3 พฤศจิกายน 2547 16:32 น.
ลึกลึก
ไปไหนดีว๊ะไอ้ห่า เฮ้ย ช่วยคิดดิ เดี๋ยวคิดนานเกินไป เปิดเทอมพอดีมึง ผมถามเพื่อนๆด้วยความสุภาพ
ไอ้ปรีหันขวับมาทางผม มึงไม่เว่อไปหน่อยเหรอ นี่ยังสอบไม่เสร็จเลย ปิดเทอมยังไม่เริ่ม มึงจะให้เปิดเทอมแล้วเหรอ
กูว่าไม่พ้นที่เดิมหวะ แม่งมีอยู่สองที่ ถ้าเที่ยวเขา ก็ เมืองกานญ์ ถ้าทะเล ก็ พัทยา ไอ้เม้งพูดถึงไอเดียซ้ำซากที่ทำอยู่กันจนไม่ต้องคิดแล้ว ว่าจะ เดินทาง กิน อยู่กันอย่างไร เพราะไปกันบ่อยมากในทุกโอกาศ ไม่ว่าจะเป็น รับน้องใหม่ เพื่อนอกหัก พ่อด่า หนีออกจากบ้าน หนีเจ้าหนี้ หรือแม้กระทั่งโดดเรียน
นายเอนั่งมองเพื่อนๆ ด้วย สไตล์เก็กหล่อประจำตัว พร้อมกับเปล่งเสียงนุ่มลึก กูอยากไปไหนแปลกๆ เหมือนกัน เอาแบบที่มันพจญภัยหน่อย หรือไม่ก็ แบบธรรมชาติดิบ ๆ เลยหว่ะ
จะไหวเหรอ คุณชายอย่างมึงหงะ ไอ้เม้งย้อนทันทีที่ ชายเอพูดจบ
เฮ้ย ... ไหว ..ไหว นายเอยังทำเสียงนุ่มเนิบๆ อยู่ กูอยากไปแบบว่า นอนเต๊นท์ ก่อกองไฟ ดีดกีต้ากัน อะไรแบบนั้น ฟังดูเป็นงัยว๊ะ
ฟังดูแล้วรู้สึกว่าพวกเราคงติด F แน่ บ่ายนี้จะสอบแล้วเสีอกคุยแต่เรื่องเที่ยว ผมบอกเพี่อนๆ ด้วยความเป็นห่วง
ไอ้ห่า ใครเริ่มคุยว่ะเรื่องเที่ยวเนี่ย เพื่อนๆ บ่นขึ้นเกือบพร้อมกัน
อ้าว ก็ตอนนั้น กูกลัวมึงลืมคิดกัน ว่าจะไปเที่ยวไหน แต่ตอนนี้กูกลัวมึงจะลืมอ่านหนังสือ แล้วเดี๋ยวกูจะไม่มีคนให้ลอก ผมพยายามอธิบาย อย่างมีเหตุผลที่สุดเท่าที่จะทำได้ เอาเป็นว่า อ่านหนังสือกันก่อน แล้ว ให้ไอ้เอไปหามาเลยว่า จะไปไหน แบบหารายละเอียดมาให้ครบเลยงัย มันจะได้ไม่ว่าเราว่า พามันไปลำบาก ดีมั๊ย
ดี หว่ะ ไอ้ปรีกับไอ้เม้งรีรับคำ
สองสัปดาห์ต่อมา ไวเหมือนโกหก พวกเราสี่คนยืนอยู่หน้าขนส่งสายตะวันออก โดยมีรถของบิดานายเอมาส่งและพึ่งขับออกไป ข้างๆตัวมีสัมภาระที่นายเอบอกให้ทุกคนเตีรยมมา ไม่ว่าจะเป็น เต็นท์ กีต้า เสื้อผ้า หนังสือ และ มาม่า
เป็นงัยหละ เสือกโกหกพ่อว่าจะไปพัทยา กูว่าสงสัยต้องไปพัทยาจริงๆหละ คราวนี้ ไอปรีออกความเห็น
เอพูดพร้อมวางมากผู้ทรงภูมิ มึงนึกว่า ตะวันออกมีแค่พัทยาเหรองัยว่ะ กูจะบอกให้ ไอ้เกาะที่เราจะไปเนี่ย อยู่ระยองโว้ย
เกาะ มึงบ้ารึเปล่าว่า มาเที่ยวเกาะช่วงมรสุม นี่พวกกูวางใจคนผิดรึเปล่าว่ะ กูบอกแล้วให้ถามมันก่อนว่าจะไปไหน เสือกอยากเก็บไว้ตื่นเต้น เป็นงัยหละ คราวนี้ตื่นเต้นแน่เลย กูว่าเปลี่ยนที่ไปก็ยังไม่สายนะโว้ย ไอ้เม้งรีบเบรก
เฮ้ย ไอ้เอรีบใช้สิทธิพาดพิง แต่เสียงยังนุ่มเนิบเหมือนเดิม กูดูมาดีแล้ว เค้าบอกว่าเหมาะไปช่วงปิดเทอม
กูว่าเค้าหมายถึงปิดเทอมหน้าร้อนมากกว่านะ ผมพูดขึ้นบ้าง
กูว่าไปได้ เชื่อกูเหอะ กูเห็นในรูปแม่งสวยจริง ๆ ดีนะโว้ยไปตอนฝนตก มันจะได้สวยแบบฝนตกงัย เอแก้ตัว
กูถามจริงๆ เหอะ ทำมัยมึงต้องพูดเนิบขนาดนั้นว่ะ ผมถามนายเอ ด้วยว่าเริ่มรำคาน
หมอเค้าบอกว่ามันเป็นวิธีแก้ติดอ่างหว่ะ ต้อง ช้า ช้า เนิบ เนิบ ปาก มัน จะ ได้ ทัน สะ สะ สะ หมอง งัย นายเออธิบาย
เป็นอันเข้าใจครับ เพราะนายเอของเราหลังๆ นี่ ตั้งแต่นายเอ เก็กหล่อ พูดเนิบ ๆ ไอ้อ่างที่มาติดก็พอจะเพลาๆ ลง จนพอสังเกตุได้ จำได้ว่าครั้งนึงเราไปทานพิซซ่ากัน กินไปซักพัก นายเอก็เรียกเด็กเสริฟ แล้วบอกว่า นอ้ง ขอ ชะ ชะ ชะ.....ชะ ยังไม่ทันพูดจบเด็กเสริฟ เอาบิลมาวางที่โต๊ะแล้ว ปรากฎว่านายเอไม่ได้อยากให้เด็ก เช็คบิล แต่อยากได้ชีส ก็เลยขำไปกันพักใหญ่
พวกเราตกลงกันอยู่นาน ก็สรุปได้ว่า เราจะมุ่งหน้าไประยองก่อน แล้วดูว่าลมฟ้าจะเป็นใจในการออกเรือไปเกาะที่ว่านั้นรึเปล่า
ไม่รู้ว่าถูกใจ หรือแพงใจอย่างไร ก็เขียนบอกมานะครับ
13 ตุลาคม 2547 13:37 น.
