30 ตุลาคม 2551 15:18 น.
ลิลิต
ความมืดที่ปกคลุมไปทั่วบริเวณ มันมืดมิดจนสายตาของเขาไม่อาจจะแลเห็นสิ่งใดได้ถนัด คงได้ยินแต่เสียงซัดสาดของน้ำทะเล ที่มากระทบกับร่าง หัวสมองมันมึนตื้อสลึมสลืออยู่ เสียงคลื่นกระทบโขดหินดังเป็นระลอก ความหนาวเย็นปกคลุมไปทั่วร่างกาย ลำตัวที่ห่อหุ้มด้วยเสื้อชูชีพ เอนนอนพิงกับโขดหิน โดยส่วนล่างตั้งแต่เอวลงไปจนถึงปลายเท้า หย่อนอยู่ในน้ำที่เคลื่อนไหวรับกับการกระเพื่อมของกระฉอกคลื่น หัวใจของเขาหวั่นไหวเต้นแรงไปตามจังหวะ อาการเจ็บปวดของกล้ามเนื้อ เริ่มก่อความรู้สึกขึ้นทีละน้อย …เขากำลังครุ่นคิดนึกย้อนถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ว่ามันมีอะไรเกิดขึ้น
จำได้ว่าเขากับเพื่อน ๆ นักศึกษารามคำแหงหลายคน ได้เดินทางมาที่จังหวัดภูเก็ต ลงเรือท่องเที่ยว พร้อมกับลูกเรือซึ่งเป็นชาวต่างชาติอีกจำนวนหนึ่ง นั่งเรือออกจากท่าที่อ่าวฉลอง เพื่อเดินทางไปออกค่ายอาสาพัฒนาที่เกาะรายาใหญ่ แต่หลังจากนั้นเขาจำเหตุการณ์ไม่ได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับเรือลำนั้น เขายังคงมีชีวิตอยู่ ส่วนเพื่อน ๆ พร้อมกับผู้โดยสารคนอื่น ไม่รู้ว่าจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร
ดวงอาทิตย์ยามเช้าทอแสงเรือง ๆ จับขอบฟ้า มันกำลังโคจรพ้นขึ้นมาจากขอบน้ำที่ไกลลิบ นี่ถ้าเป็นการมาท่องเที่ยวตามปกติ เขากับเพื่อน ๆ ก็คงจะมีความสุขมากทีเดียว คงได้ชักภาพถ่ายรูปวิวทิวทัศน์อันสวยงาม นำไปฝากญาติมิตรและเพื่อนฝูงให้ได้เชยชมกัน… แต่สภาพเช่นนี้ เขาคงจะไม่มีกะจิตกะใจที่จะคิดถึงความมีสุนทรียภาพเหล่านั้น
“ …เรือคงประสบกับพายุและอาจจะจมลงในทะเล…ในขณะที่ผู้โดยสารกำลังหลับใหลอยู่ ” เขาคิดในใจ
และคิดว่าทุกคนมีเสื้อชูชีพ คงจะไม่มีใครได้รับอันตรายแน่ ๆ …เขาอาจถูกคลื่นพัดพาลอยเข้าฝั่งมาติดเกาะใดเกาะหนึ่งในกลางทะเล อาจจะเป็นเกาะรายาใหญ่ หรือเกาะเล็ก ๆ ใกล้ ๆ กัน เขาภาวนาในใจขอให้เป็นเกาะที่มีผู้คนอาศัยอยู่ และขออย่าให้เป็นเกาะเล็กเกาะน้อย ที่เป็นเกาะร้างไม่มีคนอาศัยก็พอ
แสงแดดตอนสาย เริ่มส่องสว่างไปทั่วบริเวณ เขาตะกายด้วยแรงที่อ่อนระโหย ยันตัวขึ้นเพื่อให้พ้นจากแอ่งน้ำระหว่างโขดหิน หันไปมองรอบ ๆ บริเวณ มีแต่ป่าไม้รกทึบเป็นฉากหลัง ส่วนข้างหน้าเป็นท้องทะเลกว้าง เวิ้งว้าง แสนไกล ไม่เห็นเรือ หรือสิ่งอื่นใด ล่องลอยในท้องน้ำแห่งนั้น
