส่เสื้อหนาวตัวหนาๆ กันทั้งนั้น ผมเดินมาถึงรถ ก็ได้ยินเสียงแว่วๆ เรียกน้อง ๆ พยายามหันมองก็ไม่เห็นมีใคร ก็ขับรถออกไป นึกในใจตะหงิด ตงิด ก็มองดูกระจกหลัง เผื่อว่าจะเจอใคร แม้ว่ากระจกจะมีฝ้าพอควร ทำให้เห็นภายนอกไม่ชัดนัก ผมก็สังเกตุเห็นสิ่งที่ไม่ได้เห็นมานาน นั่นมัน ท่า Dynamic Slam Dunk หรือชื่อภาษาไทยว่า ทะยานเวหายัดห่วงนี่หน่า น้ำหนักของเสื้อหนาวคงจะมาก เลยทำให้การกระโดดที่เคยสูง สี่นิ้ว บัดนี้เหลือเพียง ครึ่งนิ้วเท่านั่น แต่ลีลาพริ้งไหวยังสง่างามเหมือนเดิม ต้องเป็นพี่ท๊อปชัวร์ นี่พี่ทอ๊ปลงทุนใช้ท่านี้ในการกระโดดกวักมือเรียกผมเลยหรือนี่ ผมรีบใส่เกียร์ถอยหลัง เหยียบคันเร่งด้วยเกรงว่าแกจะกระโดดไม่ได้เกินอีก สามครั้งเป็นแน่ ผมไม่กังวลนักหรอกว่าจะถอยไปชนแกเข้าเพราะเชื่อว่าความแข็งแรงบึกบึนนั้นคงทานทนได้ แล้วเราก็ได้เจอกันอีก เออนี่ชีวิตผมต่อไปจะดีเหมือนเดิมมั๊ยนะ
ครับพี่ทอ๊ปได้มีโอกาศมาเรียนในสถาบันเดียวกับผมอีกเป็นครั้งที่สอง แต่ครั้งนี้แตกต่างกันครับ คราวนี้ผมเป็น รุ่นพี่ เราใช้ชีวิตคล้ายๆกัน เรียนรอบค่ำ ทำงานตอนกลางวัน ตอนค่ำก็ทำงาน(วันที่ไม่มีเรียนหนะครับ) บางคนว่าเราเป็นพวกเห็นแก่เงิน จริงๆก็เป็นเช่นนั้น แต่ที่แฝงอยู่ในเบื้องลึก เราคิดอยู่เสมอว่า เราควรช่วยกันลดภาระทางครอบครัว และช่วยเศรฐกิจของชาติไปพร้อมๆกัน ข้อนี้เป็นเหตุผลหลักครับ ผมมั่นใจว่าเป็นงั้น
เมื่อมีเวลาคุยกันเราก็ทุกเรื่องหละครับ บางเรื่องถ้าอยู่เมื่องไทยคงไม่เล่าให้ใครฟัง แต่อยู่ที่นั่นเล่าหมดหละครับ ลองคิดดูนะครับ ถ้าคุณติดเกาะกับใครซักคน คุณจะเล่าอะไรฟังกันบ้าง หรือเกิดติดคุกกับคนซักคนต้องอยู่กับคนที่ไม่เคยรู้จัก ในที่สุดก็ไม่มีความลับระหว่างเรา แม้แต่เรื่องผู้หญิง สแป็คผมเป็นอย่างไร พี่เค้าก็รู้หมด เช่นกันครับพี่เค้าชอบแบบไหน ผิวสีอะไร สูงต่ำดำลาวยังงัย เอ้ยยย ขาวยังงัย ผมก็เข้าใจดี
ด้วยความตั้งใจมั่นของพี่ท๊อปนะครับ ว่า อย่างไรเสียจะต้องหาแฟนให้จงได้ระหว่างที่เรียนอยู่ในดินแดนแห่งเสรีนี้ น้องๆสาวๆที่มาเรียนในเทอมเดียวกับพี่ทอ๊ป กลายเป็นเป้าหมายแรกๆของแก ส่วนใหญ่แล้วพวกที่มาเรียนต่อเมืองนอกนี่จะเป็นพวกที่พึ่งจบครับ จบตรีจากกรุงเทพ แล้วก็มาต่อกันเลย ไอ้ที่จะทำงานหาประสบการณ์ก่อนนั้น ไม่ค่อยมี ความจริงแล้วผมว่าข้อนข้างจำเป็นทีเดียว