ลึกลึก
Mr. Tang
By me
ผมจะเล่าเรื่องรักๆของคนๆ นึงให้อ่าน
คือไอ้คนเนี้ย ผมควรจะตั้งชื่อให้เค้าก่อนดีกว่า ไม่งั้นต้องเรียกเค้าว่า "ไอ้คนเนี้ย" ไปอีกหลายครั้ง ไอ้จะใช้ชื่อจริงก็คงไม่เหมาะ เอาเรื่องเศร้าเค้ามาล้อ มาทำเป็นเรื่องสนุก แค่นี้เจ้าตัวก็ตรอมใจจะแย่แล้ว เอาเป็นว่าชื่อนายคนนี้ชื่อแท่งรึกัน ประมาณศักสิทธิ์ แท่งทอง ประมาณนั้น แม้ว่าชีวิตรักแกจะอาภัพ น้าพับ หรือหลานอาจพับด้วยก็ได้
นายแท่งเป็นคนที่คิดว่าตัวเองโชคดี มีความสุขกับสิ่งที่ตนมี เขามีความเป็นอยู่ที่ดี มีงานที่เค้าสนุกกับมันคือทำเช้าหยุดบ่าย วันนี้ขยันพรุ่งนี้ลา เพี่อนๆรอบตัวก็ดียอมให้เอาเปรียบ ที่สำคัญแนวคิดในการดำเนินชีวิตที่เจ้าตัวภูมิใจหนักหนาว่าประเสริฐเป็นแน่ ส่งผลให้แกมองโลกในแง่ดี และมีความสุข อะไรจะดีปานนั้น ถ้าให้คะแนนตอนนี้ก็คงประมาณ 9.5 จากคะแนนเต็มที่ 10 อ้อ ลืมกล่าวถึงครอบครัวไปหน่อย อันที่จริงครอบครัวของนายแท่นจัดว่า ใช้ได้ทีเดียว มีลูกน่ารักหนึ่งคน กับภรรยาคนสวยที่อยู่กันมาแปดปี ทะเลาะกันน้อยมากเพราะไม่ค่อยได้คุยกัน ก็คนมันขยันเอางานเอาการ เลยไม่มีเวลาทะเลาะกัน น่าอิจฉาไม่เบาเลย สรุปคร่าวๆเลยก็คือ ชีวิตรักแกไม่หวานนัก เนื่องจากภรรยาสุดที่รักตามแนวคิดที่นายแท่งนึกว่าดีนักหนาไม่ค่อยทัน ที่เหลือก็อย่าไปรู้ละเอียดเลย เพราะกว่าผมจะเค้นออกมาได้แต่ละคำ ก็พอจะสังเกตุเห็นสีหน้าได้ว่าแกไม่ค่อยอยากจะเอ่ยถึงนัก แต่อย่างไรแท่งก็พอใจในสิ่งที่ตนมีมาเสมอ
เรื่องก็มีอยูว่านายแท่งเกิดไปปิ๊งเด็กสาวเข้าคนหนึ่ง ที่ใช้คำว่า "เด็ก" ก็ดูว่าจะไม่ผิดอะไร ก็หล่อนอายุอ่อนกว่านายแท่งของเราสักสิบปีเห็นจะได้ เราจะให้นามสมมุติเธอว่า พร
ก็คนเรานะ แก่แล้วยังไม่วาย@!#$%# มันน่าจะหาหนังสือธรรมะมาฟาดกระบานให้รู้เรื่องกันไป ไหนๆวิธีอ่านมันใช้ไม่ได้แล้วหนิ เรื่องแบบนี้พูดยาก คนเรา99.9% รู้ตัวทั้งนั้นแหละว่าอะไรผิด อะไรถูก ถ้าปฎิบัติตนตามที่รู้ได้ เค้าเรียกว่า "เกิดปัญญา" เพราะฉะนั้นคนที่ทำไม่ได้ ทั้งๆที่รู้ เค้าเรียก "เบาปัญญา" เอาหละก่อนที่จะกลายเป็นหนังสือธรรมะไป กลับมาอ่านเรื่องคนเบาปัญญาต่อเลยดีกว่า
สรุป นายแท่งของผมหัวงูแน่นอน จริงมั๊ย ใครๆ ก็ต้องคิดแบบนั้น อย่างนี้เค้าเรียกวัวแก่ อยากกิน น้ำส้ม(สายชู) คือมันไม่เหมาะไม่สมงัย ถ้าเป็นหญ้าอ่อนมังคงเหมาะกันเกินไป แต่อันนี้ไม่ สังคมคงไม่ให้อภัยแน่ ผมรู้แล้วตั้งชื่อเรื่องนี้ว่า ไอ้แท่งวัวหัวงู ดีกว่า
เนื่องจากเติบโตมาจากครอบครัวที่อบอุ่น แท่งยึดมั่นในสถาบันครอบครัวมาก และเหมารวมเอาว่าการกระทำที่ขาดสติใดๆที่สั่นครอนสถาบันนี้เป็นเรื่องรับไม่ได้
เหมือนที่เคยตัดสินว่าชายเจ้าชู้ทั้งหลายนั้นเลว ตอนนี้แท่งต้องรับเอาคำตัดสินนั้นไว้เอง และเริ่มเข้าใจว่า เหตุใดคนจึงต้องแสวงหาไม่รู้จักจบสิ้นในสิ่งที่ตนขาด แม้จะไม่ได้ตั้งใจแต่เมื่อรู้ว่าตนขาดอะไรและจู่ๆก็ได้มานั้น มันเติมอะไรๆให้ชีวิตเราได้จนไม่อยากเสียมันไปอีกเลย คงเหมือนกับคนที่ขี่ีจักรยานที่ไม่มีอาน เวลาเมื่อยคงต้องทนเจ็บตูดไช่มั๊ย ขี่ไปนานๆ มันก็ขี่ได้ จะเร็จะช้า ไม่มีปัญหา ติดที่เมื่อยหน่อยก็เท่านั้น ได้อานมาอันนึง คราวนี้ก็นั่งไปขี่ไปสบายแฮ(hair แปลว่าผม คือพอขี่ไปแล้วลมคงโกรก ผมสยาย ทำให้สบายแฮ) ตัวแท่งเองคงไม่คิดหรอกว่าจะเปรียบเธอ เป็นอานจักรยาน เพราะทั้งถูกนั่งทับ แล้วยังถูกตดใส่เป็นบางครั้งอีกด้วย อันนี้เป็นความคิดอันวิ(กล)จิตรของผมเอง สำหรับแท่ง ความรักที่เกิดขึ้นคงเหมือนปีกที่เขาไม่เคยมี ปีกที่พาแท่งบินไปในที่ๆไม่เคยไป ปัญหาอยูู่ตรงที่
เธอไม่ได้เป็นปีกให้เค้าเท่านั้น ยังมีคนต้องการเธออีกมาก คนที่เหมาะกว่าแท่ง
