27 พฤศจิกายน 2551 17:30 น.
ลิลิต
เขาเป็นตำรวจชั้นประทวน ยศจ่าสิบตำรวจ มีชื่อจริงที่พ่อและแม่ตั้งให้ แสนจะไพเราะเพราะพริ้ง และเป็นศิริมงคลแก่ชีวิตเป็นอย่างยิ่ง คือ “ บุญรวย “ …จ่าสิบตำรวจบุญรวย แต่ไม่ใคร่มีใคร เรียกชื่อจริงของเขา และ มีน้อยคนนักที่จะรู้จักชื่อจริง ส่วนมากทั้งตำรวจและชาวบ้านทั่วไป จะเรียกเขากันติดปากว่า จ่าฉี
ไม่มีใครทีไม่รู้จักตำรวจผู้นี้ เขาเป็นผู้มีผลงานมากมาย มีสถิติการจับกุมคดีต่าง ๆ มาอย่างโชกโชน คดียาเสพติด โดยเฉพาะคดีตาม พระราชบัญญัติการพนันทุกประเภท เขามีผลการจับกุมมากมาเป็นอันดับหนึ่งของโรงพัก และทั่วจังหวัดนี้เลยก็ว่าได้ เขาเป็นตำรวจที่มีความขยันขันแข็ง อารมณ์ดี มีเพื่อนฝูงรักใคร่ชอบพอกันมากมาย ถึงจะจับกุม กระทบกระทั่งกับชาวบ้านมามากต่อมาก แต่เพราะเขาเป็นคนพูดเก่ง มีมนุษย์สัมพันธ์ดี ปากหวาน ก็ลดกระแสการเกลียดชังไปได้พอสมควร
ก่อนที่จะมากล่าวเล่าเรื่องราว เรื่องการทำงานของตำรวจน้ำดีคนนี้ จะขอเล่าประวัติความเป็นมาของเขาเสียก่อนพอหอมปากหอมคอ
จ่าบุญรวย หรือจ่าฉี นั้นอายุประมาณสี่สิบเศษ ๆ เศษไปอีกเกือบแปดปี เขาแต่งเครื่องแบบสะอาดสะอ้าน ติดเครื่องหมาย แถบเหรียญต่าง ๆ เต็มหน้าอกทั้งสองข้าง
เป็นตำรวจเจ้าสำอาง แลดูจึงไม่ค่อยจะแก่ไปตามอายุขัย และอันที่จริง วงการตำรวจนั้น จะไม่มีใครยอมเป็นคนแก่ ไม่มีค่ำว่า ลุง น้า ..มีแต่คำว่า พี่กับน้องเท่านั้น เพราะแม้หลายคน อายุจะใกล้เกษียณแล้วก็ตาม เด็กรุ่นน้องก็ต้องเรียกว่า พี่ ห้ามมีใครเรียกใครที่มีอายุแก่กว่าพ่อ ว่าลุงเป็นอันขาด นี่เป็นข้อห้ามโดยพฤตินัย มิได้เป็นลายลักษณ์อักษร ของวงการสีกากีเลยทีเดียว
ถ้าใครตะขิดตะขวงใจที่จะเรียกคนที่มีอายุแก่กว่าพ่อ ว่าพี่แล้ว ก็จะเปลี่ยนไปเรียก ยศนำหน้า ตามด้วยชื่อจริง หรือชื่อเล่น อย่างเช่น ผู้หมวดตู้ ผู้กองนัด หรือจ่าฉี เป็นต้น
เมื่อประมาณ ๓๐ ปี ที่แล้ว จ่าฉี ได้รับการบรรจุเป็นพลตำรวจใหม่ ๆ ไม่ได้มีชื่อเล่นว่า ฉี แต่อย่างใด ก่อนนั้นพ่อแม่ตั้งชื่อเล่นให้เขามาแต่เด็ก ว่า “ น้อย “ แต่ไม่มีใครเรียกชื่อเล่นนี้ ตั้งแต่เขาเข้ามารับราชการเป็นตำรวจ กลับมาเรียกชื่อเล่นว่า จ่าฉี แทน
ส่วนคำว่าฉี นั้นมันมีที่มาที่ไป โดยในขณะนั้นมีหนังจีนกำลังภายในที่ฉายทางทีวี อยู่เรื่องหนึ่ง ดังมาก ๆ คือเรื่องกระบี่ไร้เทียมทาน ติดกันงอมแงม ทั่วบ้านทั่วเมือง รวมทั้งจ่าฉี คนหนึ่งด้วย
พระเอกนั้น ชื่อเสียงโด่งดัง ชื่อว่า ฉี เส้า เฉียน หนังจะ ออกฉายทางทีวี ตอนประมาณสามทุ่มกว่า ๆ จ่าฉี แกชอบเรื่องนี้มาก และชอบพระเอกสุดเท่ห์คนนั้นด้วย อยู่มาคืนหนึ่ง ก็เกิดเรื่อง เมื่อจ่าฉี ได้เวลาไปรับหน้าที่เวรยามต่อจากเพื่อนที่โรงพัก แต่มันบังเอิญที่ทีวีโรงพักมันเกิดเสียมาตั้งแต่ช่วงกลางวัน จ่าฉี จึงเบี้ยวไม่ยอมมารับเวรให้ตรงเวลา เพราะมัวแต่ดูหนังจีนให้จบก่อน เลยถูกหัวหน้าโรงพักสั่งลงทัณฑ์ ขัง ในห้องขัง มีกำหนด ๗ วัน เนื่องจากขาดเวรยาม
ตั้งแต่นั้น เพื่อนตำรวจก็เลยตั้งชื่อใหม่ให้ และเรียกเขาว่า จ่าฉี เส้า เฉียน แต่นั้นมา แต่เพราะชื่อมันยาวเกินไป เรียกยาก ก็เลยเรียกกันสั้น ๆ ง่าย ๆ กันติดปากว่า จ่าฉี มันจึงเป็นเช่นนี้แล
จ่าฉี มีตำแหน่งหน้าที่ปฏิบัติเป็นสายตรวจรถยนต์ ถ้าวันไหนผู้หมวดว่างก็จะนั่งรถไปด้วยกัน ถ้าไม่ว่างก็จะให้จ่าฉี ไปกับลูกน้อง คอยออกตรวจตรา รับผิดชอบทั้งเขตอำเภอ เขามีนิสัยตำรวจอย่างหนึ่งก็คือ ชอบสงสัย ในทุก ๆ สิ่ง ทุก ๆอย่าง รอบ ๆ ข้าง โดยมักจะพูดติดตลกว่า “ ตำรวจนั้นต้องสงสัยไว้ก่อน ถ้าตำรวจสงสัยให้จับ ….แต่ถ้าศาลสงสัย ให้ปล่อย (ผู้กระทำผิด)
และเพราะความเป็นคนขี้สงสัยนั้นเอง จ่าฉี จึงมีผลงานการจับกุม ปรากฏให้เห็นมากมาย จนได้รับโล่เป็นตำรวจดีเด่นติดต่อกันมาหลายปี
เมื่อออกตรวจท้องที่ เขาจะให้พลขับขับตระเวนไปตามถนนสายต่าง ๆ ทั้งตรอกซอกซอยเล็ก ๆ สอดส่ายตาแลหาผู้กระทำผิดกฎหมาย ถ้าผ่านไปหน้าบ้านหลังใด ถ้าเห็นมีรถจักรยานยนต์ รถยนต์ หลายคัน จอดอยู่แถวบริเวณใกล้ ๆ เห็นผิดปกติ หรือ ที่หน้าบ้านหลังใด มีรองเท้าวางอยู่หลาย ๆ คู่ แต่ไม่เห็นคนปรากฏกายอยู่บริเวณดังกล่าว ก็ให้สันนิษฐานไว้เลยว่า แถบบ้านใกล้เคียงบริเวณดังกล่าว จะมีคนเล่นการพนันกัน ไม่หลังใดก็หลังหนึ่ง เขาจะจอดรถพากำลังไปตรวจสอบ แล้วก็พบคนเลนการพนันกันเป็นประจำ จะพูดว่าความสงสัยของเขานั้นมีประโยชน์มากทีเดียว
วันนี้ เขากับผู้หมวดและลูกน้องอีกสองคน นั่งรถยนต์ตราโล่ ออกตรวจไปตามเส้นทางหลังสถานีรถไฟ เมื่อผ่านเลยตึกอาคารคูหาสามชั้นที่กำลังก่อสร้าง และเห็นบ้านไม้หลังหนึ่งอยู่ใกล้ ๆ กัน จ่าฉี เอามือตบหลังพลขับ แล้วบอกให้หยุดรถ เมื่อหันไปเห็นหน้าบ้านดังกล่าว ประตูหน้าบ้านเปิดแง้มอยู่ เห็นมีผู้คนหันหลังให้ ลักษณะเหมือนกำลังล้อมวงกัน ก้มหน้าก้มตาทำอะไรสักอย่าง …. รองเท้าแตะหน้าห้อง มีประมาณเกือบยี่สิบคู่
“ น่าจะเล่นป๊อกเด้ง หรือไม่ ก็ไฮโลว์ “
จ่าฉี บอกผู้หมวด พร้อมกับมองสังเกตการณ์ ไปยังจุดบริเวณดังกล่าว ซึ่งอยู่ห่างจากที่รถจอดประมาณ ๑๐๐ เมตร ผู้หมวดกับพวก ยังไม่ทันได้เอ่ยอะไร จ่าฉี เห็นชายคนหนึ่ง เดินก้าวออกจากทางหลังบ้าน ท่าทางมีพิรุธ เดินออกไปด้วยอาการที่เร่งรีบ
“ไปผู้หมวด พวกมันรู้ตัวแล้ว “ จ่าฉี พูดพร้อมกับเปิดประตูรถตอนหลัง วิ่งออกไปยังจุดหมายอย่างรวดเร็ว
ผู้หมวดพร้อมพลขับ และตำรวจอีกคนหนึ่ง ยังเงอะงะอยู่ในรถ เมื่อผู้หมวดกับพวกเปิดประตูก้าวลงจากรถจะวิ่งตาม จ่าฉีไป พลันก็เห็น และได้ยินเสียงเอะอะ โวยวายดังขึ้น เห็นจ่าฉีกระโดดผ่านประตูเข้าไปในบ้านหลังนั้น ได้ยินเสียงเหมือนถ้วยจานกระทบกันดังสนั่นหวั่นไหว
“ ฮ่วย ตำรวจ ทำอะไรกันแหน “ สำเนียงคนอีสานดังกันเซงแซ่ ผู้หมวดพร้อมพวกวิ่งไปถึงหน้าประตูหน้าบ้าน เห็นจ่าฉี นอนล้มคลุกคลานอยู่บนพื้นไม้กระดาน ถ้วย จาน เห็นมีอาหารหลายอย่าง กระจัดกระจาย ระเกะระกะอยู่ จ่าฉี ลุกขึ้นปัดเศษอาหารที่ติดกางเกง ด้วยสีหน้า เจื่อน ๆ ได้กลิ่นส้มตำปลาร้าโชยมาแต่ไกล
ปรากฏว่ามันไม่ใช่วงไพ่ แต่คนงานก่อสร้างกำลังตั้งวงเปิบข้าวเหนียวมื้อเที่ยงกันอย่างเอร็ดอร่อยอยู่นั่นเอง แทนที่จะได้นักพนัน จ่าฉี ต้องมาเสียฟอร์ม อย่างที่เห็น ๆ ผู้หมวดและตำรวจอีกสองคนหัวเราะกันดังลั่น
หลังจากจ่าฉี กับผู้หมวด ขอโทษขอโพยคนงานแล้ว โดยบอกว่ามีคนแจ้งว่ามีการเล่นการพนันที่นี่ แต่ไม่ดูให้ดี คนงานซึ่งเป็นคนต่างพื้นที่ก็เข้าใจ
“ เป็นงัย จ่าฉี ..ทีหลังจะทำอะไร ก็ให้ดูให้ละเอียดเสียก่อน ดีนะที่เขาไม่ร้องเรียน…” ผู้หมวดพูดพร้อมกับยิ้ม ๆ และแซวจ่าฉีต่ออีกว่า “ เฮ้ย …แล้วอย่าลืมเอากระติ๊บข้าวเหนียว ถ้วยส้มตำ ปลาร้า ยึดไปเป็นของกลางด้วยล่ะเด้อ ..อิอิ”
หลังจากวันนั้น เป็นต้นมา ข่าวที่จ่าฉี ไปตะครุบวงข้าวเหนียวส้มตำ ก็ดังไปทั้งอำเภอ จนจ่าฉี ต้องหยุดความสงสัย และระงับการไปจับการพนันไปเป็นเดือน ๆ อายจริง ๆ เพื่อน ๆ มันก็แซวอยู่นั่นละ
( 2 )