เขาได้ลุกขึ้นเดินลัดเลาะแหวกต้นไม้ไปตามป่าเขา ขึ้นไปบนทางที่ลาดเนินชันด้วยความยากลำบาก บางทีก็ย่างเดินตามก้อนหินก้อนใหญ่ที่วางต่อกันอยู่เรียงราย เพื่อเดินออกลัดเลาะไปตามชายหาด
“ ..น่าจะมีชายหาดอยู่ไม่ไกลนัก และน่าจะมีหมู่บ้านแถวบริเวณใกล้ ๆ นี่ “ เขาคิด พร้อมกับยิ้มสู้ อย่างมีความหวัง
เมื่อเดินออกมาพ้นป่าทึบนั้น ก็มองเห็นชายหาดทรายสีขาวทอดยาวออกไป คิดว่าเขาน่าจะมีชีวิตรอดกลับไปบ้าน และบนเกาะนี้น่าจะมีบ้านผู้คนอาศัยอยู่ ซึ่งเขาพอจะขอความช่วยเหลือได้ อย่างน้อยก่อนอื่น ก็ให้ได้กินอาหารพอประทังความหิวโหย เขาเดินออกไปตามชายหาดที่ทอดแนวยาวไกล และด้านหลังเป็นทิวเขาปกคลุมไปด้วยต้นไม้หนา แดดยังไม่ร้อนมากนัก สักประเดี๋ยวคงจะได้เจอหมู่บ้าน แต่เขาก็ต้องผิดหวัง เมื่อเดินมาตั้งไกล ยังไม่มีวี่แววว่าจะพบหมู่บ้าน เห็นก็แต่ชายหาดที่ว่างเปล่า ไม่มีร่องรอยที่พอจะบอกว่ามีผู้คนอาศัยอยู่บนเกาะแห่งนี้ ..เขาเริ่มมีอาการวิตก
แต่ทันใดนั้น เขาก็ต้องแปลกใจ เมื่อได้ยินเสียงอะไรบางอย่างดังขึ้น เสียงมันดังคล้ายกับการตีกระทบกันของวัตถุบางอย่าง เสียงนั้น ดังออกมาจากป่าทึบที่ติดกับภูเขาที่สูงตระหง่าน เป็นระยะ ๆ
“ ..หรือว่าหมู่บ้านของเกาะแห่งนี้ จะอยู่ในหุบเขา แทนที่จะอยู่บิรเวณริมทะเล เหมือนหมู่บ้านชาวประมงอื่น ๆ “ เขาคิดได้ดังนั้นก็ตัดสินใจ เดินเข้าไปในป่า ตามที่เสียงดังออกมา คงจะพบหมู่บ้านแฝงอยู่ในหุบเขานั้นเป็นแน่แท้
เมื่อเดินเข้าไปใกล้ ใจเขาก็เต้นระทึก ได้ยินเสียงเหมือนมีผู้คนจำนวนหนึ่งกำลังร้องรำทำเพลงกันอยู่ด้านใน ยิ่งเดินเข้าไปใกล้ เสียงก็ยิ่งดังมากขึ้น ๆ เรื่อย ๆ เป็นเสียงผู้คนกำลังร้องอะไรบางอย่าง เสียงที่ร้องมันดังโหยหวน และวังเวงยิ่งนัก
เมื่อเขาเดินเข้าไปใกล้จะถึงบริเวณจุดกำเนิดเสียง ซึ่งมีต้นไม้น้อยใหญ่ขึ้นอยู่จำนวนมาก เสียงผู้คนกำลังตะโกนร้องพร้อม ๆกัน คล้ายกับการทำพิธีสวดอะไรบางอย่าง ยิ่งเดินเข้าไปใกล้ เสียงมันก็ดังชัดเจนมากยิ่งขึ้น กลุ่มคนเหล่านั้นน่าจะอยู่ไม่ไกลจุดที่เขายืนอยู่ เขาเดินอย่างช้า ๆ ก้มตัวลงต่ำ และพยายามฟังเสียงที่ได้ยิน เขาเห็นที่พุ่มไม้ด้านหน้าเหมือนกับมีกลุ่มคนกำลังเคลื่อนไหว เขาแอบมองลอดตามช่อง ผ่านกิ่งไม้ไป โดยไปนั่งยอง ๆ แอบบังกับต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง
ทันใดนั้น เขาก็ต้องตกตะลึง เมื่อเห็นคน ประมาณ ๓๐ คน มีทั้งผู้ชายและผู้หญิง ลักษณะการแต่งตัวที่แปลกประหลาด ไม่สวมเสื้อผ้า มีแต่ใบไม้ปกปิดส่วนล่างของร่างกาย บนใบหน้าของทุกคนทาสีแดงสด เวลาพวกเขาแยกเขี้ยวยิงฟันเห็นเป็นสีขาวตัดกับผิวหน้าที่แดงเถือก ดูน่ากลัวยิ่งนัก บางคนถือไม้ยาวๆ คล้าย ๆหอก บางคนถือมีด ดาบ พวกเขากำลังทำอะไรอยู่ และเมื่อเขามองลอดกวาดสายตาไปรอบ ๆ อีกครั้ง ก็ต้องตกใจสุดขีด เมื่อเห็นว่าด้านหลังของกองไฟ มีเสาไม้ปักพาดเป็นรูปกางเขน จำนวน ๕ ต้น และบนเสาทุกต้น มีคนถูกตรึงพาดไม้กางเขนอยู่บนนั้น เขาพยายามเพ่งมองอย่างพินิจแล้ว เห็นหน้าคนที่ถูกตรึงชัดเจน คนพวกนั้น ดูเหมือนกับคนที่สลบไสล ไม่รู้สึกตัว หรืออาจจะเสียชีวิตไปแล้ว เพราะทุกคนคอพับไปข้างใดข้างหนึ่ง ร่างกายของพวกเขานั้นเปลือยเปล่า ปราศจากเสื้อผ้า มีเลือดสีแดงสด ๆ ไหลออกจากลำตัวของคนที่ถูกตรึง ทุกคนมีรอยบาดแผลถูกแทงทั่วบริเวณร่างกาย เลือดไหลลงมาสู่ภาชนะเป็นถังขนาดย่อม ตั้งรองรับเลือดจากร่างกายของพวกเขาเหล่านั้น …ท่ามกลางการโห่ร้องสะใจของพวกคนหน้าแดง
เขาต้องทรุดตัวลงนั่งบนพื้นเพื่อสงบสติอารมณ์ ใจเต้นแรงด้วยความหวาดกลัว และเมื่อเขามองพวกที่ถูกตรึงอย่างช้า ๆ อีกครั้ง พบว่าสามคนเป็นผู้ชายชาวต่างชาติ และถัดไปอีกสองเสาติดกัน…. เอ๊ะนั่นมันไอ้ไส กับไอ้แป๊ะ เพื่อนที่มาด้วยกันนี่หว่า..เขาแทบจะช๊อกล้มทั้งยืน.. และพวกที่ถูกสังหารตรึงไม้กางเขนทั้งหมดนั้นเขานึกออกแล้วว่าเป็นพวกที่โดยสารมาในเรือลำเดียวกันกับเขานั่นเอง…
เขาต้องทำอะไรสักอย่าง และต้องวิ่งหนีออกจากป่าแห่งนี้ให้เร็วที่สุด ก่อนที่ทุกอย่างจะสายไป
“ เลือด กระหายเลือด เลือด กระหายเลือด เลือด……” เสียงพวกมันพร้อมใจกันตะโกนดังขึ้น พร้อมกับต่างคนต่างใช้แก้วตักของเหลวสีแดงสดที่อยู่ในถัง ที่วางอยู่ใต้ซากศพของพวกที่ถูกตรึง พวกมันเอามาดื่มกินกันอย่างเอร็ดอร่อย บางคนเอาเลือดราดไปทั่วตัวจนแดงเถือก กระโดดโลดเต้น มันทำเหมือนกับการทำพิธีบูชายัญ …เอ๊ะ นี่มันเป็นพวกผีดิบดูดเลือดชัด ๆ
“ ขอให้สมาชิกยกสองมือไปข้างหน้า คว่ำฝามือลง “
คนที่เป็นหัวหน้า ซึ่งร่างกายแดงเถือกด้วยเลือดที่โชลมไว้ พูดสั่งการ