นายแท่งเราก็เลยคิดจะสวมบทพระเอกผู้เสียสละบอกกับเธอไปว่า "คุณดีกับผมเกินไป
อย่าดีเกินไปได้มั๊ย" ประมาณว่าทำกับผมเหมือนคนรู้จักก็พอ แปลกดีมั๊ย เหมือนกับ
ธนาคารกรุงเทพแจ้งให้บริษัทจัดอันดับ "ทริส เร็ทติ้ง" ว่า กรุณาจัดอันดับให้ผมใหม่
จาก b+ เป็น b- แต่มันก็เป็นเพียงความคิดของแท่ง เพราะความคิดแบบนี้
คนหัวงูเค้าไม่ทำกัน ไม่ไช่แน่ มันต้องคบไปก่อน รอปิดการขายได้แล้วค่อยชิ่ง
จริงมั๊ย
แต่สำหรับแท่งแล้ว ความปราถนาดีที่เขามีให้ดาวคงมากกว่านั้น
แต่ใครจะรู้รสชาติความทรมานที่เกิดจากความรักได้เท่าคนที่กำลังทรมานอยู่กับความรัก แต่คนๆนั้นไม่น่าจะเป็นแท่ง เค้ามีการศึกษา มีความรู้ ที่สำคัญ เค้าได้รับการปลูกฝังจากบุคคลที่ช่ำช่องในหลักเหตุแห่งศาสนา คุณแม่ของแท่ง ผู้มีพื้นฐานชาวพุทธที่สมบูรณ์ แล้วดูกลอนที่แท่งแต่งวันนี้สิ
ฉันสร้างใจฉัน
ฝันไปว่าดี
รู้ตัวอีกที
ชีกอ อย่างแรง
หรือ
ฉันเก็บใจฉัน
ในกล่องลับหนึ่ง
แอบดูแล้วทึ่ง
ใยจึงเยอะจัง
ปัญหาที่จะตามมาก็คือ
ในตัวมีใจ ใจ
ในใจมีเธอ เธอ
อยู่ในใจฉัน ฉัน
เธอ เธอ ตบกัน
ฉันได้แต่ดู ดู
เพื่อป้องกันการตบกันดังกล่าว แท่งคงต้องทำบางอย่าง กับใจของเขาเอง เพราะยิ่งนาน ความทรมานจะไม่อ่อนข้อให้เขาเลย คุณคงไม่รู้สิว่า ความทรมานนั้นมาจากไหน มันอยู่ในใจคนที่มีรักส่วนมาก ส่วนที่หลงไปว่า คนที่ตนรัก ไม่ได้รักตน เฝ้าคิดถึงในสิ่งที่อาจไม่ได้มา
คนหนึ่งคิดถึงคนรัก
คนรักคิดถึงคนไหน
คิดเตลิดไปถึงใครใคร
ขย้ำใจตัว แหลกเหลว ยับเยิน
แต่ถ้าคู่ไหนเข้าใจกันหน่อย ก็บอกกันบ่อยๆสิ ว่ารักกัน จะได้เป็นสุข เป็นสุขกันไป ที่ต้องย้ำว่าต้องเข้าใจกันหน่อย ก็เพราะ คำรัก เป็นคำที่เกร่อ มาก คือคุณไม่คิดบ้างหรือว่าเค้าพูดกันทั่วไป จนมันไม่ศักดิ์สิทธิ์อีกแล้วสมัยนี้ ด้วยความไม่เข้าใจดังกล่าว กลอนล่าสุดของแท่งวันนี้ จึงแฝงไปด้วยความมุ่งมั่นที่จะกลับเนื้อกลับตัว
กูเป็นของกู ดีอยู่
มึงเป็นของกู อยู่หาย
กูเป็นของมึง หนึ่งในร้อยราย
ใจกูหาย มั่นหมาย หาให้เจอ
จบเลยดีกว่า
30 มกราคม 2547 07:03 น.
ลึกลึก
ไหนๆก็พูดถึงหนังเรื่องนี้แล้ว ก็อดชื่นชมความน่ารักของเด็ก ๆในเรื่องไม่ได้ ถึงจะยังแสดงไม่รื่นเท่าไร แต่อายุแค่นี้ได้ขนาดนี้ถือว่าเยี่ยมแล้ว ตอนผมดูรอบที่สองนั้น ผมแปลกใจมากที่ลูกผมถึงกับปิดตาไม่ยอมดูฉากหวาดเสียวที่สุดในเรื่อง นั่นก็คือฉากนายเจี๊ยบเด็กชายวัยประมาณ 10 ขวบ ไปแกล้งตัดหนังยางของน้อยหน่าเพื่อนร่วมรุ่น รวมไปถึงตอนที่น้อยหน่าถูกผลักล้ม จนฉากนั้นผ่านไป นายซันลูกชายวัย 6 ขวบของผมถึงยอมเปิดตามาดูต่อ ผมถามดู แกก็บอกว่า ฉากนี้ไม่น่าดูเพราะหวาดเสียวเกินไป นึกแล้วน่าขำนะครับ แต่ก็พอจะทำให้ได้รู้ว่า อารมณ์ของคนมันก็แก่ขึ้นตามอายุ ถ้าคุณเป็นคนนึงที่ไม่ปิดตาหรือหลบตาจากหนังหวาดเสียวเรื่องใดๆเลย คุณคงแก่อารมณ์ซะแล้ว หรือไม่คุณก็คงคิดเป็นแล้ว
ลองคิดดูสิครับ เบื้องหลังฉากหนังน่ากลัว น่าหวาดเสียวทุกเรื่อง จะมีคนร่วมงานอยู่มากมายถึงแม้ในฉากจะมีนางเอกกำลังวิ่งหนีผีร้ายอยู่คนเดียว จริงๆแล้วทั้งช่างแสง ช่างกล้อง ผู้กำกับ ช่างแต่งหน้า อีกเยอะเลยครับยิ่งถ้าเป็นหนังวาบหวิวหน่อย คงมีคนให้กำลังใจเพียบเลย จริงมั๊ยครับ ที่พูดนี่ไม่ได้อยากให้คุณหมดรสชาติในการดูหนังหรอกนะครับ แต่บอกไว้พอช่วยทำใจเวลาอยากหลบสายตาจากหนังที่กำลังดูอยู่ ไม่อยากให้พลาดฉากเด็ดครับ เพราะฉากเหล่านั้นจัดเป็นฉากที่แสดงยากเพราะต้องแสดงความรู้สึกออกทางใบหน้า ดวงตา อีกทั้งท่าทางด้วย
กลับมาถึงความตั้งใจแรกอีกครั้งนะครับ เรื่องดีๆระหว่างผมกับลูก ตลอดเวลาที่ผ่านมาหกปีมีมากเหลือเกินผมสาบานได้ แต่พอจะเอามาเขียนนี่สิ มันลืมไปซะเฉยๆ ผมเลยเรียกเค้ามาถาม
ผม : ซัน ซันชอบตอนไหนของซันบ้าง?