วันนี้ ผู้หมวด จ่าฉี และตำรวจชั้นประทวนอีกสองคน นั่งรถยนต์ออกตรวจตามปกติ มาจอดรถที่หน้าสถาบันราชภัฎ ฯ ลงไปนั่งดื่มกาแฟ ร้านเจ๊ต้อย ซึ่งเป็นร้านขาประจำ จ่าฉี ชอบชวนผู้หมวดหนุ่มมานั่งที่ร้านนี้ รถชาติอาหาร หรือรสชาติกาแฟ ก็งั้น ๆ แต่จ่าฉี บอกว่าร้านนี้บรรยากาศมันดี และเป็นที่ชุมชนนักศึกษาเยอะ ตำรวจควรจะมานั่งเพื่อให้ความอบอุ่นใจกับประชาชน และเพื่อจะได้พูดคุยกับผู้คน สร้างมวลชนสัมพันธ์ที่ดีกับนักศึกษาและประชาชน ตามนโยบายของหน่วยเหนือ ผู้หมวด พยักหน้ารับฟังเหตุผลของจ่าฉี ที่พูดกะล่อนไปวัน ๆ ด้วยความขบขัน
ร้านกาแฟ เจ๊ต้อย ชั้นบนเปิดเป็นหอพักนักศึกษา ตำรวจชอบมานั่งตรวจท้องที่ตรงร้านนี้ เพราะทำเลมันเหมาะ ตั้งอยู่ตรงหน้าประตูใหญ่ มีนักศึกษาและประชาชนเดินไปมาในแต่ละวันมากมาย ขณะที่จ่าฉี และพวกกำลังนั่งพูดคุยกันอย่างสนุกสนานอยู่นั้น พลันก็ได้ยินเสียงมันมีพิรุธ ผิดปกติ ดังมาจากชั้นบน พวกเขาได้ยินเสียงนักศึกษาชายพูด และได้ยินเสียงปรบมือ หรือเสียงโห่ฮาดังขึ้นเป็นระยะ ๆ พอมองออกไปทางหน้าร้าน เห็นนักศึกษาสาว ๆ พอเดินผ่านหน้าร้านก็จะแหงนหน้ามองไปทางชั้นบน แล้วพวกเธอก็จะมองมาที่พวกเขาที่นั่งอยู่ ….มันน่าสงสัย ในพฤติการณ์ที่เกิดขึ้นยิ่งนัก ผู้หมวดนั้นสงสัยยิ่งหนักกว่าคนอื่น แต่จ่าฉี ดูมีท่าทีเรียบเฉย ไม่เหมือนเมื่อก่อน
“ เจ็ดแต้ม “ เสียงนักศึกษาชาย คนหนึ่ง พูดขึ้นมา
แล้วก็ได้ยินเสียงอีกคนพูดสวนมาว่า “ ไม่ถึงเจ็ด…หกแต้ม ก็พอ “
เสียงอีกคนบอกว่า “ เจ็ดครึ่ง “
ตำรวจทั้งสี่คนเงียบกริบโดยอัตโนมัติ
“ ผมว่า “ แปดแต้ม “ อีกคนพูดขึ้นมาอีก
น่าสงสัย เอ๊ะ ทำไมมันพูดคำว่า “ แปด “ แต่ไม่พูดคำว่า “ ป๊อก “ ว่ะ เพราะแปดมันก็ป๊อกนี่หว่า หงายไพ่ได้เลย .. หรือไม่ใช่เล่นป๊อกเด้ง อาจจะเล่นไพ่ผสมสิบ หรือเก้าเก หรือไพ่ประเภทใหม่ ๆ ที่พวกนักศึกษาคิดค้นขึ้นมาเอง แต่มันก็ต้องมีเล่นการพนันอะไรสักอย่างหนึ่งเป็นแน่
ผู้หมวด เอ่ยขึ้นเบา ๆ โดยมีลูกน้อง อีกสองคน พยักหน้าอย่างเห็นด้วย ส่วนจ่าฉี ส่ายหัวพร้อมพูดกับผู้หมวดว่า
“ ผมว่ามีอะไรทะแม่ง ๆ อยู่นะผู้หมวด อาจจะไม่ใช่เล่นการพนันก็ได้ ทำไมมันจึงมีคำว่า “ เจ็ดแต้มครึ่ง “ และ “ สี่แต้ม ..ห้าแต้มครึ่ง การพนันอะไร มีคำว่าแต้มครึ่งอยู่ด้วย ผู้หมวดดูให้ดีก่อนดีกว่า “ คำของจ่าฉี ซึ่งเป็น ผู้ชำนาญการเรื่องการพนัน ไม่ว่าจะเป็นการจับ หรือวิธีการเล่น มันก็น่ารับฟัง
แต่ผู้หมวด มั่นใจมาก ถึงกับตำหนิจ่าฉี ว่าไม่มีสมอง ฟังดูก็รู้ว่าต้องเป็นการเล่นการพนันอย่างแน่นอน เดี๋ยวจะต้องขึ้นชั้นบนไปจับมันเลย พวกมันไม่เกรงอกเกรงใจตำรวจเลยสักนิดเดียว รถตราโล่ก็จอดอยู่หน้าร้านเห็นชัดเจน .. แต่เจ๊ต้อย เจ้าของร้านก็ไม่อยู่ ไม่เป็นไร ความผิดซึ่งหน้า ขึ้นไปจับได้อยู่แล้ว แต่จ่าฉี ก็คัดค้านว่าไม่ควรผลีผลาม เพราะเจ้าของร้านออกไปข้างนอก ถ้ามีอะไรผิดพลาดเสียหาย เดี๋ยวเขาจะกล่าวหาว่าตำรวจบุกรุกโดยไม่มีเหตุอันสมควรก็ได้
“ เจ็ดแต้ม …หกแต้มครึ่ง “ เสียงนักศึกษาพูดดังขึ้นพร้อมกับเสียงหัวเราะและเสียงปรบมือชอบใจ
“ นั่น นั่น นั่น สี่แต้ม หยบอยู่ ( แปลว่า แอบ หรือ ซ่อนอยู่ ) กะว่าจะหลอกกินเจ้ามือ..อิอิ “ แล้วเสียงหัวเราะก็ดังครื้นเครง
ผู้หมวดหันไปพูดกับจ่าฉี ว่า ได้ยินชัดเจนแล้วหรือยังว่า เล่นป๊อกเด้ง แน่นอน มีคำว่าเจ้ามือด้วย ไม่ได้ยินรึงัย
และแล้วผู้หมวด,พลขับและตำรวจอีกนายหนึ่งก็วิ่งไปทางหลังร้าน รีบวิ่งขึ้นบันไดหลังเพื่อไปยังหอพักชั้นสอง ส่วนจ่าฉี เดินตามไปอย่างช้า ๆ
เมื่อไปถึงหน้าห้อง ประตูถูกล๊อกจากด้านใน ผู้หมวดเคาะเปิดประตูเรียกสองสามครั้ง พูดเหมือนกับที่ตำรวจทั่วโลกเขาพูดกันว่า” เปิดประตู พวกเราได้ล้อมตำรวจไว้หมดแล้ว..เอ๊ย ตำรวจได้ล้อมพวกนายไว้หมดแล้ว “ เสียงในห้องที่ดังเกรียวเมื่อสักครู่ เงียบกริบ
สักพักหนึ่ง นักศึกษาชาย หนึ่งคน นุ่งกางเกงขาสั้น ไม่ใส่เสื้อ เดินออกมาเปิดประตู โผล่หน้ามามองตำรวจอย่างงุนงง ผู้หมวดกับพวกวิ่งกรูเข้าไปในห้อง พบนักศึกษาชายอีก ๔-๕ คน ยืนออกันที่หน้าระเบียงด้านนอก ..ไม่เห็นมีไพ่ ไหนล่ะผ้าปู พร้อมกับเงินของกลาง เอ๊ะ มันอะไรกันนี่
“ ไหน เล่นอะไรกัน “ ผู้หมวดตะคอกถามนักศึกษาหนุ่มกลุ่มนั้น “ ไพ่อยู่ไหน “
“ พวกผม ไม่ได้เล่นไพ่ครับ..” พวกเขาปฏิเสธ “ คือ…พวกผมกำลังให้แต้มสาวๆ อยู่ครับ..”
ผู้หมวดหนุ่มงุนงง ให้นักศึกษาทั้งหมดลงไปคุยข้างล่าง ส่วนจ่าฉี ยิ้มอย่างสะใจ พอจะนึกภาพออกแล้ว ทีใครทีมันละผู้หมวด
หลังจากพานักศึกษามาพูดคุยข้างล่าง ความกระจ่างก็เกิดขึ้น นักศึกษาได้อธิบายให้ผู้หมวดฟังอย่างละเอียดว่า วันนี้ เป็นเวลาว่างจากคาบเรียน มาอยู่ที่หอ ก็ไปนั่งที่ระเบียง มองสาว ๆ ที่เดินผ่านไปมาตามประสาวัยรุ่น และภายในกลุ่มของเขาก็จะมานั่งวิพากวิจารณ์ และให้คะแนนสาว ๆ กัน โดยยึดเอาที่คะแนนเต็มสิบ โดยแต่ละคนต่างคนต่างให้คะแนนกัน ลดหลั่นกันลงมา แล้วทั้งหมดก็มาหาค่าเฉลี่ยที่ใกล้เคียงกันว่า สาวคนนั้นคะแนนจะอยู่ที่ระดับกี่แต้ม
“ แล้ววิธีการให้ของแต่ละคนนี่ ดูกันยังงัย อ้ายน้อง “ จ่าฉี ถามด้วยความสนใจ
“ ก็จะดูหมดเลย จ่า ตั้งแต่หน้าตา ความสวย ผิวพรรณ การเดิน การแต่งกาย “ เขาสาธยายให้ฟัง ระดับสาวราชภัฎอย่างเรานี่ แค่เจ็ดแต้มครึ่ง ก็สวยที่สุดแล้ว ..ถ้าระดับแปด เก้า นั่นต้องพวกหุ่นแบบนางแบบโน่น “
ผู้หมวดชักจะหมั่นไส้ จ่าฉี ชอบจังนะไอ้เรื่องสาว ๆนี่ “ แล้วมาให้แต้มสาว ๆ มันมีประโยชน์ อะไร สู้ไปอ่านหนังสือไม่ดีกว่าหรือ “
เขาตอบผู้หมวดไปว่า
” ก็สนุก ๆ ครับผู้หมวด ไม่มีอะไรเป็นอย่างอื่น และอีกอย่าง ภายในกลุ่มหรือวัยรุ่นด้วยกัน เขาจะพูดจาถึงผู้หญิงเรื่องความสวย เขาจะพูดกันเป็นแต้ม เขาไม่ถามแล้วว่า เด็กเอ็งสวยไหมวะ หุ่นดีไหมว่ะ ทำนองนี้ เขาจะถามว่า “ กี่แต้ม “ เราก็จะตอบเขาเป็นแต้มไปว่า ห้า ..หก..หรือเจ็ดแต้ม ก็จะรู้กัน หรือจินตนาการได้ทันทีว่า หน้าตา หรือหุ่นเป็นอย่างไร อยู่ในระดับไหน “
แหมมันถึงขนาดนั้นเชียว
จ่าฉี ชี้ไปที่สาวราชภัฎ คนที่เดินผ่านมา แล้วถามว่า “ คนนั้นกี่แต้ม “
นักศึกษาสองคนตอบพร้อม ๆกัน โดยมิได้นัดหมายว่า “ หกแต้ม “
จ่าฉี ตบท้ายทอยมันเบา ๆ พร้อมกับบอกว่า “ ไอ้ ห่…เอ๊ย กดคะแนนชิบ….ขาว สวย หุ่นดี ให้แค่หก ..น่าจะเจ็ดแต้มนะ พี่ว่า… “
เอ้า จ่าฉี ก็เป็นไปกับเขาด้วย..จ่าฉี บอกน้อง ๆ ว่าเดี๋ยวจะกลับมาศึกษาวิธีการให้แต้มสาว ๆ จากพวกเขาอย่างละเอียดอีกที เพื่อจะได้ไปเล่าให้พวกผู้หญิงทั้งหลายฟังว่า
ถ้าใครเดินผ่านกลุ่มวัยรุ่น แล้วถูกแซวเป็นตัวเลขว่า หก..เจ็ด ..แปด.. ก็จะได้ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ภูมิใจในความสวยของตนเองได้ ว่าตัวเองนั่นเริ่ดจริง ๆ แต่ถ้าได้ยินแค่ สี่หรือห้า ก็ให้ด่าพวกมันได้เลยว่า…พวกแกตาไม่ถึง..กดคะแนนชิบ…อิอิ
หลังจากนั้น ทั้งหมดก็นั่งรถยนต์เพื่อกลับโรงพัก ..เมื่อออกตรวจมาที่หน้าสถาบันราชภัฎ วิชาการ ความรู้ได้มาเต็มคันรถ
“ เดี๋ยว ผู้หมวด “ จ่าฉี ร้องเอะอะขึ้น “ เราลืมอะไรไปบางอย่าง “ ผู้หมวดถามว่า ลืมอะไรหรือจ่าฉี
จ่าฉี พูดสวนออกมาพร้อมกับหัวเราะว่า “ เราลืมยึดของกลางป๊อกเด้ง..งัย …โน่น หกแต้ม เจ็ดแต้ม “ เต็มไปหมด
พร้อมกับชี้มือไปที่สาว ๆ ราชภัฎที่เดินผ่าน ผู้หมวดขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพึมพำในลำคอร้องขึ้นว่า
“ ไอ้…. จ่าฉี เดี๋ยวเถอะ มึงงงงง..…..”