เพราะในบทเรียนจะสอดแทรกหลักที่สามารถนำไปใช้จริงในการทำงานเพราะฉะนั้นหากเคยทำงานมาก็สามารถมองภาพรวมออกทำให้เข้าใจมากขึ้น สำหรับพี่ทอ๊ป ในเมื่อเป็นรุ่นพี่มีประสบการณ์ก็น่าจะมีภาษีดีกว่าหละ สามารถแนะนำน้องๆได้ถึงเวลาติว ก็สบายมีน้องๆมาคอยเอาใจ สาวนางหนึ่งที่พี่ทอ๊ปปักใจรักคือ น้องปูครับ น้องปูเป็นคนช่างเอาใจครับ เรียกว่าน้ำถึงขนมถึง กริยาน่ารัก อ่อนหวาน ที่พิเศษสุดคือน้องปูตัดผมเป็น เห็นว่าครอบครัวมีร้านตัดผมอยู่กรุงเทพนี่หละ พูดถึงการตัดผม ที่นู่นแพงมากครับ แต่ละครั้งประมาณ 10 เหรียญ เป็นอย่างต่ำ เมื่อข่าวแพร่ออกไปในสังคมนักเรียนไทย น้องปูจึงเป็นผู้หญิงที่มีเพื่อนมาคนหนึ่ง ใครอยากตัดผมก็โทรมานัดเธอซะ ซื้อข้าวซื้อขนมมากำนัลซะหน่อย พอเป็นพิธี แต่น้องปูก็เล่นตัวใช้ได้นะครับ คืออารมณ์ไม่ได้ ก็ไม่รับนัด บอกว่าถ้าฝืนอารมณ์ผมก็อาจแห่วงได้ ดูทุกคนเข้าใจเหตุผลดี เพราะไม่มีใครต่อล้อต่อเถียงเธอเลย
ที่พี่ท๊อป หมายมั่นปั้นมือ มีกำลังใจฟันฝ่าหนุ่มเล็กหนุ่มใหญ่ทั้งหลายก็เพราะ แกคิดเสมอว่าแกเป็นคนพิเศษครับ โทรนัดทีไร น้องปูไม่เคยปัดรับนัดทุกครั้ง บางครั้งติวหนังสือกันอยู่ เกิดอยากพักบ้างก็ชวนกันไปดูหนังฟังเพลง พี่ท๊อปเป็นคนใจใหญ่(เหมือนตัว)ครับ ออกไปเที่ยวพี่จะจ่ายตลอด ก็แหม รายได้จากงานบริกรที่นั่นก็พอตัวอยู่นะครับ เมื่อได้เงินมาง่ายจะมาประหยัดกับนางในดวงใจได้อย่างไร การเดินไปไหนมาไหนกับน้องปูบางครั้งทำให้คู่แข่งพี่ทอ๊ปเศร้าไปเหมือนกัน แต่ก็ไช่ว่าจะทุกครั้ง มีอยู่ครั้งคนเห็นคู่นี้เดินด้วยกันแล้วนึกว่าเลข10 เพราะน้องเค้าก็เพรียวเหลือเกิน เหมือนเลขหนึ่ง ส่วนพี่แกก็เหมือนเลขศูนย์ ก็เลยเอาไปแทงหวย ปรากฏว่าถูกครับ(โชคดีบนความทุกข็ของผู้อื่นรึปล่าว)
พี่ท๊อปก็พยายามทุกช่องทางหละครับที่จะหาข้อได้เปรียบทั้งหลายเพื่อมาบทบังร่างอันกำยำบึกบึน แต่ทว่างานนี้ใหญ่หลวงนัก ใหญ่จริงๆครับ ใหญ่มาก แกมารู้ภายหลังว่า น้องปูคิดว่าพี่ท๊อปดีเกินไป อยากคบเป็นพี่ชาย อะไรทำนองนั้นหนะครับ โลกเกือบแตก ต่อมาภายหลังของหลังเมื่อกี้ ก็เสือกรู้ว่า เค้าไม่ได้อยากคบเป็นพี่ชายหรอก เค้าอยากคบเป็นติวเตอร์เฉยๆ คราวนี้โลกแตกเลยครับ หลายคนคงเคยได้ข่าวแผ่นดินไหวที่ แอลเอ เมื่อหลายปีก่อน ถนนขาดหลายสาย ภูเขาถล่ม ตึกถล่มคนตายไปมาก