ซัน : ก็ชอบตอน ซันพูดตลกแล้วคนหัวเราะกันสิ
ผม : ไหนยกตัวอย่างซิ
ซัน : ก็ตั้งหลายตอน จำไม่ได้เหรอ
ผม : ลองบอกมาซักตอนซิ
ซัน : จำไม่ได้แล่ว(เสียงห้วนเชียว)
ผม : !!
สรุปว่าพ่อลูก พอๆกัน น่ากลัวว่าเราอาจต้องเก็บความทรงจำดีๆ ไว้ในลิ้นชักจริงๆ รึปล่าว หรือว่ามีลูกคนเดียวไม่พอจริงๆ ก็ไม่รู้
ต้นปีบ
ขึ้นชื่อตอนแบบนี้คุณคงงง ไม่รู้ว่าจะเขียนเรื่องต้นไม้หรือไง ก็คงงั้นมั๊งครับ คนส่วนใหญ่ที่อายุยี่สิบห้าขึ้นไปคงรู้จักต้นปีบ ที่ผมคะเนอายุคนที่รู้จักเอาที่ยี่สิบห้าก็เพราะ ผมเองรู้จักมันเมื่ออายุยี่สิบห้า สำหรับคนที่ไม่รู้จักนะครับ ต้นปีบมีลำต้นที่ปกคลุมไปด้วยเปลือกไม้ที่แตกเป็นร่องทั้งต้น ลำต้นนั้นสูงได้มากถึง 8-10 เมตรเลยทีเดียว ใบปีบข้อนข้างเล็ก ตอนฤดูทิ้งใบหละคุณเอ้ย ยังกับเม็ดฝนเลย ลมพัดมาที แหม โมแรนติก(Romantic) คนกวาดมักลากลับบ้านตอนนั้นซะด้วย ที่ผมประทับใจต้นปีบ คงเป็นเพราะดอกของเค้า ดอกปีบสีขาวราวกับงาช้าง กลีบดอกทั้งสี่รัดตัวติดกันยาวสักสองนิ้วแล้วแยกออกที่ปลาย เวลาออกดอก จะเห็นเป็นพวงขาวไปทั้งต้น กลิ่นของมันหอมเย็นๆ มีเสน่ห์ซะจนผมอดไม่ได้ที่จะซื้อมาปลูก ตอนซื้อมาเค้าก็ไม่ใหญ่นักหรอกครับ สูงเพียงสี่ห้าเมตร ตอนนั้น ซันลูกของผมพึ่งเกิดเห็นจะได้
ผมรอต้นปีบออกดอกมานาน นานจนลืมไปเลย เด็กที่ทำงานที่บ้านก็มักจะลาช่วงที่ใบเค้าร่วงทุกปี ก็กวาดใบเค้ามาทุกปี ก็โมแลนติกเรื่อยมา ไม่เคยเห็นดอกเค้าซะที ก็ไม่เป็นไรครับ ถือว่าได้ร่มตอนหน้าร้อน อีกอย่างลักษณะลำต้นก็สูงชะลูดและพุ่มใหญ่ด้านก็บนดูสวยดี
เนื่องจากบ้านผมอยู่ใกล้ที่ทำงานเลยโชคดีได้มีเวลาดูแลสวน และ เลี้ยงลูกแทบทุกวัน จะเว้นก็แต่วันที่ต้องไปเยี่ยมลูกค้าไกลๆ หรือติดประชุม แต่ส่วนมากแล้ว เราอยู่ด้วยกันทุกเย็น ลูกผมจะมีก๊วนประจำของเค้า ก็เป็นลูกของเพื่อนบ้านในซอยเดียวกันแหละครับ มีเรื่องเล่นกันได้ตลอด ทะเลาะกันบ้าง เผลออึดใจก็ดีกันแล้ว ถ้าสมาชิกก๊วนเค้าอยู่กัน ผมก็เบาตัวหน่อย คือเค้าก็จะไปเล่นกันเองซะ เราก็ดูแลสวนของเราไป ลูกของผมอายุน้อยที่สุด และยังเรียนอนุบาลอยู่เลย ขณะเพื่อนๆเค้าเริ่มเรียนปะถมกันแล้ว คงเป็นเพราะเด็กอนุบาลเรียนเลิกเร็วกว่า ซันเลยกลับบ้านก่อนเด็กคนอื่นๆ เวลาช่วงก่อนเด็กคนอื่นกลับบ้านจึงเป็นหน้าที่ของผม ส่วนใหญ่เราจะชวนกันไปเดินเล่น ขี่จักรยาน รดน้ำต้นไม้ หรือไม่ก็พาไอ้ กันดั้มดามเมเชี่ยนที่บ้านไปเดินเล่นกัน
ตอนต้องแบ่งเวลาให้เค้าแรกๆ ก็รู้สึกว่าตัวเองไม่ค่อยมีเวลา แต่พอทำไปจนเป็นนิสัยก็เริ่มรู้สึกว่า การกลับมาอยูกับลูกนี่มันก็คลายเครียดได้ดี สุขภาพจิตดีขึ้น
ผมมักสอนให้ลูกช่วยงานบ้านและพยายามทำให้เค้ารู้สึกสนุกกับมัน อย่างเรื่องรดน้ำต้นไม้ ผมจะมีอุปกรณ์มากเลย เป็นต้นว่าหัวฉีดน้ำที่ปรับได้หลายแบบ บางแบบฉีดได้ไกล บางแบบฉีดเป็นฝอยเล็กๆที่เวลาโดนแล้วรู้สึกจั๊กะจี้เอาไว้รดต้นที่บอบบางหน่อย บางแบบก็เป็นแบบสายฝมไว้รดให้ได้บริเวณกว้างและไม่แรงเกินไป ผมยังมีบ่อปลาและ ผมบอกแกว่าถ้าเอาน้ำในบ่อปลาไปรดต้นไม้แล้วต้นไม้จะสวยกว่ารดด้วยน้ำจากสายยาง แถมยังมีกระบวยที่ใช้ตักน้ำจากบ่อปลามารดได้ ลูกผมชอบอันนี้มาก ไม่ใช่เพราะว่าแกอยากให้ต้นไม้สวยขึ้น แต่แกสงสารปลาที่ต้องว่ายในฉี่ตัวเองทั้งวัน ทีนี้พอเอาน้ำไปรดต้นไม้ เราก็ต้องเติมน้ำใหม่ลงไป ปลาก็ชอบใจสิ เป็นอันว่า สวยทั้งต้นไม้ งามทั้งปลา
ครั้งนึง ซันช่วยผมรดน้ำโดยกำลังรดต้นปีบอยู่ที่หัวฉีดก็ปรับมาอยู่ที่ตำแหน่ง ฝอย รดอยู่นานเลย จนผมบอกแกว่า
ผม : ไม่ต้องรดหรอก ต้นใหญ่ๆหนะ รากมันเยอะแล้ว มันหากินเองได้
ซัน : ไม่ได้รด กำลังจักกะจี้ต้นบีปอยู่ แต่หาไม่เจอว่า เอวมันอยู่ไหน
เมื่อปีก่อนผมเอากล้วยไม้ไปผูกที่ต้นปีบ คิดว่าพอกล้วยไม้ออกดอกคงจะเพิ่มสีสันได้หน่อย พอเวลารดน้ำผมก็เลยรดกล้วยไม้ด้วย ใช้หัวฉีดแบบฝอยซะด้วย
ซัน : ป๊า จักกะจี้ต้นปีบอยู่เหรอ?