21 พฤศจิกายน 2551 15:20 น.
ลิลิต
( ๑ )
ลุงเสริม เป็นคนที่ชาวบ้านร้านตลาดแถวนี้ รู้จักกันเป็นอย่างดี เพราะเขาเป็นคนมีนิสัยเป็นกันเองกับทุก ๆคน และด้วยบุคคลิกลักษณะท่าทางที่เอาจริงเอาจัง เสมอต้นเสมอปลาย ทำให้เขามองดูเป็นคนที่น่าเชื่อถือ เขามีร่างกายที่แข็งแรง แม้พ้นวัยเกษียณมาแล้วหลายปี แต่ก็ยังดูอ่อนกว่าอายุจริงมากนัก ชาวบ้านในชุมชนชานเมืองแห่งนี้ ส่วนมากจะรู้จักลุงเสริม เป็นอย่างดี การเป็นคนตรงไปตรงมา เสมอต้นเสมอปลาย ชอบช่วยเหลือคนอื่น คือเอกลักษณ์อันโดดเด่นของลุงเสริม ทุกวันนี้ลุงเสริม อยู่กับภรรยาอย่างสุขสบาย กินเงินบำนาญของทางราชการ ลูก ๆ ก็มีครอบครัวทำงานทำการมีตำแหน่ง เป็นใหญ่เป็นโตกันหมดแล้ว เขาชอบช่วยเหลืองานสังคม เป็นที่ปรึกษาของผู้นำชุมชนแห่งนี้ ช่วยเหลือชาวบ้านและทางราชการมาโดยตลอด เขาได้ชื่อว่าเป็นคนดีศรีสังคม คนหนึ่ง ซึ่งนานนับวันจะหายากมากขึ้นทุกที
ทุก ๆ เช้า ลุงเสริมจะหิ้วกรงนกกรงหัวจุก ออกจากบ้าน ไปนั่งที่ร้านกาแฟปากซอย เมื่อจัดการแขวนกรงนก ที่ราวเหล็กที่เจ้าของร้านทำไว้บริการลูกค้า หลังจากนั้น ลุงเสริม ก็จะนั่งจิบกาแฟ ฟังเสียงร้องของนกของตัวเอง ประชันกับนกของคนอื่น ๆ อีกหลาย ๆ ตัว ที่แขวนอยู่เรียงใกล้ ๆ กันด้วยความเอิบอิ่มใจ และในทุกเช้า การสนทนาของลูกค้าขาประจำก็จะดังขึ้นเซ็งแซ่ ทุกเรื่องที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเกิดที่ไหน จะใกล้หรือไกล ก็จะได้ยินได้ฟังเรื่องราวต่าง ๆเหล่านั้นได้ ณ ที่สภากาแฟแห่งนี้ ใครในชุมชนทำอะไรไว้ ก็จะไม่รอดพ้นสายตาของเหล่าสมาชิกสภากาแฟ ไปได้ มันเป็นจุดศูนย์รวมของข้าราชการที่เกษียณ ที่มาร่วมตั้งวงสนทนากัน มันเป็นความสุขอย่างหนึ่งของคนแก่ อย่าไปว่าพวกเขาเหล่านั้นแกเลยการสนทนามีตั้งแต่เรื่องเล็ก ๆ ไปถึงเรื่องใหญ่ ตั้งแต่เรื่อง ไม้จิ้มฟันยันเรือรบ เรื่องการมุ้ง การเมืองมีหมด เรื่องพันธมิตร นปช. นายกสมชาย ฯ คลิปฉาว โกงข้าว กินลำใย ..ลูกสาวใครหนีตามใคร ใครได้กับใคร ใครเลิกกับใคร หรือใครท้องกับใคร มีมากมาย จิปาถะ ถ้าร้านกาแฟแห่งนี้เปรียบเป็นหนังสือพิมพ์ ก็มีข่าวตั้งแต่พาดหัวตัวใหญ่โต พาดหัวตัวรอง ๆ ลงมา เรื่อยไปจนถึงคอลัมน์เล็ก ๆ สำหรับเช้าวันนี้หัวข้อสนทนาสุดท้ายก่อนที่ลุงเสริม จะขับรถยนต์ไปทำธุระในตัวเมือง คือการสนทนาถึงประเด็นของการปฏิบัติตามกฎจราจรของคนในอำเภอนี้ และ การปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจจราจร ว่ามันมีสภาพเป็นอย่างไร หรือจะเละตุ้มเป๊ะกันขนาดไหน การพูดคุยกำลังออกรสชาติกันเลยทีเดียว
เฮ้ย อย่าไปว่าเหมารวมสิ ตำรวจจราจร ไม่ใช่ว่ามันจะเลวทกคนเสียเมื่อไหร่..คนดี ๆ ก็มีเยอะแยะ ลุงเสริม พูดตัดบทขึ้น เพราะรู้ดีว่าระบบราชการไทยนั้นเป็นอย่างไร ถ้าหัวไม่ส่ายหางก็คงจะไม่กระดิก
ที่เขาตั้งด่านจับไปปรับกัน เพราะว่ามันมีคนส่วนหนึ่งที่ชอบฝ่าฝืนกฎจราจร พอถูกจับหน่อยก็บ่น
หลายคนก็แย้งว่า ก็จริงอยู่ ตำรวจจับเพราะมีคนทำผิดกฎจราจร แต่ตำรวจหลายคนก็รับสินบนกันกลางถนน แทนที่จะให้ผู้ทำผิดไปเสียค่าปรับที่โรงพัก เอาเงินเข้าหลวง กลับเอาเข้ากระเป๋าเสียเองก็มี ถึงจะไม่เห็นกับตาตัวเอง ก็ได้ยินคนอื่นเขาเล่าให้ฟังมาอีกทีหนึ่ง
ทีคุณว่ามาก็น่าจะมีส่วนถูกบ้างแหละ แต่มันก็คือคนส่วนน้อย ที่ทำให้องค์กรเขาเสียหาย แต่ปัจจุบันผมคิดว่า ตำรวจประเภทชอบรีดไถ มันน่าจะน้อยลงมากแล้วนะ..
เมื่อมีสมาชิกบางคนให้ข้อมูลว่า ถึงตำรวจจะจับคนทำผิดไปเสียค่าปรับที่โรงพักก็จริง แต่การจับกุมของเจ้าหน้าที่บางครั้ง ก็หวังผลกับเงินรางวัลมากจนเกินไป ขยันจับกุมกันเรื่องเล็ก ๆ น้อย จนทำให้ชาวบ้านเดือดร้อน แม้กระทั่งคนที่มีความจำเป็น เร่งด่วน เช่นผู้หญิงไปจ่ายตลาด,นักเรียนที่ไปโรงเรียนตอนเช้า โดยไม่สวมหมวกนิรภัย..น่าจะอะลุ่มอะล่วยกันบ้าง
น่าจะยกเลิกรางวัลนำจับนะ ตำรวจจะได้จับคนที่ทำผิดในเรื่องที่มันสำคัญจริง ๆ ส่วนข้อหา เล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างเรื่องหมวกกันน๊อก นี่ ก็ว่ากล่าวตักเตือนกันสักครั้งหนึ่งก่อนก็ได้
ลุงเสริม พยักหน้าเห็นด้วยในประเด็นนี้ แต่ก็ยังแย้งว่า ถ้าไม่มีระบบการให้รางวัลนำจับ ก็คงจะไม่มีแรงจูงใจให้เจ้าหน้าที่ได้กระตือรือร้น คอยเข้มงวดกวดขันในเรื่องระเบียบวินัยของประชาชน เกี่ยวกับการใช้รถใช้ถนน เพราะลุงเสริม คิดว่าปัจจุบันคนไทยเรานั้นมีค่านิยมและความคิดที่เห็นแก่ตัวมากขึ้น ชอบที่จะฝ่าฝืนกฎเกณฑ์ กติกาของสังคม โดยเฉพาะการฝ่าฝืนกฎจราจรมีมากขึ้นกว่าเมื่อก่อน ลุงเสริม เอง ก็เคยพูดที่สภากาแฟแห่งนี้ว่า ถ้าเห็นใครทำผิดกฎจราจร แล้วบางทีนึกจะลงไปต่อว่า หรือชี้ให้ตำรวจจับไปปรับเสียให้เข็ด เพราะการฝ่าฝืนและการทำผิดกฎจาจรนั้น บางครั้งมันจะส่งผล อย่างใหญ่หลวงต่อคนอื่น ทั้งในเรื่องการเสียชีวิต ได้รับบาดเจ็บ และทรัพย์สินเสียหาย
เมื่อเสร็จจากการจิบกาแฟในเช้านี้แล้ว ลุงเสริม ไปเก็บกรงนกจากราว เอาไปไว้ที่ท้ายรถยนต์กระบะ เพื่อนำกลับบ้าน และจะเลยไปทำธุระที่ในตัวเมือง เมื่อลุงเสริม ขับรถยนต์ตามหลังรถยนต์กระบะคันหนึ่งมา และจอดรถรอไฟแดงตรงสี่แยก พอสัญญาณไฟเขียวปรากฏขึ้น รถคันหน้าก็ออกตัวไปอย่างช้า ๆ ลุงเสริม ก็ออกรถตามหลังไป ได้ยินเสียง โครม ดังขึ้นข้างหน้า ปรากฏว่า รถกระบะคันที่อยู่ข้างหน้ารถของเขา พุ่งเข้าชนประตูด้านซ้าย ของรถยนต์เก๋งที่ฝ่าไฟแดงตัดหน้ามาอย่างเร็ว เหตุเกิดตรงกลางสี่แยกพอดี ลุงเสริม นั่งคอยดูอยู่ในรถ คิดว่าคนขับรถเก๋งคันที่ฝ่าไฟแดง คงจะลงมาคุยเจรจาตกลงกันได้ ฝ่ายรถเก๋ง น่าจะมีประกันชั้นหนึ่ง เพราะเป็นรถใหม่ ใครผิดใครถูกก็เห็น ๆ กันอยู่ แต่ก็ผิดคาด เมื่อลุงเสริม เห็นชายวัยรุ่นสองคนลงมาจากรถเก๋งคันงาม เดินเข้าไปตะคอกลุงแก่ ๆ ที่ขับรถยนต์กระบะว่า
ลุงขับรถประสาอะไรกัน ขับผ่านมาจากทางโท แล้วมาชนรถของผมในทางเอก ลุงจะรับผิดชอบยังไง
ลุงคนนั้น ทำหน้างง ๆ ตกใจหน้าซีดเผือด พยายามพูดอธิบายว่า ฝ่ายคุณนั่นแหละ ผ่าไฟแดงตัดหน้า รถผม ผมขับไปเพราะได้สัญญาณไฟเขียว จะผิดได้งัย แต่เจ้าหนุ่มหัวหมอสองคนนั้นก็ยืนยันนอนยัน ตีลังกายันว่าลุงนั่นแหละผิด และไม่ยอมรับว่าตนเป็นคนผ่าไฟแดง พูดพร้อมกับหัวเราะในลำคอว่า
ลุงว่าผม ผ่าไฟแดง ลุงมีพยานไหมละ..ลุงนั่นแหละ ผ่าไฟแดง ..นี่พยานผมนั่งมาด้วยข้าง ๆ นี่ไง พร้อมกับชี้ไปที่เพื่อนพยาน
ลุงคนนั้น อายุราว ๆเกือบจะเจ็ดสิบปีแล้ว คงแก่กว่าลุงเสริม เพียงไม่กี่ปี เถียงไม่ออกบอกไม่ถูก จะเอาพยานที่ไหนมายืนยันล่ะ คนที่เห็นเหตุการณ์ เขาก็ขับรถไปกันหมดแล้ว ทีวีวงจรปิดรึก็มีที่ไหนกัน
สักพักหนึ่งร้อยเวรก็มาถึงที่เกิดเหตุ ก้มหน้าก้มตาจดอะไรก็ไม่รู้ในสมุด กดแฟล๊ชถ่ายรูป แสงแฟล๊ชจากกล้องสว่างให้เห็นวูบวาบเป็นระยะ ตำรวจอีกคนก็ดึงสายตลับเมตรมาวัดที่บนถนนบริเวณจุดที่รถชนกัน แล้วก็พ่นฉีดสีสเปรย์สีขาวลงบนถนน ตรงบริเวณรอยล้อรถยนต์ทั้งสองคัน ร้อยเวรถามทั้งสองฝ่ายว่าเกิดเหตุอย่างไร ต่างคนก็ต่างบอกว่าอีกฝ่ายผ่าสัญญาณไฟแดง ถ้าดูตามรูปการณ์แล้ว ลุงคนนั้นก็น่าจะเสียเปรียบ เพราะเป็นฝ่ายไปชนรถเก๋ง และทางของฝ่ายรถเก๋งเป็นสายหลักซึ่งเป็นทางเอก ส่วนทางถนนฝ่ายลุงนั้น เป็นทางโท ส่วนใครจะอ้างว่าฝ่ายไหนเป็นคนผ่าไฟแดงนั้นมันพิสูจน์กันยาก เพราะจังหวะไฟเขียวไฟแดงมันรวดเร็ว ร้อยเวร ฯ พยายามไกล่เกลี่ยให้ทั้งคู่ตกลงกัน เพราะไม่มีคนได้รับบาดเจ็บ
หลังจากไปจอดรถให้ชิดขอบทางแล้ว อารมณ์เดือดของลุงเสริม ก็พลุ่งพล่านขึ้นทันที เป็นไปได้ยังงัย คนที่ผิดเห็น ๆ กลับจะกลายเป็นฝ่ายถูก ส่วนฝ่ายที่ถูก กลับจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบคนอื่น