อันนั้นไม่ได้เกิดจากปรากฏการณ์ธรรมชาตินะครับ แต่เป็นเพราะท่ากระโดดที่ถูกตั้งชื่อว่า ท๊อปไม่ยอม เป็นท่ายืนเท้าชิดพอประมาณ ย่อเข่าเล็กน้อย ถ่ายน้ำหนักก้นไปด้านหลังหน่อย ลำตัวเอนมาข้างหน้าเพื่อเพราะรักษาสมดุลย์ สองแขนงอพอประมาณ แขนส่วนบนแนบลำตัวไว้ มือสองข้างกำหลวมๆ ดูๆก็ยังไม่น่าอันตรายเท่าไหร่ครับ แต่ทีเด็ดอยู่ตรงการกะโดดถี่ๆ พร้อมเสียงออดอ้อนว่า ท๊อปไม่ยอม ๆๆๆๆๆๆๆๆ ประมาณสิบสามครั้ง น่าสงสารบุคคลที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ด้วย ต้องมาเสียชีวิตลงเป็นอันมาก พี่ท๊อปเองคงก็รู้ตัวครับ ต่อจากนั้นแกพยายามลดน้ำหนักอย่างมากไม่ค่อยกินอะไร จนในที่สุดแกก็ หุ่นดี
ไอ้หุ่นดีที่ว่านี่ ไม่ไช่ให้แกยืนซ้ายหันแล้วเปลี่ยน เลข 0 เป็น ตัว D นะครับ แกหุ่นดีจริงๆ อาจไม่ดีเหมือน อาโนลย์ คนเหล็ก แต่ก็จัดได้ว่าดีทีเดียว น้ำหนักจาก 95 ลดเหลือ เพียง 75 เท่านั้น คงต้องยกความดีความชอบให้น้องปูหละครับ นอกจากจะทำแกกินไม่ได้ นอนไม่หลับ ร้องไห้น้ำตาแทบเป็นสายเลือดแล้ว ยังเป็นต้นเหตุทำให้แกโดนหักเงินค่าแรงที่ไปเป็นบริกรตอนกะดึกอีกด้วย
ร้านอาหารฝรั่งโดยปกตินะครับ เวลาจัดโต๊ะจะต้องมี อุกรณ์ข้องข้างมาก คือมีมีด สองอัน สำหรับทาเนยกินขนมปัง อันนึง ส่วนอีกอัน ใช้ตอนจานหลัก ซ่อมอีกสองอัน ใช้ทานสลัดอันนึงอีกอันใช้ทานจากหลัก แก้ว สองใบ สำหรับ ไวน์และน้ำเปล่า (แก้วน้ำก็คล้ายแก้วไวน์หละครับแต่ก้านแก้วจะอ้วนกว่า ดูแข็งแรงกว่า และใส่น้ำได้มากกว่า) ผ้ากันเปื้อนหนึ่ง ผ้ารองจานหนึ่ง และมีจากขนมปังเล็กๆ อีกใบ โดยปกตินะครับคนจัดโต๊ะทุกคนจะสามารถนำอุปกรณ์ทั้งหมดสำหรับโต๊ะสี่ออกมาได้หมดในคราวเดียวโดยแถมผ้าปูโต๊ะอีกหนึ่งผืนโต๊ะสี่ก็หมายถึงโต๊ะสำหรับแขกสี่คนนั่นหละครับ ทำยังงัยเหรอ ? อันนี้ต้องลองนึกภาพตามนะครับ บรรดาผ้าปูโต๊ะและผ้ารองจานทั้งหมดห้าผืน ให้พาดไว้ที่แขนซ้าย มือซ้ายหงายและอ้า อ้านิ้วนะครับนิ้วมือซ้ายนั่นหละ นำแก้วไวน์สี่แก้วสอดไปตามง่ามในท่าคว่ำ หมายถึงคว่ำแก้วแต่หงายมืองัย คำอธิบายข้อนข้างล่อแหลมนะผมว่า ช่วยนึกในทางที่ดีหน่อยก็จะดีเอง ผ้ากันเปื้อนที่พับเป็นสามเหลี่ยมมุมฉากไว้แล้วนั้นวางซ้อนกันทับอยู่บนฐานแก้วไวน์ ตามด้วยจานขนนมปังซ้อนสี่ วางทับบนผ้ากันเปื้อนโดยมีนิ้วโป้งหนีบกดเอาไว้ ส่วนมือขวาก็ง่ายหน่อย