ผม : (อมยิ้ม) ปล่าวครับ รดน้ำกล้วยไม้ต่างหาก
ซัน : ดีแล้วป๊า ต้นปีบจะได้กินน้ำด้วย
ผม : ก็บอกแล้วว่ามันหากินเองได้ มันโตแล้ว แถมยังโตพอให้กล้วยไม้ต้นเล็กๆเกาะด้วย
ซัน : ถ้าป๊าไม่เอาไปเกาะนะต้นปีบหิวน้ำแย่เลย
ดูแกจะไม่รับฟังเหตุผลเราเลย
เย็นวันนึง แกพึ่งกลับจากโรงเรียน ผมก็ชวนแกไปขี่จักรยานเล่น กว่าจะจัดแจงสูบลมล้อที่ดูแบนเกินไปเสร็จ น้องปลื้ม สมาชิกก๊วนก็มาถึงหน้าประตูบ้านพอดี
น้องปลื้ม : ซัน ไปเล่นที่บ้านเรามั๊ย
ซัน : เดี๋ยวตามไป เราพาพ่อเราไปขี่จักรยานเล่นก่อน
ผมได้แต่ยิ้มอยู่ในใจ คิดไปว่าเค้าหมายความอย่างนั้นจริงหรือเปล่า ยังงัยก็ไม่รู้สิครับ ตั้งแต่นั้นมา ผมรู้สึกสุขใจมากขึ้นในการขี่จักรยานกับเค้า แปลกดีนะครับ บางครั้งเราคิดว่าเรามีพลังพอที่จะให้ แต่จริงๆแล้วกลับเป็นฝ่ายได้ ผมแหงนหน้ามองต้นปีบ ไม่รู้อีกเหมือนกันว่าเป็นเพราะการรดน้ำกล้วยไม้ที่ไม่ยอมออกดอกของผมหรือปล่าว วันนี้ต้นปีบผลิดอกอ่อนๆขาวโพลน โชยกลิ่นที่รอมานาน หอมไปทั้งซอย
23 มกราคม 2547 07:11 น.
ลึกลึก
เอาเป็นว่าตอนมัธยม ผมก็เคยเห็นพี่เค้าหลายครั้ง
และได้พูดคุยกันก็หลายหน
คุยไปคุยมาจนเปปน
คุยหลายหนจำได้คล้ายจะมั่นใจ พอก่อนครับเขียนเรื่องสั้นต่อดีกว่า กลอนเอาไว้ทีหลัง
ครับ จากนั้นพี่เค้าก็จบไป ปีต่อมาผมก็จบบ้าง ผมก็มีชีวิตที่ดีขึ้นเมื่อไม่เจอพี่เค้า. จริงๆ ไม่เกี่ยวนะครับ การไม่เจอพี่ทอ๊ปกับชีวิตที่ดีขึ้น ผมเรียนในระดับอุดมศึกษา ทำงานหาประสบการณ์เล็กน้อยก่อนไปเรียนต่อ วันนึงขณะลงทะเบียนเทอมที่สองเสร็จ ผมเดินออกมาหน้าตึก จำได้ว่าอากาศวันนั้นหนาวมาก ผู้คนใส่เสื้อหนาวตัวหนาๆ กันทั้งนั้น ผมเดินมาถึงรถ ก็ได้ยินเสียงแว่วๆ เรียกน้อง ๆ พยายามหันมองก็ไม่เห็นมีใคร ก็ขับรถออกไป นึกในใจตะหงิด ตงิด ก็มองดูกระจกหลัง เผื่อว่าจะเจอใคร แม้ว่ากระจกจะมีฝ้าพอควร ทำให้เห็นภายนอกไม่ชัดนัก ผมก็สังเกตุเห็นสิ่งที่ไม่ได้เห็นมานาน นั่นมัน ท่า Dynamic Slam Dunk หรือชื่อภาษาไทยว่า ทะยานเวหายัดห่วงนี่หน่า น้ำหนักของเสื้อหนาวคงจะมาก เลยทำให้การกระโดดที่เคยสูง สี่นิ้ว บัดนี้เหลือเพียง ครึ่งนิ้วเท่านั่น แต่ลีลาพริ้งไหวยังสง่างามเหมือนเดิม ต้องเป็นพี่ท๊อปชัวร์ นี่พี่ทอ๊ปลงทุนใช้ท่านี้ในการกระโดดกวักมือเรียกผมเลยหรือนี่ ผมรีบใส่เกียร์ถอยหลัง เหยียบคันเร่งด้วยเกรงว่าแกจะกระโดดไม่ได้เกินอีก สามครั้งเป็นแน่ ผมไม่กังวลนักหรอกว่าจะถอยไปชนแกเข้าเพราะเชื่อว่าความแข็งแรงบึกบึนนั้นคงทานทนได้ แล้วเราก็ได้เจอกันอีก เออนี่ชีวิตผมต่อไปจะดีเหมือนเดิมมั๊ยนะ
ครับพี่ทอ๊ปได้มีโอกาศมาเรียนในสถาบันเดียวกับผมอีกเป็นครั้งที่สอง แต่ครั้งนี้แตกต่างกันครับ คราวนี้ผมเป็น รุ่นพี่ เราใช้ชีวิตคล้ายๆกัน เรียนรอบค่ำ ทำงานตอนกลางวัน ตอนค่ำก็ทำงาน(วันที่ไม่มีเรียนหนะครับ) บางคนว่าเราเป็นพวกเห็นแก่เงิน จริงๆก็เป็นเช่นนั้น แต่ที่แฝงอยู่ในเบื้องลึก เราคิดอยู่เสมอว่า เราควรช่วยกันลดภาระทางครอบครัว และช่วยเศรฐกิจของชาติไปพร้อมๆกัน ข้อนี้เป็นเหตุผลหลักครับ ผมมั่นใจว่าเป็นงั้น
เมื่อมีเวลาคุยกันเราก็ทุกเรื่องหละครับ บางเรื่องถ้าอยู่เมื่องไทยคงไม่เล่าให้ใครฟัง แต่อยู่ที่นั่นเล่าหมดหละครับ ลองคิดดูนะครับ ถ้าคุณติดเกาะกับใครซักคน คุณจะเล่าอะไรฟังกันบ้าง หรือเกิดติดคุกกับคนซักคนต้องอยู่กับคนที่ไม่เคยรู้จัก ในที่สุดก็ไม่มีความลับระหว่างเรา แม้แต่เรื่องผู้หญิง สแป็คผมเป็นอย่างไร พี่เค้าก็รู้หมด เช่นกันครับพี่เค้าชอบแบบไหน ผิวสีอะไร สูงต่ำดำลาวยังงัย เอ้ยยย ขาวยังงัย ผมก็เข้าใจดี