ลุงเสริม ตัดสินใจเดินเข้าไปหาร้อยเวร เมื่อร้อยเวร หันมาเห็นลุงเสริม ก็จำได้ ยิ้มและพูดทักทาย เพราะใคร ๆ ในอำเภอนี้ ก็รู้จักลุงเสริม ฯ ได้เป็นอย่างดี ลุงเสริม บอกรายละเอียดข้อเท็จจริง ที่เกิดขึ้นให้เจ้าของคดีทราบ และบอกว่าพร้อมจะขึ้นศาลให้การเป็นพยานในคดีนี้ ถ้าอีกฝ่ายยังดื้อรั้น ไม่ยอมรับว่าตัวเองผิด ถูกเอาดอกนี้เจ้าสองคนนั้น ถึงกับอึ้งเพราะจนมุมในข้อเท็จจริง หลังจากนั้นเจ้าหนุ่มสองคนก็ยอมรับสารภาพกับร้อยเวรว่าเป็นคนฝ่าไฟแดงจริง เลยโทร. แจ้งบริษัทประกันภัยมาตกลงค่าเสียหายกันได้ และรับซ่อมรถให้ลุงคนดังกล่าว ลุงคนนั้นขอบอกขอบใจลุงเสริม และบอกว่าจะตอบแทนน้ำใจที่ช่วยเหลือ ถ้าไม่ได้ลุงเสริม มายืนยัน ลุงแกคงโต้เถียงสู้เขาไม่ได้ แกบอกว่าจะพาลุงเสริม ไปเลี้ยงข้าวเป็นการตอบแทน แต่ลุงเสริม ปฏิเสธและขอบคุณในมิตรไมตรี โดยบอกว่าเป็นหน้าที่ของทุกคนที่จะต้องช่วยเหลือกันอยู่แล้ว และทุกคนควรจะต้องต่อต้านคนที่ชอบฝ่าฝืนกฎเกณฑ์ของสังคมในทุกกรณี และอย่าได้กลัวกับการที่จะต้องเป็นพยานเพื่อช่วยคนดี และเพื่อเอาผู้ทำผิดมาลงโทษ ซึ่งหายากมากสำหรับสังคมไทยทุกวันนี้ ที่จะมีคนกล้าเป็นพยานให้กับคนอื่นที่ไม่ใช่ญาติพี่น้องของตัวเอง คนโดยทั่ว ๆ ไป มักคิดว่า มันไม่ใช่เรื่องของเรา , ธุระไม่ใช่ , อย่าไปหาเหาใส่หัว..จิปาถะ กับคำพูดที่จะยกมากล่าวเป็นข้อแก้ตัว
ขอบคุณมากครับ คุณลุงเสริม ลุงเป็นคนดีจริง ๆ ครับ..ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง ลุงคนนั้นอวยพาเขาแล้วก็จากไปด้วยความปลาบปลื้มใจ
หลังจากนั้นลุงเสริม ได้นำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ไปเล่าที่สภากาแฟ สมาชิกทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่า ลุงเสริม ทำดี และถูกต้องแล้ว ที่ได้ช่วยลุงคนนั้นให้พ้นจากเล่ห์เหลี่ยมความเห็นแก่ตัวของคนบางคน แต่มีหลายคนให้ความเห็นว่า ถ้าตัวเขาเป็นคนประสบเหตุเหมือนกับลุงเสริม เขาไม่รู้ว่าจะกล้าไปเป็นพยานให้ลุงคนนั้นหรือไม่ ..ไม่แน่ใจ เพราะอีกฝ่ายคงจะไม่พอใจเป็นแน่
( ๒)
หนึ่งปีผ่านไปไวเหมือนโกหก ลุงเสริม ขับรถยนต์ไปตามถนนมุ่งหน้าไปทางสี่แยกดังกล่าวอีกครั้งหนึ่ง สี่แยกนี้ หลาย ๆ คนเรียกว่าสี่แยกร้อยศพ เพราะสี่แยกแห่งนี้เป็นสี่แยกเก่าแก่ของอำเภอ เมื่อก่อนรถยังไม่มากนัก และยังไม่ได้มีการติดตั้งสัญญาณไฟ ทำให้เกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้งมาก มีคนเจ็บและตายมานับไม่ถ้วน หลังจากติดตั้งสัญญาณไฟแล้ว อุบัติเหตุก็ไม่ได้ลดลงแต่อย่างใด ชาวบ้านบางคนบอกว่าเป็นสี่แยกอาถรรพ์ ทั้ง ๆ ที่โดยปกติดูแล้วก็เป็นสี่แยกไฟแดงธรรมดา ๆ ทั่ว ๆไป แต่ลุงเสริม คิดว่ามันไม่ได้เป็นเพราะ อาถรรพ์อะไรหรอก แต่สาเหตุที่แท้จริงเป็นเพราะคนขับรถประมาทไม่ค่อยมีความระมัดระวัง และเคยชินกับการเอาแต่สะดวกกันมากกว่า เพราะมันเป็น สี่แยกที่เป็นเขตชุมชน รถราก็มาก ถ้าต่างคนต่างระมัดระวัง อุบัติเหตุก็คงจะไม่เกิด และที่สำคัญชาวบ้านยัง ไม่ค่อยจะให้ความสำคัญกับกฎจราจร สัญญาณไฟแดงไฟเขียว ก็ไม่ค่อยสนใจ สนใจแต่จะคอยดูว่าวันนี้มีตำรวจจราจรอยู่หรือไม่ ถ้าไม่มีตำรวจอยู่ ก็มักจะทำมึนขับผ่านพ้นไปเฉยเลย และก็ช่างเวรกรรมจริง ๆ ลุงเสริม ขับรถผ่านสี่แยกนี้ครั้งใด เขาไม่เคยเห็นตำรวจจราจรนั่งตรงที่นั่งนั้นซักที มีแต่หมวกจราจร กับหมายเลขเท่ห์ ๆ ข้างหมวกวางขู่ชาวบ้านอยู่ใบหนึ่งเท่านั้นเอง
อีกห้าสิบเมตรจะถึงสี่แยกไฟแดงที่อยู่เบื้องหน้า ในทันใดนั้นลุงเสริมต้องใจหายวาบ เมื่อได้ยินเสียงท่อไอเสียรถมอเตอร์ไซค์ดังแสบแก้วหู ขับตามหลังรถยนต์เขามา และรถมอเตอร์ไซค์ได้ขับแซงขวาขึ้นหน้ารถยนต์เขาไปอย่างรวดเร็ว คนขับเป็นเด็กชายวัยรุ่น นอนราบไปกับเบาะรถ ทำท่าทางคล้าย ๆ กับซุปเปอร์แมน ..มันเมาหรือบ้ากันแน่ว่ะนั้น..ชายวัยรุ่นดังกล่าวขับรถผ่าไฟแดงตรงสี่แยก ลุงเสริม เบรครถ และทำหน้าเหยเกด้วยท่าทางหวาดเสียว เหมือนจะทำนายอนาคตข้างหน้านั้นได้ว่าเดี๋ยวจะต้องมีอะไรเกิดขึ้นแน่ ๆ
โครม ด้านหน้าของรถยนต์คันหนึ่ง ชนเข้าตรงล้อหลังของรถมอเตอร์ไซค์ของเด็กนั้นอย่างจัง รถยนต์จอดทับรถมอเตอร์ไซค์ ที่ล้มอยู่กลางสี่แยก ส่วนเจ้าเด็กวัยรุ่นคนนั้นลอยกระเด็นข้ามไปอีกฟากถนน เขาจอดรถ และลงมาดู จราจร ขึ้น ว. ๒ ว.๘ เรียกรถมูลนิธิ ฯ นำคนเจ็บไปส่งโรงพยาบาล เขาคิดว่าสภาพตามที่เห็นแล้ว วัยรุ่นคนนั้นถ้าไม่ตายก็น่าจะเลี้ยงไม่โต ต่อมาร้อยเวร ฯ คนเดียวกันกับที่เข้าเวรเมื่อวันก่อน ก็มาที่เกิดเหตุ ทำแผนที่เสร็จแล้ว หันมาเห็นลุงเสริม ฯ ยืนอยู่พอดี ก็พูดเล่น ๆ ขึ้นว่า
หวัดดีลุงเสริม ฯ หวังว่าวันนี้ ลุงคงจะไม่เห็นรถคันไหนฝ่าไฟแดงอีกนะครับ.. พูดพร้อมกับหัวเราะ แต่ร้อยเวร ฯ ก็ต้องอึ้งไปพักใหญ่ เมื่อได้ยินเสียงลุงเสริม บอกว่าเขาเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด พร้อมกับเล่ารายละเอียดข้อเท็จจริงให้ตำรวจฟัง ต่อมาลุงเสริม ฯ ก็ไปให้ปากคำเป็นพยานที่โรงพัก โดยยืนยันว่า วัยรุ่นคนขับรถมอเตอร์ไซค์ เป็นคนฝ่าไฟแดงไปชนรถยนต์อีกคัน ร้อยเวรขอบคุณลุงเสริม ในการเป็นพลเมืองดีช่วยเหลือเขาอีกครั้งหนึ่ง เพราะว่าถ้าไม่มีพยาน คดีนี้คงจะมีปัญหาตามมาอีกแน่นอน ฝ่ายคนขับรถยนต์คงจะต้องรับกรรมอีกเป็นแน่ เพราะดูอาการคนขับมอเตอร์ไซค์แล้ว น่าจะอาการหนัก ไม่ถึงกับเสียชีวิต ก็ต้องบาดเจ็บสาหัส
วันต่อมา ลุงเสริม ก็ต้องตกใจ เมื่อทราบจากน้องสาวของเขาว่า คนขับรถมอเตอร์ไซค์คันเกิดเหตุวันนั้น เป็นลูกชายของน้อง ได้รับบาดเจ็บสาหัส นอนรักษาตัวที่โรงพยาบาล ขาทั้งสองข้างหัก แขนขวาหัก สมองถูกกระทบกระเทือน หมอกำลังช่วยชีวิต แต่อนิจจา เขาได้เสียชีวิตในเวลาต่อมา เด็กคนที่ตายนั้นเป็นหลานชายของเขาเอง..วันเกิดเหตุเขาก็ไม่ได้ไปดูคนเจ็บ เพราะมีคนห้อมล้อมกันมาก และเจ้าหน้าที่มูลนิธิ ฯ ก็รีบช่วยนำคนเจ็บไปส่งโรงพยาบาลในทันที เรื่องนี้ทำให้ลุงเสริม เสียใจ ไม่สบายใจเป็นอย่างมาก เพราะน้องสาวและ ญาติ ๆ ได้ต่อว่าลุงเสริม อย่างรุนแรง หลังจากที่เขาไปให้การเป็นพยานกับตำรวจ จนตำรวจชี้แจงบอกน้องสาวและญาติ ๆ ว่า ฝ่ายคนขับมอเตอร์ไซค์ เป็นฝ่ายผิด เป็นคนประมาท เพราะฝ่าไฟแดง และต้องชดใช้ค่าซ่อมรถยนต์ให้คู่กรณีด้วย น้องสาวของเขาโกรธมาก ที่ลุงเสริม ไปให้การอย่างนั้น ทั้ง ๆ ที่ฝ่ายรถยนต์มาชนรถของลูกชาย.จนเสียชีวิต .น้องสาวเขาไม่เชื่อว่าลูกชายจะเป็นฝ่ายผิด
ลุงเสริม พยายามพูด อธิบายให้ฟังว่า ตอนเกิดเหตุเขาไม่รู้ว่าคนขับรถมอเตอร์ไซค์ เป็นใคร และถึงแม้จะรู้ว่าเป็นหลานชายเขา ลุงเสริม จะทำอย่างไร จะไปเป็นพยานให้ตำรวจ แล้วพูดโกหกกับตำรวจ หรือบิดเบือนข้อเท็จจริง แต่ลุงเสริม ก็คงจะไม่ทำอย่างนั้น เป็นแน่ เพราะยังไง ๆ หลายชายของเขาก็ขับรถฝ่าไฟแดงไปชนเขาจริง ๆ
ถึงเรื่องจริงจะเป็นยังงัย..ถ้าพี่อยู่เฉย ๆไม่ไปเป็นพยาน ลูกชายหนู ก็จะไม่ตายฟรี นี่ต้องถูกฟ้องให้ซ่อมรถเขาอีกต่างหาก ..พี่จะตงฉินไปถึงไหน ชาวบ้านคนอื่นเขาเหมือนพี่หรือเปล่า ประเทศไทยเป็นของพี่คนเดียวหรืองัย พี่จึงได้ทำอย่างนี้
คำพูดถากถาง เหยียดหยาม สารพัดสารพันประดังเข้าโสตประสาทของลุงเสริม ..เขาต้องน้ำตาซึม พูดไม่ออก บอกไม่ถูก ไม่รู้จะพูดอะไรที่จะบรรเทาความเสียใจของน้องสาวได้
หลังงานศพหลานชาย เรื่องนี้เป็นประเด็นใหญ่ทีให้ถกกันที่สภากาแฟ เสียงของสมาชิกก็แตกออกเป็นสองฝ่าย ถ้าจะให้โหวตเสียงกัน ก็คงจะก่ำกึ่ง ฝ่ายหนึ่งบอกว่าลุงเสริม ทำถูกแล้วที่พูดความจริง แม้ความจริงนั้นจะทำให้ตัวเองและญาติพี่น้องต้องเจ็บปวดสักปานใดก็ตาม แต่อีกฝ่ายหนึ่งบอกว่าลุงเสริม เป็นพลเมืองดีมากจนเกินไป และยุ่งเรื่องชาวบ้านมากเกินพอดี ทั้ง ๆ ทีถ้าจะเอาหูไปนาเอาตาไปไร่เสียบ้าง ก็น่าจะทำได้
ลุงเสริม มานอนเอามือก่ายหน้าผาก คิดมาก และเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ความกล้าแกร่ง เข้มแข็ง และความเชื่อมั่นในตัวเอง ตอนสมัยหนุ่ม ๆนั้น มันได้หายไปไหนกันหมด มีแต่ความท้อแท้ หดหู่ในหัวใจ การที่เขาทำหน้าที่พลเมืองดีในหลาย ๆ ครั้งที่ผ่านมาแล้วนั้น ทุกคนก็พากันสรรเสริญเยินยอ แต่เขาก็ทำมันจากใจจริง มิได้หวังคำเยินยอ หรืออามิส สินจ้าง รางวัลใด ๆ แต่อย่างใด แต่จากการที่เขากระทำในครั้งนี้ มันทำให้เขารู้สึกผิด เป็นต้นเหตุให้ญาติพี่น้องเป็นทุกข์ทรมาน และเสียใจ เขาได้กระทำไปในฐานะของการเป็นพลเมืองดีแล้วหรือ จริงอยู่ มีฝ่ายหนึ่งอาจจะบอกว่าเขาเป็นคนดี เพราะไม่ต้องตกเป็นผู้ต้องหา ข้อหาขับรถประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย แต่อีกฝ่ายหนึ่ง ญาติพี่น้องเขา..สังคมเขาที่เขาอาศัยอยู่ล่ะ จะคิดยังไง ที่ญาติเขาต้องตายฟรี เพราะการทำความดีในครั้งนี้ แล้วอย่างนี้ เขายังจะทำมันอีกต่อไปหรือ เพราะใคร ๆ ต่างก็มองเขาว่า..เขานั้นเป็นคนดีที่เสียไปหมดแล้ว .