คือเราต้องนำซิลเวอร์แวร์ใส่ไว้ในแก้วน้ำ ก็สี่ชิ้นต่อแก้วหนึ่งใบ แล้วก หงายมือขวาขึ้นแล้วสอดแก้วน้ำทั้งสี่เข้าไปในง่ามนิ้วทั้งสี่ ก็เป็นอันพร้อม พี่ท๊อปเป็นคนเดียวครับที่นำอุปกรณ์จัดโต๊ะออกมาสำหรับสองที่เท่านั้น ทั้งนี้เป็นเพราะนิ้วอันแข็งแกร่งอวบอูมของพี่ท๊อปจึงมีที่น้อยลงในการสอดแก้วแปดใบในง่ามนิ้ว นิ้วโป้งอันสั้นและยิ่งใหญ่ก็ไม่สามารถหนีบจานขนมปังทั้งสี่ได้หมด นอกจากอ้วนเกะกะแล้วยังต้องเดินมากกว่าคนอื่นสองเท่า ยังมีหน้าบ่นกับเจ้าของร้านว่าน่าจะได้ค่าแรงมากกว่าคนอื่นเพราะทำงานมากกว่า เค้าให้ทำก็ดีถมไปแล้ว แถมตอนกินก็กินมากกว่าคนอื่น
สิ่งที่เป็นทีเด็ดของพี่ท๊อปก็คืนงานที่ใช้ความใหญ่โตให้เป็นประโยชน์เท่านั้น นั่นก็คือ การเก็บจานจากที่ล้างไปยังที่เก็บจาน เนื่องจากจานขนมปังเป็นจานขนาดเล็กใหญ่กว่าฝ่ามือหน่อยนึง เวลาเก็บจานนี่เราจะซ้อนกันเป็นตั้งครับ ประมาณ สามสิบใบโดยยืดแขนให้ขนานกับลำตัวแล้วหงายฝ่ามือขึ้น เรียงจานให้เป็นตั้งขึ้นโดยให้จานพิงท่อนแขนไว้ พี่ท๊อปเป็นคนเดียวครับที่สามารถเรียงจานขึ้นจนสูงระดับหัวโดยใช้อวัยวะช่วยประคอง ตั้งแต่แขน ลำตัว หน้าอก ลำคอ และ แก้ม โอ้โห ฐานแกแน่นมาก เฟิมม์สุดสุด สติถิที่ทำไว้จนบัดนี้ยังไม่เคยมีใครทำลายได้ ห้าสิบสามใบครับ
แล้ววันนั้นก็มาถึง วันที่แกออกหักจากน้องปู วันนั้นช่างน่าเศร้านัก เนื่องจากอาการเหม่อลอยขาดสติในวันนั้นจานขนมปังห้าสิบใบก็มีอันต้องแตกกระจายไปพร้อมๆกันโดยมิได้นัดหมาย เหมือนจะย้ำเตือนถึงหัวใจที่แตกสลาย แกโดนปรับไปทั้งสิ้น สองร้อยเหรียญทยอยหักโดยใช้เวลาสองอาทิตย์ สองอาทิตย์นั้นพี่ท๊อปไม่มีเงินพอที่จะซื้อขนมหวานคู่ใจ ลอลี่ป๊อบกลิ่นสตอร์เบอรี่ เล่นเอาผอมเลยครับ
โชดดีจริงจริงที่ในวันที่จานแตก จานอีกสามใบถูกพบว่าไม่แตกในเศษซากจานขนมปัง แน่นอนหละจานสามใบนั้นเป็นตัวจุดประกายความหวังสู่สาวงามคนอื่นๆต่อไป นัยว่า จานห้าสิบสามใบไช่ว่าจะแตกหมดฉันได หัวใจที่สลายก็จะยับเยินทั้งหมดหาได้ไม่
หลังจากรักครั้งนั้นพลาดไป พี่ท๊อปได้พยายามใช้กลเม็ดต่อไป บัดนี้เค้าไม่ได้เป็นเด็กพึ่งเข้าอีกแล้ว อย่างน้อยก็เป็นรุ่นพี่ของเด็กที่พึ่งมาใหม่ตั้งครึ่งปี น่าจะมีข้อดีอะไรบ้าง แถมตอนนี้ก็หุ่นดีแล้วด้วย
เย็นแล้วพักก่อนนะจ๊ะ ไว้ว่างจะพล่ามต่อ โปรดติดตามอ่านต่อตอนต่อไป นะ ได้โปรดเถอะ