ด้วยความตั้งใจมั่นของพี่ท๊อปนะครับ ว่า อย่างไรเสียจะต้องหาแฟนให้จงได้ระหว่างที่เรียนอยู่ในดินแดนแห่งเสรีนี้ น้องๆสาวๆที่มาเรียนในเทอมเดียวกับพี่ทอ๊ป กลายเป็นเป้าหมายแรกๆของแก ส่วนใหญ่แล้วพวกที่มาเรียนต่อเมืองนอกนี่จะเป็นพวกที่พึ่งจบครับ จบตรีจากกรุงเทพ แล้วก็มาต่อกันเลย ไอ้ที่จะทำงานหาประสบการณ์ก่อนนั้น ไม่ค่อยมี ความจริงแล้วผมว่าข้อนข้างจำเป็นทีเดียว เพราะในบทเรียนจะสอดแทรกหลักที่สามารถนำไปใช้จริงในการทำงานเพราะฉะนั้นหากเคยทำงานมาก็สามารถมองภาพรวมออกทำให้เข้าใจมากขึ้น สำหรับพี่ทอ๊ป ในเมื่อเป็นรุ่นพี่มีประสบการณ์ก็น่าจะมีภาษีดีกว่าหละ สามารถแนะนำน้องๆได้ถึงเวลาติว ก็สบายมีน้องๆมาคอยเอาใจ สาวนางหนึ่งที่พี่ทอ๊ปปักใจรักคือ น้องปูครับ น้องปูเป็นคนช่างเอาใจครับ เรียกว่าน้ำถึงขนมถึง กริยาน่ารัก อ่อนหวาน ที่พิเศษสุดคือน้องปูตัดผมเป็น เห็นว่าครอบครัวมีร้านตัดผมอยู่กรุงเทพนี่หละ พูดถึงการตัดผม ที่นู่นแพงมากครับ แต่ละครั้งประมาณ 10 เหรียญ เป็นอย่างต่ำ เมื่อข่าวแพร่ออกไปในสังคมนักเรียนไทย น้องปูจึงเป็นผู้หญิงที่มีเพื่อนมาคนหนึ่ง ใครอยากตัดผมก็โทรมานัดเธอซะ ซื้อข้าวซื้อขนมมากำนัลซะหน่อย พอเป็นพิธี แต่น้องปูก็เล่นตัวใช้ได้นะครับ คืออารมณ์ไม่ได้ ก็ไม่รับนัด บอกว่าถ้าฝืนอารมณ์ผมก็อาจแห่วงได้ ดูทุกคนเข้าใจเหตุผลดี เพราะไม่มีใครต่อล้อต่อเถียงเธอเลย
ที่พี่ท๊อป หมายมั่นปั้นมือ มีกำลังใจฟันฝ่าหนุ่มเล็กหนุ่มใหญ่ทั้งหลายก็เพราะ แกคิดเสมอว่าแกเป็นคนพิเศษครับ โทรนัดทีไร น้องปูไม่เคยปัดรับนัดทุกครั้ง บางครั้งติวหนังสือกันอยู่ เกิดอยากพักบ้างก็ชวนกันไปดูหนังฟังเพลง พี่ท๊อปเป็นคนใจใหญ่(เหมือนตัว)ครับ ออกไปเที่ยวพี่จะจ่ายตลอด ก็แหม รายได้จากงานบริกรที่นั่นก็พอตัวอยู่นะครับ เมื่อได้เงินมาง่ายจะมาประหยัดกับนางในดวงใจได้อย่างไร การเดินไปไหนมาไหนกับน้องปูบางครั้งทำให้คู่แข่งพี่ทอ๊ปเศร้าไปเหมือนกัน แต่ก็ไช่ว่าจะทุกครั้ง มีอยู่ครั้งคนเห็นคู่นี้เดินด้วยกันแล้วนึกว่าเลข10 เพราะน้องเค้าก็เพรียวเหลือเกิน เหมือนเลขหนึ่ง ส่วนพี่แกก็เหมือนเลขศูนย์ ก็เลยเอาไปแทงหวย ปรากฏว่าถูกครับ(โชคดีบนความทุกข็ของผู้อื่นรึปล่าว)
พี่ท๊อปก็พยายามทุกช่องทางหละครับที่จะหาข้อได้เปรียบทั้งหลายเพื่อมาบทบังร่างอันกำยำบึกบึน แต่ทว่างานนี้ใหญ่หลวงนัก ใหญ่จริงๆครับ ใหญ่มาก แกมารู้ภายหลังว่า น้องปูคิดว่าพี่ท๊อปดีเกินไป อยากคบเป็นพี่ชาย อะไรทำนองนั้นหนะครับ โลกเกือบแตก ต่อมาภายหลังของหลังเมื่อกี้ ก็เสือกรู้ว่า เค้าไม่ได้อยากคบเป็นพี่ชายหรอก เค้าอยากคบเป็นติวเตอร์เฉยๆ คราวนี้โลกแตกเลยครับ หลายคนคงเคยได้ข่าวแผ่นดินไหวที่ แอลเอ เมื่อหลายปีก่อน ถนนขาดหลายสาย ภูเขาถล่ม ตึกถล่มคนตายไปมาก อันนั้นไม่ได้เกิดจากปรากฏการณ์ธรรมชาตินะครับ แต่เป็นเพราะท่ากระโดดที่ถูกตั้งชื่อว่า ท๊อปไม่ยอม เป็นท่ายืนเท้าชิดพอประมาณ ย่อเข่าเล็กน้อย ถ่ายน้ำหนักก้นไปด้านหลังหน่อย ลำตัวเอนมาข้างหน้าเพื่อเพราะรักษาสมดุลย์ สองแขนงอพอประมาณ แขนส่วนบนแนบลำตัวไว้ มือสองข้างกำหลวมๆ ดูๆก็ยังไม่น่าอันตรายเท่าไหร่ครับ แต่ทีเด็ดอยู่ตรงการกะโดดถี่ๆ พร้อมเสียงออดอ้อนว่า ท๊อปไม่ยอม ๆๆๆๆๆๆๆๆ ประมาณสิบสามครั้ง น่าสงสารบุคคลที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ด้วย ต้องมาเสียชีวิตลงเป็นอันมาก พี่ท๊อปเองคงก็รู้ตัวครับ ต่อจากนั้นแกพยายามลดน้ำหนักอย่างมากไม่ค่อยกินอะไร จนในที่สุดแกก็ หุ่นดี
ไอ้หุ่นดีที่ว่านี่ ไม่ไช่ให้แกยืนซ้ายหันแล้วเปลี่ยน เลข 0 เป็น ตัว D นะครับ แกหุ่นดีจริงๆ อาจไม่ดีเหมือน อาโนลย์ คนเหล็ก แต่ก็จัดได้ว่าดีทีเดียว น้ำหนักจาก 95 ลดเหลือ เพียง 75 เท่านั้น คงต้องยกความดีความชอบให้น้องปูหละครับ นอกจากจะทำแกกินไม่ได้ นอนไม่หลับ ร้องไห้น้ำตาแทบเป็นสายเลือดแล้ว ยังเป็นต้นเหตุทำให้แกโดนหักเงินค่าแรงที่ไปเป็นบริกรตอนกะดึกอีกด้วย