16 พฤศจิกายน 2551 12:49 น.
ลิลิต
( 1 )
ผู้เขียนมีความปรารถนาอย่างแรงกล้ามาตั้งแต่ครั้งสมัยเรียนหนังสือแล้วว่า อยากจะเป็นนักเขียนทีมีชื่อเสียง ประเภท นวนิยาย หรือเรื่องสั้น แต่มันก็เป็นแค่ความฝัน เพราะผู้เขียนไม่เคยได้เริ่มลงมือเขียนเรื่องอะไรเป็นชิ้นเป็นอันซักที ความใฝ่ฝันสมัยนั้น อยากเป็นนักเขียนชื่อดัง ที่ใคร ๆ ก็รู้จัก มีคนอ่านเรื่องราวที่เราเขียนมากมายมหาศาล แต่ความฝันนั้นก็คงจะเป็นความจริงไปไม่ได้ เพราะผู้เขียนไม่เคยได้เริ่มต้นฝึกปรือ เพื่อพัฒนาฝีมือในการการเขียนแต่อย่างใด ส่วนพรสวรรค์ในการเขียนของผู้เขียนนั้น มันก็คงจะมีไม่มากนัก
ต่อมาเมื่อล่วงพ้นมาถึงวัยทำงาน ความคิดฝันดังกล่าวพลันก็ปรากฏขึ้นในห้วงความคิดมาอีกครั้ง อยากจะเขียนเรื่องราว ต่าง ๆ ทีได้ประสบพบพานมาในชีวิต ลงเป็นตัวอักษร ให้โลดแล่นเพื่อผู้อ่านจะได้อ่านและได้รับรู้เรื่องราวนั้น ๆ ที่ผู้เขียนถ่ายทอดไป ด้วยความประทับใจ
แล้วจะเขียนเรื่องอะไรดีล่ะ นี่คือปัญหาใหญ่ และเป็นปัญหาหนักอก ของ ผู้เขียน หรือน่าจะเป็นของนักเขียนมือใหม่ทุกคน จากการอ่านตำหรับตำรา และศึกษาประวัติชีวิตของนักเขียนหลาย ๆ ท่านแล้ว ส่วนมากพวกเขาก็จะแนะนำนักเขียนรุ่นใหม่ ๆ ว่า ถ้าริอ่านจะเป็นนักเขียน จะเขียนเรื่องราวประเภทไหนก็แล้วแต่ เรื่องแรก ๆ นั้น ให้เขียนเรื่องที่ตัวเองรู้ดีที่สุด คือเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวของผู้เขียนนั่นเอง
เรื่องใกล้ตัว..ผู้เขียนกวาดสายตาไปรอบ ๆ ห้อง อันรกรุงรัง มีโน้ตบุ๊ค สภาพเก่าถึงเก่ามาก ๑ ตัว ,ตู้หนังสือที่มีหนังสือหลากหลายประเภทวางระเกะระกะอยู่ ,ที่นอน, หมอน,..แต่ไม่มีมุ้ง มีแต่มุ้งลวด ..ไม่มีอะไรใกล้ตัว ที่จะเป็นความประทับใจให้ผู้เขียนนำมาเขียนถึงได้เลย แล้วจะเขียนอะไรดีล่ะ หรือจะเขียนถึงประวัติของตัวเอง..อืม มันก็น่าคิดนะ แต่จะเขียนว่าอย่างไรดีล่ะ ..เพราะดู ๆ แล้ว ชีวิตของผู้เขียน มันก็ไม่มีอะไรน่าประทับใจเลยสักนิด เป็นชีวิตที่เรียบง่าย ไม่ใช่คนดังในสังคม ไม่ใช่นักการเมือง ไม่ใช่คนเร่าร้อนอะไร มีพรรคพวกเพื่อนฝูงก็ไม่มากนัก ส่วนเรื่องความหล่อเหลานั้น มองแล้วก็คงพอจะไปวัดไปสำนักสงฆ์ได้บ้าง ( ถ้าได้ถูตะไบตบแต่งสักนิด ) ถึงเขียนไปก็คงจะเป็นเรื่องเป็นราวอะไรไม่ได้หรอก เพราะไม่ใช่คนเด่นคนดังนีนา ครั้นจะเขียนเกี่ยวกับเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ ฉันรักเธอ เธอรักฉัน เรารักกัน ซู่ซ่า ซู่ซ่า มันก็คงจะไม่เวิร์ค เพราะบอกตรง ๆ ว่าเรื่องอื่นสมองพอจะมีความคิดปลอดโปร่งได้ แต่สำหรับเรื่องพรรค์นี้ ผู้เขียนมันอ่อนด้อยประสบการณ์เสียจริง ๆ
ผู้เขียน นึกขึ้นมาได้ว่าเรื่องใกล้ ๆ ตัวก็ที่ผู้เขียนเห็น ๆ กันอยู่ทุกวัน เห็นมาตั้งแต่เด็กนั้น มันมีเรื่องราว ,มีตัวละคร หลากหลาย ที่พอจะเขียนไปได้หลายบทหลายตอนเลยทีเดียว ผู้เขียนจึงตัดสินใจเขียนเรื่องราวของบุคคลอาชีพหนึ่ง ซึ่งเมื่อไม่นานมานี้ มท.๑ คนปัจจุบัน เคยให้สัมภาษณ์ ขณะเมื่อดำรงตำแหน่งผู้นำองค์กรสูงสุดของหน่วยงานนี้มาแล้ว มท.๑ ได้พูดว่า อาชีพนี้เป็นอาชีพที่ถูกสาป .เมื่อเขียนมาถึงตอนนี้ ผู้อ่านบางคนอาจจะร้อง อ๋อ..จำได้แล้ว หรือบางคนอาจจะ สั่นหน้า แล้วบอกว่า ไม่เห็นรู้เรื่องเลย..เอ้า ไม่เป็นไร ผู้เขียนจะบอกให้ว่าอาชีพที่ผู้เขียนจะเขียนถึงนั้น คืออาชีพตำรวจ
..แล้วอาชีพตำรวจนี้ มันเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวกับผู้เขียนตรงไหน ..ไม่ต้องงงหรือสงสัย เพราะจะบอกอยู่เดี่ยวนี้ว่า ผู้เขียนนั้นเป็นคนที่ใกล้ชิดกับอาชีพตำรวจมากที่สุด เพราะบ้านเดิมและบ้านปัจจุบันของผู้เขียนนั้น มีรั้วติดกันอยู่หลังโรงพักนั่นเอง เห็นตำรวจมาตั้งแต่เด็กแล้ว จึงไม่ค่อยกลัวตำรวจเหมือนเด็กคนอื่น ๆ เมื่อร้องไห้ทีไร พ่อแม่ต้องเอาตำรวจมาขู่ถึงจะหยุดร้องงอแง
ผู้เขียนรู้ลึกถึง ตับ ไต ไส้ พุง ม้าม ตับแข็ง ตับอ่อน ฯลฯ ของชีวิตตำรวจมากมาย อย่างละเอียดละออ ก็บอกแล้วว่าบ้านอยู่หลังโรงพัก..โน่นมองเห็นด้านหลัง ลองมองไปที่บริเวณชั้นสอง จะเห็นเป็นช่องหน้าต่าง และมีซี่ลูกกรงเหล็กกั้นอยู่เป็นแถวนั่น เห็นผู้ชายสองสามคนกำลังปีนป่ายเบียดเสียดเอามือเกาะลูกกรง มองผ่านลอดออกไปมองผู้คนที่อยู่ด้านล่าง ทำยังกับพวกชะนีที่ปีนป่านต้นไม้ร้องโหยหวนยังงัยยังงั้น ..ผู้เขียนเห็นมาจนชินแล้วละจึงได้เรื่องที่จะเขียนแล้ว เรื่องที่ใกล้ตัวที่สุด คือเรื่องตำรวจ..แล้วจะตั้งชื่อเรื่องว่าอย่างไรดี
เรื่องราวจะเป็นอย่างไร มันก็คิดไม่ค่อยออก จะตั้งชื่อเรื่องว่า ตำรวจ มันก็ดูทื่อเกินไป ใครจะมาสนใจอ่านล่ะ ยิ่งอาชีพนี้เป็นอาชีพที่ถูกสาปด้วยแล้ว คงต้องหลีกเลี่ยง คิดไปคิดมา ก็คิดไม่ออกสักที และแล้วก็คิดได้ว่าอาชีพตำรวจนั้นคู่กับอะไรมากที่สุด ติ๊กต๊อก ติ๊กต๊อกผู้เขียนได้ยินเสียงคนข้าง ๆ ตะโกนตอบมาว่า คู่กับโจรไง ..ไม่ใช่ ไม่ใช่ ต้องถามใหม่ซิ..ว่า ตำรวจชอบจับอะไร มากที่สุดถ้าเป็นคำถามแบบนี้ ผู้อ่านร้อยทั้งร้อยต้องตอบคำถามนี้ถูกต้องอย่างแน่นอน ว่า ตำรวจชอบจับไพ่มากที่ซู้ด เพราะถ้ามีใครไปแจ้งความให้ตำรวจช่วยไล่ตามจับโจร คดีจี้ ปล้น ฆ่า ข่มขืน แล้ว ตำรวจจะต้องมีพิธีการ พิถีถันในการแต่งเครื่องแบบอันสง่างาม ใช้เวลาประมาณ ๑ ชั่วโมง ผูกสายร้องเท้าอีกข้างละ ๑ ชั่วโมง กว่าจะได้เยื้องย่างออกไปขับรถก็ปาเข้าไปอีกครึ่งชั่วโมง เมื่อไปถึงจะติดเครื่องยนต์ รถเจ้ากรรมหมดน้ำมัน ต้องไปซื้อน้ำมันมาเติม อีก ๑ ชั่วโมง ป่านฉะนั้นจนถึงป่านฉะนี้ พวกคนร้ายมันก็หนีตามไปกับนายระเบียบเรียบร้อยพอดี..แต่ถ้าใครลองไปแจ้งจับคนเล่นไพ่ซิ ขนาดเป็นไพ่ผ่องไทย คนเล่น ๔ - ๕ คน อายุรวมกันแล้วเกือบ ๆ ๕๐๐ ปี ตำรวจจะรีบกุลีกุจอไปทันที ถึงไปเท้าเปล่าก็ไม่สน ..มันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ
พอผู้เขียนคิดได้ว่าจะตั้งชื่อเรื่องเกี่ยวกับเรื่องไพ่ ก็คิดว่าจะตั้งชื่อ ไพ่ประเภทไหนดี เพราะผู้เขียนก็ไม่ค่อยถนัดนักกับเรื่องการพนันสักเท่าไหร่..คิด ๆ แล้ว ก็น่าจะตั้งชื่อเรื่องว่า ป๊อกเด้ง เพราะว่ามันเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้การพนันไพ่ป๊อกเด้ง เป็นการพนันที่คนไทยนิยมเล่นกันมาก เล่นก็ง่ายจ่ายก็คล่อง ไม่ต้องเสียเวลาคิดให้หนักหมอง เพราะว่า การพนัน ป๊อกเด้ง นั้น ตำรวจชอบไปจับกัน เพราะมันเป็นการพนันประเภทมีเจ้ามือ ทางกฎหมายพอจะทราบมาบ้างว่า เขาเรียก การพนัน ประเภท ก. ที่บอกว่าตำรวจชอบจับเพราะว่าการพนันอีกประเภทหนึ่งเป็นประเภทไม่มีเจ้ามือ เช่นไพ่ผ่องไทย รัมมี่ เขาเรียกการพนันประเภท ข. มันต่างกันที่ ตำรวจจะได้รางวัลนำจับจากที่ศาลสั่งปรับผู้ต้องหาแล้ว รางวัลนำจับที่ตำรวจจะได้นั้น การพนันประเภท ก.ได้มากว่าการพนันประเภท ข. นั่นเอง ส่วนวิธีการเล่นป๊อกเด้ง นั้น ผู้เขียนก็พอรู้แค่นิด ๆหน่อย ๆ เท่านั้นเอง
การพนัน ป๊อกเด้ง เป็นการพนันที่ มีเจ้ามือคนหนึ่ง ให้ลูกมือ หรือเรียกว่าลูกค้า หรือผู้เล่น ซึ่งแต่ละคนจะวางเดิมพันตามความต้องการ เจ้ามือนั้นสามารถจะอั้นเดิมพันแค่ไหน เท่าไหร่ ที่เจ้ามือรับได้ก็ได้
วิธีการเล่น เจ้ามือจะแจกไพ่ป๊อก ไปทางซ้าย หรือทางขวา ทางไหนก่อนก็ได้แล้วอารมณ์ หรือแล้วแต่ถนัด ตำรวจเขาไม่ได้ห้ามไว้ เจ้ามือจะได้ไพ่เป็นคนสุดท้าย ให้แจกเรียงกันไปทีละใบรอบวง คนละสองใบ
เมื่อเจ้ามือและผู้เล่นทุกคนดูไพ่ในมือของตัวเองแล้ว กติกาการแพ้ชนะพอสรุปคร่าว ๆ ได้ดังนี้
ตัวเลขทุกตัวมีค่าตามเลขนั้น ๆ ยกเว้น เลข ๑๐ , ตัวแจ๊ค ( J ) ,แหม่ม ( Q ) ,คิง ( K ) มีค่าเท่ากับศูนย์ ส่วนตัว เอ ( A ) มีค่าเท่ากับ ๑ รวมกันเกินสิบ ให้ตัดเลขหลักสิบออก คงเหลือแต่หลักหน่วย
ถ้าไพ่ในมือใคร รวมแล้วได้ ๘ หรือ ๙ ให้หงายไพ่ออกมา เรียกว่า ได้ป๊อกแปด หรือป๊อกเก้า จะเป็นผู้ชนะ
ถ้าเจ้ามือไม่ได้ป๊อก ผู้เล่นทุกคนมีสิทธิเรียกไพ่เพิ่มอีกคนละ ๑ ใบ จะไม่เรียกก็ได้
ถ้าเจ้ามือไม่เรียกเพิ่มก็หงายไพ่ของเจ้ามือออกมา ถ้าเจ้ามือมั่นใจว่าไพ่ของตัวเองมีแต้มเพียงพอจะชนะผู้เล่นรอบวงได้
บางทีผู้เล่นมีไพ่สองใบไม่เรียกเพิ่มก็ได้ ถึงแต้มจะไม่มากนัก ถ้าเจ้ามือเรียกเพิ่มเป็นสามใบ แต้มอาจจะลดลงน้อยกว่าของผู้เล่นที่ไม่เรียกไพ่เพิ่มก็ได้ เป็นการวัดใจกัน กรณีดังกล่าวเรียกว่าผู้เล่น แอบ หรือซ่อน อยู่ ภาษาใต้ จะเรียกว่า หยบอยู่ คือตัวอย่างเช่นบางคนถือไพ่สองใบ รวมแล้ว มีแค่ ๔ แต้ม แต่เจ้ามือไม่ไว้ใจ ตัวเองมีแค่ ๕ แต้ม ก็จั่วไพ่มาอีกใบ เป็นเลข ๖ รวมเป็น ๑๑ แต้ม คือ ๑ แต้ม แพ้ ผู้เล่นคนที่ถือไพ่สองใบ มี ๔ แต้ม ดังกล่าว เราจึงเรียกกรณีผู้เล่น ๔ แต้มคน ดังกล่าวว่า ๔ แต้ม หยบอยู่ ( ซ่อนอยู่ )
ผู้เล่นคนใด แต้มเหนือกว่าเจ้ามือก็ได้เงิน,ถ้าผู้เล่นคนใดแต้มน้อยกว่าเจ้ามือ เจ้ามือก็กินเรียบ ถ้าแต้มเท่ากันก็เจ๊ากันไป และมีอีกกรณีที่เป็นสองเด้ง..สามเด้ง..ไปจนถึงหลายเด้ง ซึ่งถ้าใครชนะก็จะได้รับเงินเพิ่มเป็นทวีคูณ ตามเด้งที่ชนะ เช่นกรณีที่ดอก สี เหมือนกัน,หรือไพ่ตัวใหญ่เหมือนกัน เป็นต้น..
พอจะพูดได้ว่าการพนัน ป๊อกเด้ง ถ้าเล่นกันไม่บันยะบันยัง มันเด้งรุนแรงยิ่งนัก มีสิทธิว่ามันจะเด้งไปกินถึงบ้าน,รถ และโฉนดของผู้เล่นได้ ผู้เขียนขออธิบายวิธีการเล่น ป๊อกเด้ง เพียงเล็กน้อยแค่นี้ สำหรับผู้อ่านคนใด ที่มีความชำนาญเป็นพิเศษ หรือที่เขาเรียก ๆ ว่าเซียน แล้ว ผู้เขียนก็ต้องขอโทษด้วย ที่เอามะพร้าวมาขายสวน
จริง ๆ แล้วที่ผู้เขียนตั้งชื่อเรื่องว่า ป๊อกเด้ง นั้นไม่ได้จะกล่าวถึงเรื่องนี้เป็นหลัก แต่เรื่องราวที่ตั้งใจจะเขียน คือเรื่องราวของชีวิตตำรวจที่ผู้เขียนเคยสัมผัสมา ส่วนป๊อกเด้ง เป็นแค่องค์ประกอบหนึ่งที่มีส่วนสำคัญที่ให้เกิดเรื่องราวเรื่องนี้ขึ้น ถ้าจะเปรียบก็คงจะเป็นเหมือน ออร์เดิฟ,เครื่องเคียง,กับแกล้ม หรือผักที่กินกับขนมจีน ทางใต้ เรียกว่า ผักเหนาะ หรือ " ผักเนาะ" เท่านั้นเอง ส่วนอาหารหลักที่ตั้งใจจะให้ได้ชิมลิ้มรสชาติ หรือเรื่องราวที่ต้องการจะสื่อถึงผู้อ่านให้ได้อ่านกันนั้นมันจะปรากฏอยู่ในตอนท้าย ๆ หลังจากนี้หวังว่าท่านผู้อ่านคงจะไม่เบื่อที่จะติดตามต่อไปนะครับ
7 พฤศจิกายน 2551 14:08 น.
ลิลิต
ครูเพ็ญมาบรรจุเข้ารับราชการครูครั้งแรกที่นี่wfhปีกว่าแล้ว ส่วนเขามาอยู่ที่นี่ไม่กี่เดือน คิดว่าจะหัดพูดภาษายาวีให้ได้เร็ว ๆ เพื่อจะได้ไว้พูดกับชาวบ้าน จะได้สร้างสายสัมพันธ์อันดีระหว่างเจ้าหน้าที่ของรัฐกับชาวบ้านที่นี่ ซึ่งปัจจุบันนี้เจ้าหน้าที่ของรัฐโดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ตำรวจ ในสายตาของชาวบ้านแล้วภาพพจน์มันติดลบอย่างหนัก เขาก็กำลังเร่งศึกษาวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ของชาวมุสลิม สภาพวัฒนธรรม ประเพณีท้องถิ่น และข้อปฏิบัติทางศาสนา ให้เข้าใจ เพื่อจะได้ลดเงื่อนไขความไม่พอใจต่อเจ้าหน้าที่ของรัฐ และทราบจากทางการข่าว มาว่ามีบรรดาแกนนำขบวนการก่อการร้ายกลุ่มต่าง ๆ ในพื้นที่เข้ามาปลุกระดม ใส่ร้ายป้ายสีทางราชการ มีผลทำให้ชาวบ้านจำนวนหนึ่งไขว้เขว และสับสน
เขาเข้าไปกระซิบกระซาบกับไอ้ตัวเล็ก และไอ้ตัวเล็กก็ยื่นหน้าเข้ามาใกล้เขา แล้วกระซิบข้างหู แล้วทั้งคู่ก็หัวเราะออกมาอย่างถูกอกถูกใจ
“ อะไรคะ หมวด ..” เธอถามด้วยความฉงน “ หัวเราะอะไร อะหมัด บอกครูมาเดี๋ยวนี้ “ เธอพูดขู่อะหมัด
“ ไม่มีอะไรครับครู “ อะหมัดหัวเราะพูดตอบปฏิเสธ แล้วก็วิ่งขึ้นไปบนอาคารเรียน
“ บอกมานะหมวด ว่าหมวดพูดนินทาอะไรกับอะหมัด “
ครูเพ็ญ หยิกที่แขนของเขา ลักษณะอาการกระเง้ากระงอด หัวร่อต่อกระซิก ของทั้งสองหาได้พ้นสายตาของเพื่อนครู และลูกน้องของเขาไปไม่
“ ไม่มีอะไรจริง ๆ ครับครู “ เขาหยุดนิดหนึ่ง ก่อนจะพูดต่อไปว่า “ …อะหมัด สอนให้ผมพูดว่า ครูเพ็ญ มอและ จริง ๆ..” เขาพูดช้า ๆ เนิบ ๆ ซึ่งแปลความหมายได้ว่า ครูเพ็ญสวยจริง ๆ
“ อากู ( ชี้ที่ตัวเขาเอง ) กาเซะ ( ชี้ที่หน้าอกซ้ายของตัวเอง ) มู ( และชี้ที่ตัวครูเพ็ญ ) “
