23 กรกฎาคม 2546 13:50 น.
ลำน้ำน่าน
ขอเจ้าจง...
เป็นความฝันแสนหวานซ่านฤทัย
เป็นดวงใจละมุนละไมในรอยรัก
เป็นสายใยร้อยบริสุทธิ์ผูกสมัคร
เป็นหน่อรักที่แตกรากจากกอใจ
เป็นดอกไม้แห่งความงามและศักดิ์ศรี
นำความดีทุกถิ่นท่ามาหว่านไหว
ให้เติบคลุมดอกระยับระบัดใบ
แผ่ร่มเงาเป็นเรือนใจให้มวลชน
เป็นต้นน้ำสายธารแห่งสร้างสรรค์
ดั่งตะวันส่องกระทบละอองฝน
อาบบ่าทาบทุ่งนาพาโคลนตม
ให้ดิ่งจมไหลล่องพ้นคลองใจ
เจ้าจะเติบโตเป็นต้นกล้าที่ท้าทาย
ตามจุดหมายปลายทางที่วางไว้
เป็นต้นน้ำประโลมฝันบันดาลใจ
ให้ทุกใจได้อาบว่ายในนิรันดร์
---------------
มีมิ่งมิตรของลำน้ำน่าน แห่งตะลอนดอทคอม..ที่ได้บุตรชายเป็นยอดดวงใจ กำหนดให้ชื่อ ต้นน้ำ ชื่อนี้กระชากใจลำน้ำน่านมากครับ แต่งให้สดสดวินาทีนั้นให้ต้นน้ำ หยดน้ำน้อยคอยลำธารใหญ่ให้ไหลไป..ไม่หยุดยั้ง
20 กรกฎาคม 2546 01:04 น.
ลำน้ำน่าน
บนเส้นทางสายเดี่ยวอันเปลี่ยวไกล
เคยบ้างไหมดอกไม้ให้ใฝ่ฝัน
ขาดมิ่งมิตรเรื้อร้างอ้างว้างครัน
เพียงรอฝันส่องทางให้ย่างกราย
เมื่อฉันตายขอกลายเป็นก้อนหิน
อยู่แดนดินเคว้งคว้างร้างจุดหมาย
ความรื่นรมย์เกรี้ยวกราดยากทำลาย
ความแหนงหน่ายอ่อนใจไม่แผ้วพาล
ริ้วลมพายุฝนอาจกระหน่ำ
มุ่งเติมช้ำหมายปองให้หมองหมาน
ปลุกเรื่องราวรานร้าวในวันวาน
มาประหัดประหารให้วางวาย
คือร้อยแรงส่งเสริมคอยเติมนับ
ยิ่งบังคับเข้าถึงซึ่งจุดหมาย
สุขสูงส่งล้นทางข้างในกาย
ภาวนากับความตายชั่วนิรันดร์
ฉันจะลืมการโลดเต้นแห่งชีวิต
นำนิมิตเห็นงามเส้นทางฝัน
เหมือนกุหลาบแดงปลั่งบนทางชัน
ทุกข์คอยกั้นพลันระวีอยู่ที่ใจ
ฉันจะอยู่คลอเคียงเสียงเมฆลอย
เกี่ยวรุ้งร้อยทอสง่าทุ่งท่าไหน
จะอิงแอบเสียงคระครืนผืนฟ้าไกล
เป็นอุ่นไอเมื่อเหน็บหนาวเข้าทิ่มแทง
น้ำผึ้งฝันอย่าวาดหวังให้ฉันเพ้อ
รักละเมอคำชมใดไม่แสวง
แว่วเพลงหวานบทกวีที่แสดง
เป็นเพียงแรงเคลื่อนใจให้ไกลกราย
แม้นเป็นทางราบเรียบคนเหยียบย่ำ
ยิ่งดื่มด่ำเงียบงันกับความหมาย
รอยบาดแผลน้ำคำหยามทำลาย
ดั่งกรวดทรายทับถมจมท้องธาร
คือเส้นทางมุ่งมาตรปรารถนา
คอยนำพาท่องแดนใจอันไพศาล
หวังรำงับกับจุดหมายที่ปลายกาล
รอไม่นานทางสายฝันจะพลันจริง
..................