ร้านอาหารฝรั่งโดยปกตินะครับ เวลาจัดโต๊ะจะต้องมี อุกรณ์ข้องข้างมาก คือมีมีด สองอัน สำหรับทาเนยกินขนมปัง อันนึง ส่วนอีกอัน ใช้ตอนจานหลัก ซ่อมอีกสองอัน ใช้ทานสลัดอันนึงอีกอันใช้ทานจากหลัก แก้ว สองใบ สำหรับ ไวน์และน้ำเปล่า (แก้วน้ำก็คล้ายแก้วไวน์หละครับแต่ก้านแก้วจะอ้วนกว่า ดูแข็งแรงกว่า และใส่น้ำได้มากกว่า) ผ้ากันเปื้อนหนึ่ง ผ้ารองจานหนึ่ง และมีจากขนมปังเล็กๆ อีกใบ โดยปกตินะครับคนจัดโต๊ะทุกคนจะสามารถนำอุปกรณ์ทั้งหมดสำหรับโต๊ะสี่ออกมาได้หมดในคราวเดียวโดยแถมผ้าปูโต๊ะอีกหนึ่งผืนโต๊ะสี่ก็หมายถึงโต๊ะสำหรับแขกสี่คนนั่นหละครับ ทำยังงัยเหรอ ? อันนี้ต้องลองนึกภาพตามนะครับ บรรดาผ้าปูโต๊ะและผ้ารองจานทั้งหมดห้าผืน ให้พาดไว้ที่แขนซ้าย มือซ้ายหงายและอ้า อ้านิ้วนะครับนิ้วมือซ้ายนั่นหละ นำแก้วไวน์สี่แก้วสอดไปตามง่ามในท่าคว่ำ หมายถึงคว่ำแก้วแต่หงายมืองัย คำอธิบายข้อนข้างล่อแหลมนะผมว่า ช่วยนึกในทางที่ดีหน่อยก็จะดีเอง ผ้ากันเปื้อนที่พับเป็นสามเหลี่ยมมุมฉากไว้แล้วนั้นวางซ้อนกันทับอยู่บนฐานแก้วไวน์ ตามด้วยจานขนนมปังซ้อนสี่ วางทับบนผ้ากันเปื้อนโดยมีนิ้วโป้งหนีบกดเอาไว้ ส่วนมือขวาก็ง่ายหน่อย คือเราต้องนำซิลเวอร์แวร์ใส่ไว้ในแก้วน้ำ ก็สี่ชิ้นต่อแก้วหนึ่งใบ แล้วก หงายมือขวาขึ้นแล้วสอดแก้วน้ำทั้งสี่เข้าไปในง่ามนิ้วทั้งสี่ ก็เป็นอันพร้อม พี่ท๊อปเป็นคนเดียวครับที่นำอุปกรณ์จัดโต๊ะออกมาสำหรับสองที่เท่านั้น ทั้งนี้เป็นเพราะนิ้วอันแข็งแกร่งอวบอูมของพี่ท๊อปจึงมีที่น้อยลงในการสอดแก้วแปดใบในง่ามนิ้ว นิ้วโป้งอันสั้นและยิ่งใหญ่ก็ไม่สามารถหนีบจานขนมปังทั้งสี่ได้หมด นอกจากอ้วนเกะกะแล้วยังต้องเดินมากกว่าคนอื่นสองเท่า ยังมีหน้าบ่นกับเจ้าของร้านว่าน่าจะได้ค่าแรงมากกว่าคนอื่นเพราะทำงานมากกว่า เค้าให้ทำก็ดีถมไปแล้ว แถมตอนกินก็กินมากกว่าคนอื่น
สิ่งที่เป็นทีเด็ดของพี่ท๊อปก็คืนงานที่ใช้ความใหญ่โตให้เป็นประโยชน์เท่านั้น นั่นก็คือ การเก็บจานจากที่ล้างไปยังที่เก็บจาน เนื่องจากจานขนมปังเป็นจานขนาดเล็กใหญ่กว่าฝ่ามือหน่อยนึง เวลาเก็บจานนี่เราจะซ้อนกันเป็นตั้งครับ ประมาณ สามสิบใบโดยยืดแขนให้ขนานกับลำตัวแล้วหงายฝ่ามือขึ้น เรียงจานให้เป็นตั้งขึ้นโดยให้จานพิงท่อนแขนไว้ พี่ท๊อปเป็นคนเดียวครับที่สามารถเรียงจานขึ้นจนสูงระดับหัวโดยใช้อวัยวะช่วยประคอง ตั้งแต่แขน ลำตัว หน้าอก ลำคอ และ แก้ม โอ้โห ฐานแกแน่นมาก เฟิมม์สุดสุด สติถิที่ทำไว้จนบัดนี้ยังไม่เคยมีใครทำลายได้ ห้าสิบสามใบครับ
แล้ววันนั้นก็มาถึง วันที่แกออกหักจากน้องปู วันนั้นช่างน่าเศร้านัก เนื่องจากอาการเหม่อลอยขาดสติในวันนั้นจานขนมปังห้าสิบใบก็มีอันต้องแตกกระจายไปพร้อมๆกันโดยมิได้นัดหมาย เหมือนจะย้ำเตือนถึงหัวใจที่แตกสลาย แกโดนปรับไปทั้งสิ้น สองร้อยเหรียญทยอยหักโดยใช้เวลาสองอาทิตย์ สองอาทิตย์นั้นพี่ท๊อปไม่มีเงินพอที่จะซื้อขนมหวานคู่ใจ ลอลี่ป๊อบกลิ่นสตอร์เบอรี่ เล่นเอาผอมเลยครับ
โชดดีจริงจริงที่ในวันที่จานแตก จานอีกสามใบถูกพบว่าไม่แตกในเศษซากจานขนมปัง แน่นอนหละจานสามใบนั้นเป็นตัวจุดประกายความหวังสู่สาวงามคนอื่นๆต่อไป นัยว่า จานห้าสิบสามใบไช่ว่าจะแตกหมดฉันได หัวใจที่สลายก็จะยับเยินทั้งหมดหาได้ไม่
หลังจากรักครั้งนั้นพลาดไป พี่ท๊อปได้พยายามใช้กลเม็ดต่อไป บัดนี้เค้าไม่ได้เป็นเด็กพึ่งเข้าอีกแล้ว อย่างน้อยก็เป็นรุ่นพี่ของเด็กที่พึ่งมาใหม่ตั้งครึ่งปี น่าจะมีข้อดีอะไรบ้าง แถมตอนนี้ก็หุ่นดีแล้วด้วย
เย็นแล้วพักก่อนนะจ๊ะ ไว้ว่างจะพล่ามต่อ โปรดติดตามอ่านต่อตอนต่อไป นะ ได้โปรดเถอะ
18 มกราคม 2547 16:05 น.