“ บ้า ….. “ เสียงครูเพ็ญพูดเบา ๆ ทำท่าค้อนขวับ หน้าแดงเรื่อด้วยอาการขวยเขิน พร้อมกับใช้กำมือเรียวงามทุบไปที่ต้นแขนเขาเบา ๆ เขากลับหัวเราะชอบใจ อย่างมีความสุข สุขเสียจนลืมความทุกข์ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในทุกวินาที สุขจนลืมความเครียดที่ได้ประสบมาในการปฏิบัติงานที่ผ่านมา เมื่อเห็นรอยยิ้ม ยินเสียงหัวเราะที่อยู่ตรงหน้า ดูแล้วโลกทั้งโลกนี้ช่างสดใสเสียนี่กระไร
และหลังจากนั้นสายสัมพันธ์รักของคนทั้งสอง ก็พัฒนาก้าวไปไกลอย่างรวดเร็วมาก ๆ จนน่าอิจฉา พลอยทำให้คนข้าง ๆ มีความสุขตามไปด้วย
เมื่อตอนเย็นได้ยินเสียงเด็กประถมท่องสูตรคูณกันเสียงดัง เป็นสัญญาณว่าโรงเรียนใกล้จะเลิกแล้ว ได้เวลาที่พวกเขาจะได้ทำภารกิจ เพื่อคุ้มครองครูกลับไปส่งที่บ้านพักภายในตัวอำเภอ ภารกิจมันเป็นวัฏฐจักรเช่นนี้แหละ ทุกวัน เว้นเสาร์อาทิตย์ หรือวันหยุดราชการ จนกว่าจะปิดเทอม
เช้าวันนี้ ผู้หมวดไปส่งครูเพ็ญ ที่โรงเรียนตามปกติ และบอกเธอว่าจะกลับเข้าไปในเมือง เพื่อซื้อข้าวของเตรียมเสบียงไว้ให้ลูกน้องที่ฐานปฏิบัติการ
“ เดี๋ยวตอนเย็นจะแวะเข้ามารับ… “
“ ค่ะ “ เธอตอบ และบอกเขาว่า “ สองทุ่มคืนนี้เจอกันที่บ้านนะ จัดเบิร์ทเดย์ให้ เตรียมของขวัญไว้ให้แล้วค่ะ “
วันนี้ เป็นวันเกิดครบรอบยี่สิบห้าปีของเขา ถ้าอยู่ที่บ้านคงจะได้จัดงานกับครอบครัวและเพื่อนฝูงอย่างสนุกสนาน และหลังจากนั้นคงจะได้ท่องราตรีกันตามประสาหนุ่มโสด แต่เมื่อเขามาอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ เขาคงจะมีความสุขแบบนั้นไม่ได้แน่ ๆ แต่เขาก็ขัดไม่ได้ เมื่อครูเพ็ญ ขอร้องว่าจะจัดงานวันเกิดให้เขาที่บ้านพักในตัวอำเภอ เป็นการจัดเลี้ยงกันเล็ก ๆ ภายในเพื่อนครูด้วยกัน ไม่กี่คน จริง ๆ เขาไม่อยากให้จัดหรอก เป็นห่วงลูกน้องที่ฐานปฏิบัติการ แต่ลูกน้องก็คอยเป็นกองเชียร์คะยั้นคะยอและบอกเขาว่าผู้หมวดห้ามปฏิเสธความหวังดีของครูเพ็ญเป็นอันขาด
ก่อนพลบค่ำ เขากับนายดาบ ขับรถยนต์โฟวิล ออกจากฐาน มุ่งหน้าเข้าเมืองเพื่อไปที่บ้านพักครู ระยะทางไม่ไกลนักประมาณ สิบห้ากิโล เท่านั้นเอง แต่ช่วงเวลากลางคืนถึงแม้จะเป็นเขตพื้นที่ใกล้ ๆ กับตัวเมือง แต่มันก็มีอันตรายแฝงอยู่ตลอดตามรายทางซึ่งเป็นเส้นทางที่เปลี่ยว ปกติเส้นทางสายนี้เขากับลูกน้องได้ออกลาดตระเวนเป็นประจำอยู่แล้ว แต่ถ้าเป็นเวลากลางคืนก็จะใช้กำลังเป็นชุดปฏิบัติการประมาณสิบคนขึ้นไป
การจัดเลี้ยงวันเกิดคืนนั้นเป็นการจัดงานอย่างเรียบง่าย ความสุขของคู่รักทั้งสองได้เปล่งประกายออกมาให้เห็น ด้วยเสียงหัวเราะที่สดใส และรอยยิ้มอันสวยงาม มีการอวยพรเจ้าของวันเกิดของเพื่อน ๆ ร้องเพลงเบิร์ทเดย์ เป่าเทียน ตัดเค้ก ดื่ม กิน และร้องคาราโอเกะ กันอย่างสนุกสนาน และสุดซึ้งกับคำอวยพรจากใจของคุณครูผู้เป็นทีรัก ต่อมาเขาได้อ่านบทกลอนที่บอกว่าจดจำมาจากที่ไหนก็ไม่รู้ให้แขกทุกคนฟัง
“ ก่อนจบงาน และก่อนจากไป “ เขาพูด “ การจัดงานวันเกิดทุกครั้ง ผมว่าเราทุกคนสมควรรำลึกถึงผู้เป็นแม่ผู้ให้กำเนิด เราจัดงานวันเกิดสนุกสนาน แต่ก็ไม่ควรลืมแม่ผู้มีพระคุณทีทุกข์ทนลำบาก…นะครับ…และไม่ใช่อะไรผมกับครูเพ็ญจากบ้านมาไกล คิดถึงแม่ครับ…” เขาพูดเสร็จ ก็บรรจงอ่านกลอนจากกระดาษที่ถืออยู่ในมือ
“ วันเกิดเจ้า เกือบคล้าย วันตายแม่
เจ็บท้องแก่ แพ้เท่าไหร่ แม่ไม่สน
กว่าจะเกิด กว่าจะคลอด รอดเป็นคน
เติบโตพ้น จนป่านนี้ นี่เพราะใคร
แม่เจ็บจวน ขาดใจ ในวันนั้น
กลับเป็นวัน ลูกฉลอง กันผ่องใส
ได้ชีวิต อย่าทำเหลิง ระเริงใจ
ลืมผู้ให้ เกิดชีวิต อนิจจา “
เสียงปรบมือของแขกดังกราวขึ้นด้วยความประทับใจ
แล้วงานเลี้ยงก็ย่อมมีวันเลิกรา ครูเพ็ญ ขอร้องให้เขานอนพักที่บ้าน ด้วยความเป็นห่วง ไม่อยากให้กลับไปที่ฐานในตอนกลางคืน เพราะกลัวจะไม่ปลอดภัย แต่เขาก็ไม่ยอม เขาจับมือเธอมากุมไว้แน่น และบรรจงดึงตัวเธอมาอยู่ในอ้อมกอด ร่างทั้งคู่แนบชิดสนิทกัน ลมหายใจทั้งสองรดเข้าหา ก่อนที่ริมฝีปากน้อยของทั้งคู่จะประกบจูบกันอย่างดูดดื่ม ลิ้นกระหวัดกันเหมือนเป็นคำสัญญา และคำปลอบประโลมใจ ไม่ให้เธอเป็นห่วง เขาให้ความมั่นใจกับเธอว่าจะไม่มีอะไรมาทำให้ทั้งสองต้องพรากจากกันไป และจะไม่มีสิ่งใดในโลกมากั้นขวางความรักของเขาและเธอได้
แล้วเขากับลูกน้องก็ขับรถยนต์ออกจากบ้านพักไป เธอมีอาการเป็นห่วงเขาจริง ๆ อยากจะฉุดรั้งเขาไว้ใกล้ ๆ ไม่อยากให้เขาจากไปเลย
และหลังจากนั้นไม่นาน เธอได้รับข่าวร้ายว่า ก่อนเที่ยงคืน เขากับลูกน้อง ถูกคนร้ายดักซุ่มโจมตีขณะขับรถกลับฐาน เขาบาดเจ็บสาหัส แต่ลูกน้องซึ่งเป็นคนขับรถเสียชีวิต เธอรีบรุดไปที่โรงพยาบาล เห็นเขาบาดเจ็บนอนอยู่ห้องไอซียู แพทย์กำลังช่วยชีวิตเขาอย่างเร่งด่วน เธอร้องไห้คร่ำครวญและโทษตัวเองว่าเป็นต้นเหตุ ที่ทำให้เขาและลูกน้องต้องเป็นอย่างนี้ โดยมีเพื่อน ๆ ค่อยปลอบประโลมใจอยู่ข้าง ๆ เธอภาวนาในใจว่า อย่าให้ผู้หมวดยอดรักของเธอเป็นอะไรไปเลย หัวใจที่เคยปวดร้าวระบมมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน มันกลับสดชื่นขึ้นมาอีกครั้งอย่างรวดเร็วก็เพราะเขา เหมือนดอกไม้ที่กำลังจะเหี่ยวเฉา ที่ได้น้ำชโลมใจรดราดให้มีความสุขขึ้นมาอีกคราหนึ่ง เถอะ ขออย่าให้หัวใจดวงนี้ ต้องแหลกเหลวลงไปเป็นคำรบสอง ผู้หมวดที่รัก เธอขอเอาใจช่วย ให้เขาฟื้นขึ้นมาอยู่คู่เคียงกันอีกครั้ง
อีกหลายวันต่อมา เขายังนอนเป็นเจ้าชายนิทราอยู่ในโรงพยาบาล และเธอก็ต้องตกใจและปวดร้าวหัวใจอีกครั้งหนึ่ง เมื่อได้ดูรายงานข่าวจากทีวี ทราบว่า ตำรวจได้จับคนร้าย มาดำเนินคดีได้ ๓ คน พวกมันเป็นคนที่ ลอบซุ่มยิงโจมตีผู้หมวดกับลูกน้องในวันเกิดเหตุ จับได้พร้อมอาวุธปืนของกลางหลายกระบอก มีปืนพกสั้นสีดำ ๑ กระบอก ปืนลูกซองยาว ๑ กระบอกและปืนยาวเอช เค อีก ๑ กระบอก และเมื่อได้ดูหน้าคนร้ายชัด ๆ แล้ว เธอไม่คิดคาดฝันมาก่อนว่า หนึ่งในสามคนร้ายที่ถูกจับ เขาคนนั้นคือ มะแอ พ่อของ “ ไอ้ตัวเล็ก อะหมัด “ นั่นเอง
7 พฤศจิกายน 2551 14:04 น.