“ เราจะทำพิธีบูชายัญพวกทรยศ เอาเลือดของพวกมันเซ่นบวงสรวงให้กับเจ้านายของเราที่อยู่บนสรวงสวรรค์แดนไกล และให้พวกเราร้องสวดว่าตามข้า ฯ พร้อม ๆ กัน “
หลังจากนั้น ก็ได้ยินเสียงพวกมันร้องพร้อมกันดังสนั่น
“ เลือด กระหายเลือด เลือด กระหายเลือด เลือด ……” เสียงตะโกนดังก้อง น่าสยดสยองยิ่งนัก
“ โครม “ เขาตกใจสุดขีด เมื่อร่างของเขาเสียหลักพลาดตกลงไปตามทางเนินข้างล่าง เมื่อมองไปข้างหน้า เห็นสายตาของพวกมันจ้องเขม็งมาทางเขาเป็นจุดเดียว
“ จับมัน “ เสียงหัวหน้ามันบอก และพวกมันทุกคนได้วิ่งเข้ามาหาตัวเขาอย่างกระเหี้..ยนกระหือรือ เขาจึงลุกขึ้นวิ่งหนีไปตามเส้นทางอย่างไม่คิดชีวิต..เสียงเหยียบใบไม้และแหวกกิ่งไม้ขณะวิ่งดังขึ้นเป็นระยะ และเสียงฝีเท้าของพวกมันวิ่ง ตามหลังเขามาติด ๆ พร้อมกับได้ยินเสียงตะโกนตามมาว่า
“ เลือด กระหายเลือด เลือด กระหายเลือด………… “
เขาวิ่งจนเหนื่อยหอบ ได้แต่ภาวนาว่าอย่าให้พวกผีดิบนั่นไล่ทัน เขายังไม่อยากตาย…แต่ยิ่งวิ่งเร็ว เท่าไหร่ พวกมันก็คงวิ่งไล่ตามจี้ก้นเขามาติด ๆ เขาวิ่ง วิ่ง และก็วิ่ง ไปข้างหน้า อย่างไม่คิดชีวิต ยิ่งวิ่ง ก็ยิ่งไกล ทำไมหนอ ชายหาดที่เขาเดินเข้ามาในตอนแรกจึงอยู่ไกลขนาดนี้
ทันใดนั้น เขาก็ได้สะดุดขอนไม้ล้มกลิ้งลงไปหลายตลบ นอนหมอบคว่ำหน้า เมื่อเขาจะลุกขึ้นวิ่งหนีต่อไป ก็มีมือที่เย็นชืดมาจับข้อเท้าทั้งสองของเขาไว้ แล้วดึง พอเขาพลิกตัว เงยหน้าขึ้น ก็เห็นพวกผีดิบหน้าตาน่ากลังจ้องเขม็งห่างกันแค่เอื้อม และมันเอาหอกที่ถือ เงื้อจะแทงที่ตรงหน้าอกของเขา…เขาหลับตาตกใจสุดขีด…
“ โอ๊ย โอ๊ย …ช่วยด้วยยยยย…. “
“ เฮ้ย ไอ้บ้านี่ เป็นอะไรไปว่ะ นอนฟุบบนโต๊ะ แล้วฝันร้ายกลางวันรึพวก” เพื่อนเดินเข้ามาตบหัวไหล่ เขางัวเงียลุกขึ้น เหงื่อแตกพลั่กเต็มเสื้อ ทั้ง ๆ ที่หลับอยู่ในห้องแอร์
“ เสียงใครโห่ อะไรว่ะ ดังกระหึ่มเลย “ เขาถามเพื่อนพร้อมกับหันหน้าออกไปดูทางหน้าต่างกระจก เห็นแต่สีแดงเต็มพรึดไปหมด ทั้งนอกและในสนามกีฬาราชมังคลา ฯ
เพื่อนมันพูดกับเขาว่า “ ไม่รู้รึงัย วันนี้ ๑ พฤศจิกา พวกเสื้อแดง มันมาชุมนุมกัน พวกมันกระหายเลือดว่ะ หุหุ “ เพื่อนมันหัวเราะแล้วก็เดินจากไป
…เขาพูดอะไรไม่ออก บอกไม่ถูก …..ได้แต่นึกในใจว่า วันนี้ อย่าให้มันมีเหตุร้ายเกิดขึ้นเลย..
...ขอให้เป็นแค่ฝันร้ายของเขาก็พอแล้ว