ลึกลึก
คุณท๊อป เป็นรุ่นพี่ผมสมัยเรียนมัธยมครับสมัยนั้นเนื่องจากเป็นรุ่นพี่ผมจึงไม่รู้ความเป็นไปของแกเท่าไหร่เพราะอยู่กันคนละห้อง คนละชั้นปี แต่แกก็เป็นคนที่ดูแล้วสะดุดตา และทำให้เราจำได้ เมื่อไปเจอแกอีกหลายปีต่อจากนั้น อย่านะครับ อย่าตีความไปเองว่าแก จมูกแห่วง ตาเหล่ หรือ มีแผลเป็นรูป มิกกี่เม้าส์ตรงปลายคิ้วซ้าย ทุกอย่างอยู่ที่บุคลิกครับ บุคลิกอันทรงเสน่ห์ เป็นที่น่าจดจำ ทำให้ผู้พบเห็นระลึกถึง
พี่ทอ๊ปเป็นนักกีฬาครับ แกเล่นบาส ทุกเช้าก่อนเคารพธงชาติ ที่สนามบาสหน้าโรงเรียน เราจะเห็นแกเล่นบาส หมายถึงคนอื่นๆก็เล่นนะครับ แต่ไม่รู้ทำไมแกดูสะดุดตาจริงๆ ภาพที่เราประทับใจที่สุดก็คือ (ขอตั้งเป็นภาษาอังกฤษนะครับ) ท่า Dynamic Slam Dunk หรือชื่อภาษาไทยว่า ทะยานเวหายัดห่วง พออ่านชื่อท่าการชู๊ตแล้ว มองเห็นภาพเลยใช่มั๊ยครับ นึกภาพลางๆของ ไมเคิล จอร์แดน กระโดดลอยตัว อ้าขากว้าง ราวกับเดินอยู่บนอากาศ สูงจากพื้นร่วม 1 เมตร จับลูกบอลด้วยมือเดียว เอื้อมไปข้างหน้า หมายนำลูกยัดลงห่วงโดยอีกมือ เอื้อมไปด้านหลังเพื่อรักษาสมดุล ปากนั้นอ้ากว้างแลบลิ้นออก อันนี้ไม่รู้เหตุผลเหมือนกัน ท่านี้ดังมากขนาด NBA หรือ National Basketball Association นำมาแปลงเป็น โลโก้ของสมาคม แต่ในโลโก้ไม่เห็นลิ้นนะครับ อันที่จริงท่าของพี่ทอ๊ปก็ต่างกับ ไมเคิ่ลเล็กน้อยครับ อาจเป็นเพราะว่าแกต้องการสร้างเอกลักษณ์ของแกเอง อีกทั้งรูปร่างของแกไม่สูงใหญ่เหมือน ไมเคิ่ล แกจึงดัดแปลงท่าให้ดูพริ้ว สวยงามขึ้น ไหนๆก็พูดเรื่องรูปร่างแล้วนะครับ สาว ๆ เป็นต้องเหลียวมองทุกครั้งครับ ผมสาบานได้ กล้ามเนื้อที่อวบอัดได้รูป ตรึงใจสาวๆ มามากต่อมากแล้ว วันไหนแกใส่เสื้อกล้าม สาวๆจะคอยพิจรณากล้ามท้องทั้ง8ที่รวมตัวกันเป็นหนึ่งก้อนใหญ่ โป่งพองออกเต็มที่เพื่อแสดงพลังที่แอบซ่อนอยู่ ท่อนขาคู่นั้นทำให้สาวที่ถูกล้อว่ามีขาเหมือนโต๊ะสนุ๊ก มีกำลังใจในการดำรงชีวิตต่อไป ครั้งแรกที่ผมเห็นท่านั้น ยังตราตรึงจนวันนี้ แกยืนอยู่ห่างห่วง ประมาณ แปดเมตรครับ จังหวะนั้นไม่มีคู่ต่อสู้คุมแกอยูเลย ปกติก็ไม่คุมอยู่แล้วไม่รู้ทำไม เนื่องจากเพื่อนร่วมทีมไม่รู้จะส่งไปให้ไคร แกจึงได้ลูกมาไว้ในมือ ด้วยสายตาที่มาดมั่นจ้องมองไปยังห่วง ดวงตาคู่นั้นเอาจริงเอาจังจนคู่ต่อสู้ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ยืนดูเฉยๆ ปล่อยให้แกแสดงฝีมือที่ซ่อนอยู่มานานแล้ว มือสองมือจับลูกไว้มั่น ย่อตัวลงและกระโดดขึ้นเต็มที่ วันนั้นคงมีเหตุการณ์ธรรมชาติเกิดขึ้นอย่างหนึ่ง เพราะพลังจากกล้ามเนื้ออันทรงพลังไม่สามารถทัดทานแรงดึงดูดของโลกได้เลย แกลอยตัวขึ้นไปประมาณ 4 นิ้ว พร้อมผลักลูกบอลเต็มเหนี่ยวไปยังเป้าหมาย ดวงตาคู่นั้นเปี่ยนไปจ้องเขม็งที่ลูกบอลเหมือนจะลุ้นว่ามันจะลงแบบไหน ทว่ามันกลับลอยไปเพียง 3 เมตร เข้าสู่มือเพื่อนร่วมทีม ซึ่งสามารถชู๊ตทำคะแนนได้ในที่สุด นับเป็นการหลอกล่อคู่แข่งที่มีประสิทธิภาพมากเท่าที่เคยมีมาครับ
พี่ทอ๊บสมัยนั้นเป็นคนน่ารักครับ เออสมัยนี้ก็น่ารัก ค.ครับ ยังอ้วนนิดๆ พองาม พูดถึง อ้วน ผมเคยลองคิดว่าความอ้วนนี่มันไม่ค่อยแฟร์เท่าไหร่ คุณลองคิดดูสิ ถ้าคุณเลี้ยงหมาสักตัวแล้วมันอ้วน มันจะดูน่ารักนะ หรือว่าเป็น นก นกอ้วนนี่ถือว่าพิเศษเลย ส่วนมากนกไม่ค่อยอ้วน ยกเว้น นกที่เป็นชื่อคนหละครับ รู้จักอยู่คน สูง 152 หนัก 78 เข้าไปแล้ว เอาไปทำโปสเตอร์ส่งเสริมการลดความอ้วนนะ เวิร์คแน่เลย (หากใครมีสัดส่วนเหมือน นก นะครับ จงอย่านำเรื่องนี้มาเป็นสาระนะครับ ความงามนั้นควรอยู่ที่ใจครับ) แมวครับแมว ถ้าอ้วนก็น่ารัก คือรวมๆแล้ว ถ้าไม่ไช่คนนะครับ อ้วนแล้วจะดูดีครับ ผมให้ 95%ของสิ่งมีชีวิตที่ไม่ไช่คนเลย อ้อ พี่ท๊อป ก็ถูกรวมใน 95% นี้ด้วยนะครับเพียงแต่พี่ท๊อป เป็นคนครับ เป็นคนดีด้วย ลองอ่านต่อแล้วจะรู้ครับ แต่คงต้องเป็นคราวหน้า นะ ครับ