ลิลิต
ผู้หมวดหนุ่มกำลังเดินตรวจที่พักนอนและหลุมบังเกอร์รอบ ๆ ฐานปฏิบัติการเมื่อตอนเช้ามืด เห็นลูกน้องหลายคนตื่นขึ้นมาล้างหน้าล้างตา บ้างกำลังทำความสะอาดปืนประจำกายกันอย่างขะมักเขม้น บ้างกำลังดื่มกาแฟร้อน ๆ และนั่งพูดคุยกันอยู่เป็นกลุ่ม ๆ ความอ่อนเพลีย ความเหนื่อยหล้า ปรากฏให้เห็นในแววตาของผู้ใต้บังคับบัญชาทุกคน สภาพชีวิตที่ต้องมาทุกข์ทน นอนกลางดินกินกลางป่า เนื่องเพราะเหตุการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้น ทำให้คนเหล่านั้นมีแต่ความเคร่งเครียด แต่พวกเขาก็ไม่เคยปริปากบ่นออกมาให้ได้ยิน อากาศยามเช้ามันเย็นยะเยือก ขนาดใส่เสื้อแจกเก็ตตัวหนาห่อหุ้มร่างกาย แต่ความหนาวมันก็แหวกเข้าไปกระทบเนื้อให้หนาวสั่นระรัวได้ ด้านหลังเป็นเทือกเขาบูโด แลสูงตระหง่าน ถ้าไม่มีเรื่องราวเหตุการณ์การก่อการร้ายที่น่าสะพึงกลัวในพื้นที่ ภูเขาและป่าผืนนั้นมันจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวตามธรรมชาติที่สวยงามทีเดียว
ตอนเจ็ดโมงเช้า เมื่อพวกเขารับประทานอาหารเช้ากันเสร็จ เขาซึ่งเป็นผู้บังคับหมวดได้เรียกกำลังพลมาเข้าแถวเพื่อชี้แจงภารกิจ แบ่งสายลูกน้องออกไปปฏิบัติการตามที่ผู้บังคับบัญชาเบื้องบนได้มอบหมายไว้ให้ นั้นคือภารกิจการรักษาความปลอดภัยคุ้มครองครูตามเส้นทางจากบ้านพักเพื่อไปสอนนักเรียนยังโรงเรียนต่าง ๆ ในพื้นที่สีแดงในเขตพื้นที่ที่รับผิดชอบ
เขากับลูกน้องนั่งรถยนต์กระบะโฟวิลสี่ประตู ออกจากฐานปฏิบัติการไปในตัวอำเภอซึ่งเป็นบ้านพักครู เพื่อไปรับครูไปยังโรงเรียนต่าง ๆ โดยจะทำหน้าที่เป็นชุดปฏิบัติการคุ้มกันอยู่ที่โรงเรียนจนกว่าจะเสร็จภารกิจ ตอนเย็นเมื่อเลิกเรียนแล้วก็มีหน้าที่คุ้มกันครูมาส่งที่บ้านพัก เป็นประจำทุกวัน เขากับพวกต้องระมัดระวังเป็นพิเศษในภารกิจนี้ เพราะถ้าไม่ระมัดระวัง มีการประมาทเลินเล่อ เกิดพลาดพลั้งขึ้นมา ชีวิตของครูแม่พิมพ์ของชาติก็จะต้องมีอันตรายเกิดขึ้นได้ เหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วหลาย ๆ ครั้ง ระหว่างทางซึ่งเป็นถนนลาดยางริมถนนเป็นป่ารกทึบ สลับกับสวนยางพารา,สวนลองกอง และสวนเงาะ ปกคลุมอยู่สองข้างทาง มีบ้านชาวบ้านอยู่ห่างกันเป็นระยะ ๆ เมื่อคราใดที่ขับผ่านตลาดซึ่งเป็นเขตชุมชนใจของเขาก็ชื้นขึ้นมาได้บ้าง เพราะที่ชุมชนมีชาวบ้านอาศัยอยู่มาก คนร้ายน่าจะไม่มาลอบทำร้ายพวกเขา แต่ก็ไว้ใจไม่ได้ เพราะที่ที่ปลอดภัยที่สุด อาจจะเป็นที่ที่อันตรายที่สุด เพราะเมื่อพวกมันทำอันตรายในเส้นทางเปลี่ยวไม่ได้ เพราะมีการตรวจตราอย่างเส้นทางอย่างละเอียด พวกมันอาจจะกลับมาซุ่มในเขตชุมชน ถึงแม้ชาวบ้านจะได้รับผลกระทบโดนลูกหลง พวกมันก็คงจะไม่สนใจ เพียงแค่ให้ได้ทำร้ายเจ้าหน้าที่ของรัฐก็เพียงพอแล้ว เหตุการณ์รุนแรงที่เกิดขึ้นกับครูและเจ้าหน้าที่ของรัฐมีให้เห็นอยู่เป็นประจำ โดยส่วนมากจะถูกผู้ก่อความไม่สงบซุ่มยิง หรือวางกับระเบิด ขณะเดินทางไปส่งครูที่โรงเรียน แต่แม้ว่าครูทุกคนจะมีความหวาดกลัว แต่ครูก็ไม่ได้ย่อท้อ เพราะความจำเป็น และหน้าที่มันบังคับ นึกถึงภาพนักเรียนตัวน้อย ๆ กำลังคอยครูไปสอนอยู่ที่หน้าโรงเรียนอย่างใจจดใจจ่อทุกเช้าแล้ว ความหวาดกลัวนั้นก็ไม่อาจมาขวางกั้นคุณครูไม่ให้ทำหน้าที่ได้
เมื่อเคารพธงชาติเสร็จแล้ว เขากับพวกอีก ๒-๓ คน ก็จะออกลาดตระเวนหาข่าวในหมู่บ้านใกล้ ๆ โรงเรียน เมื่อถึงเวลาพักเที่ยงนักเรียนจะพักกินอาหารกลางวันตามโครงการอาหารกลางวันที่โรงเรียนจัดให้ เขากับพวกก็จะมาร่วมรับประทานอาหารเที่ยงพร้อมกับครูที่ห้องประชุม ครูใหญ่ดูเป็นคนใจดี เป็นคนในพื้นที่ เขาเป็นคนพุทธซึ่งเป็นคนส่วนน้อยในหมู่บ้านนี้ อีกปีเดียวครูใหญ่ก็จะเกษียณแล้ว ส่วนครูที่เหลือทั้งหมดเป็นคนนอกพื้นที่ บางคนมาจากจังหวัดอื่น ๆ ของภาคใต้ มีครูเพ็ญ คนเดียวเท่านั้น ที่เป็นคนภาคกลาง และเป็นครูคนใหม่ล่าสุดของโรงเรียนในอำเภอนี้ ครูทุกคนอยู่กันแบบไม่ประมาทต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะในพื้นที่มีเหตุร้ายที่เกิดขึ้นกับครูอยู่เป็นประจำ ครูและเจ้าหน้าที่ของรัฐถูกทำร้ายถูกลอบฆ่าจากผู้ก่อความไม่สงบ ซึ่งในแต่ละปีมีมากมายจริง ๆ ช่วงหลังมานี้แม้แต่พระภิกษุ ชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ ไม่ว่าจะนับถือศาสนาใดก็ตาม มันก็ไม่เคยละเว้น
ชุดคุ้มครองครู ซึ่งเป็นตำรวจชั้นประทวนนั้น หลายคนเป็นคนในพื้นที่ เว้นแต่ผู้หมวดหนุ่มหัวหน้าชุด เขาจบจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจสามพรานรุ่นล่าสุด ได้รับการบรรจุเป็น ตำรวจตระเวนชายแดน ( ตชด.) สังกัดตำรวจพลร่ม ชุดรบพิเศษ ค่ายนเรศวร อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี และผู้บังคับบัญชาได้มีคำสั่งส่งเขามาเป็นผู้บังคับหมวดเพื่อปฏิบัติภารกิจครั้งแรกที่นี่ ได้สักประมาณ ๕ เดือน ตั้งแต่ฟังข่าวเรื่องราวของครูจูหลิง และสองนาวิกโยธินที่ถูกทำร้ายจนเสียชีวิตแล้ว เขาตัดสินใจเลือกที่จะลงบรรจุเป็น ตชด. เพื่อจะสมัครใจมาที่นี่ ท่ามกลางเสียงคัดค้านของครอบครัวทางบ้าน แต่ก็ไม่อาจทัดทานความตั้งใจอันแน่วแน่ของเขาได้ ทั้ง ๆ ที่เขามีสิทธิเลือกที่จะลงในเขตนครบาล หรือเมืองศิวิไลซ์ นั่งทำงานในห้องแอร์สบาย ๆ แต่เขาคิดว่าครั้งหนึ่งในชีวิตวัยหนุ่ม มันสมควรจะทำงานทดแทนคุณแผ่นดิน ไปรับใช้ชาติ และจะได้ไปศึกษาว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้นั้นมันเป็นอย่างไรกันแน่
พวกเขาทั้งหมดนั้นเปรียบเสมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน มีแต่ความสนิทสนม มีความห่วงหาอาทร ห่วงใยซึ่งกันและกันอยู่ตลอดเวลา ผู้ปกครองนักเรียนทุกคนก็มีความเป็นกันเอง ช่วยเหลือทางโรงเรียนมาตลอด ความสัมพันธ์ระหว่างครูกับผู้ปกครองอยู่กันแบบฉันท์พี่น้อง ไม่เคยมีปัญหากันแต่อย่างใด แต่ระยะหลัง ๆ ก็มีความผิดปกติบางอย่างเกิดขึ้นมา สังเกตเห็นได้ว่ามีผู้ปกครองนักเรียนบางคน มักไม่ค่อยให้ความร่วมมือกับทางโรงเรียนเหมือนแต่ก่อน โดยบางคนแสดงอาการเฉยชากับพวกครู และเจ้าหน้าที่ของรัฐออกมาให้เห็นโดยไม่ทราบสาเหตุ
ผู้หมวดกับพวกทานข้าวมื้อเที่ยงเสร็จแล้ว เขากำลังนั่งคุยกับครูใหญ่ และครูเพ็ญ ที่ม้าหินอ่อนข้างอาคารเรียน ครูใหญ่ได้พูดแซวเขากับครูเพ็ญว่า คนหนึ่งเป็นตำรวจหนุ่มไฟแรง อีกคนเป็นครูสาวสวยมีความรู้ความสามารถ มาบรรจุในเวลาใกล้เคียงกันที่อำเภอนี้ ดู ๆ แล้วเหมาะสมกันดี และพูดเป็นนัย ๆว่าอาจจะเป็นเนื้อคู่มาพบเจอกันก็ได้ เพราะทั้งคู่มีพื้นเพเดิมเป็นคนภาคเดียวกันอีกต่างหาก คำพูดแซวของครูใหญ่ทำให้เขาและเธอเขินอาย ฝ่ายหญิงหน้าแดงก่ำเหมือนลูกตำลึงสุก ดู ๆ น่ารักยิ่งนัก นี่ไม่ใช่ครั้งแรก ลูกน้องของเขาก็เคย แซวแบบเดียวกันมาก่อน และคอยเชียร์ให้ทั้งคู่มีอะไรกันจริง ๆ ส่วนฝ่ายครูเพ็ญก็ใช่น้อยหน้า พี่ ๆ เพื่อน ๆ ครูก็คอยส่งเสียงเชียร์กันอย่างออกหน้าออกตา จนทั้งคู่ต้องอึดอัดวางตัวไม่ถูก จากที่เคยพูดคุยกันอย่างปกติ หยอกล้อเล่นกันเหมือนกับพี่น้อง ต้องมาทำตัวเหนียม ๆ ในบางครั้ง แต่ในใจของทั้งเขาและเธอ กลับเต้นแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
เจ้าตัวน้อยจอมซน ชื่ออะหมัด อยู่ชั้นประถม ๔ ชั้นเรียนของครูเพ็ญ แกเป็นเด็กน่ารักช่างพูดช่างจา ชอบเข้ามาพูดเล่นกับเขาอยู่เป็นประจำ
“ น้าหมวดครับ …ปืนของน้าหมวดสวยจัง เขาเรียกว่าปืนอะไรครับ “ อะหมัด ถามขึ้นอย่างไร้เดียงสา คำพูดของเด็กน้อย เป็นสำเนียงภาคกลางปนภาษายาวี ดังกระท่อนกระแท่น ทำให้เขานึกยิ้ม
“ ทำไมหนูชอบหรือครับ “
“ ครับ ผมชอบ ผมเคยเห็นปืนมีแต่สีดำ ๆ แต่ของน้าหมวดทำไมสีขาวแวววาว แปลกดีครับ “
เขาหัวเราะ ไม่ได้คิดอะไรมาก และไม่ได้ถามด้วยว่า หนูเคยเห็นปืนสีดำที่ไหน เพราะในพื้นที่นี้ เด็กทุกคนได้ยิน ได้เห็นในสิ่งเลวร้ายมาเกือบทุกวัน ไหนจะเป็นกลิ่นเลือด ควันระเบิด เสียงปืน คนตาย และคนบาดเจ็บ จิปาถะ นึก ๆ แล้วสงสารพวกเด็ก ๆ พวกนี้ ที่ต้องมาอยู่ มาเรียนหนังสือในสภาพที่เหมือนอยู่ในสภาวะสงครามกลางเมือง ไหนโรงเรียนจะเคยถูกเผาจนต้องหยุดเรียน ก็เคยเห็น เคยประสบมาแล้ว
“ เขาเรียกว่า ปืนแมกกาซีน ขนาด ๑๑ มม. แบบแสตนเลส “ เขาบอกอะหมัด ไม่ได้คิดว่าเขาจะเข้าใจที่เขาบอกหรือไม่ เพราะดู ๆ แกก็ยังเด็กมากนักที่จะเข้าใจในเรื่องเหล่านี้
สำหรับเด็กชายอะหมัด เป็นนักเรียนที่เป็นที่รักของครูทุกคน โดยเฉพาะเป็นคนโปรดของครูเพ็ญ มะแอพ่อของอะหมัดก็เคยมาช่วยครูใหญ่ทำงานที่โรงเรียน และเคยพูดคุยกับครูเพ็ญ และผู้หมวดอย่างสนิทสนม โดยได้ฝากอะหมัด กับครูเพ็ญ ช่วยดูแลด้วย เพราะมันเป็นเด็กกำพร้าแม่ มาตั้งแต่เล็ก ตอนพักเที่ยง และเวลาว่าง อะหมัดแกจะมาช่วยครูเพ็ญ ทำงาน เก็บข้าวของอยู่เป็นประจำ แล้วแกมักจะสอนภาษายาวีให้ครูเพ็ญ พูดตาม จนครูเพ็ญพูดภาษายาวีได้และสามารถสื่อสารกับคนในพื้นที่ได้บ้างแล้ว
เพราะอะหมัดเป็น เด็กตัวเล็ก รูปร่างแบบมะขามข้อเดียว ผิวดำ จมูกโด่ง ตาคมขำ เหมือนเด็กมุสลิมทั่ว ๆ ไป ครูเพ็ญ จะเรียกแกว่า “ ไอ้ตัวเล็ก “
แม้ไอ้ตัวเล็ก อะหมัด จะเป็นบุคคลสำคัญสำหรับคนหลายคน แต่แกก็กลายเป็นคนสำคัญสำหรับผู้หมวดหนุ่ม อย่างมาก ๆ เพราะแกเป็นคน ที่ทำให้เขาได้สนิมสนมกับครู ชาวบ้าน และครูเพ็ญ ได้มาก และเร็วยิ่งขึ้น
“ มาแก นาซิ ….แปลว่า กินข้าว..” อะหมัด สอนให้เขาพูด โดยครูเพ็ญ นั่งยิ้ม อยู่ข้าง ๆ ทำไม่นะตอนนี้ เมื่อครูคนสวย ได้อยู่ข้าง ๆ ผู้หมวดหนุ่ม ความหวาดกลัวทีครูเคยมีมาก่อน กลับหายไปเป็นปลิดทิ้ง
“ สดาดู แปลว่า ตำรวจ “ อะหมัดเอ่ยขึ้น เขาก็พูดตามอะหมัด ไปทีละคำ โดยหันไปถามครูเพ็ญ ว่า เข้าใจภาษายาวีที่อะหมัด บอกหรือไม่ ครูเพ็ญ พยักหน้าหงึก ๆ
“ ก็พอจะพูดได้หลายประโยค ค่ะ ถ้าพูดเร็ว ๆ และมีคำยาก ๆ ก็จะไม่ค่อยเข้าใจมากนัก “