เส้นทางสายฝันที่พลันปรากฎชัดในห้วงหัวใจ เป็นเส้นทางอิสระที่เรามีสิทธิ์เดินมีสิทธิ์ฝัน จะเป็นเมฆ เป็นหิน เป็นน้ำผึ้ง หรือเป็นอะไรก็ตามทางของใครจะฝันใฝ่.....ด้วยปรารถนาเส้นทางที่สงบรำงับ ตามกฎแห่งธรรมชาติ เห็นจริงและงดงามตามอริยสัจ.....หากโชคดีอาจเจอผู้ใดที่หัวใจเดียวกันใคร่ร่วมเส้นทางไปสู่บ้านหลังสุดท้ายที่เราต้องอิงแอบแนบนิรันดร์ที่นั่น..... ถ้าเป็นเช่นก็ถือว่า เป็นโชค
19 กรกฎาคม 2546 13:47 น.
ลำน้ำน่าน
.........หอมรินกลิ่นดอกดาว
.........ยามเหน็บหนาวยิ่งครวญถึง
.........อิงแอบแนบคะนึง
.........ระบัดเรืองเหลืองอาบใจ
เรียงรายรับอรุณ
กลิ่นกรุ่นละมุนละไม
ผุดผ่องดั่งทองไส
สอดซ้อนสานแสงตะวัน
..........เขียวใบไล้เคียงคลอ
..........งามละออทอสีสัน
..........ราตรีคลี่แสงจันทร์
..........ยิ่งน้อมจิตให้พิศมอง
ดอกดวงเหลืองอำพรรณ
เกี่ยวริ้วฝันพลันผยอง
ลมริ้วพลิ้วทำนอง
กำจรใจใคร่เคลิ้มเอน
.........เด็ดดอกร้อยมาลัย
.........เป็นช่อใจถวายเพล
.........พุทธะประทับเย็น
.........อานิสงส์อยู่แนบนาน
งดงามตามกำเนิด
แสนประเสริฐดอกไม้หวาน
ดั่งรักระบัดนาน
ร้อยดาวเรืองก็ไร้โรย.....
..................
สี่ห้าวันมานี้ ได้เข้าพักพิงอิงแอบแนบใจกับพระธรรมของพระบรมศาสดา ปฏิบัติธรรม จิตใจที่เคยฟุ้งซ่านกลับสงบนิ่ง เห็นดอกดาวเรืองมากมายที่พุทธมามกะนำมาถวาย เป็นแรงบรรดาลใจอย่างยิ่งยวดในการเขียน...จิตสงบรำงับในกลิ่นหอมแปลกๆ ของดาวเรือง ที่บางคนกล่าวว่าไม่ปรารถนา..เป็นนานาจิตตัง เฉกเช่นหลายเรื่องราวที่มีบางคนชอบและบางคนไม่ชอบ และบางที่ก็ยังหาคำตอบไม่ได้ว่า ทำไม......แต่ลึกๆ แล้วด้วยดวงใจอันละมุนละไม ก็อดที่จะจะพลีใจให้กับความงามของหมู่มวลบุปผา ไม่ได้อยู่นั่นเอง..
10 กรกฎาคม 2546 22:24 น.
ลำน้ำน่าน
ในเวลาเนิ่นนานที่ผ่านผัน
มหัศจรรย์แห่งใจฝันใฝ่หา
ความแข็งแกร่งไฟฝันอย่าพลันลา
ธารน้ำตาอย่าเพิ่งบ่าออกพร่าใจ
บนหนทางพบสว่างบ้างมืดมัว
จิตสลัวแม้หนักหนาอย่าร่ำไห้
ท้าโถมทุกข์ผ่านพ้นดั้นด้นไป
พบกับใครคนหนึ่งซึ่งปลายทาง
ดอกไม้ป่าบานเรียงเยี่ยงมิ่งมิตร
เป็นเงาจิตยามด่างพร้อยคอยแผ่วถาง
บานเผยค่าดอกดินข้างริมทาง
ใจอ้างว้างพลันศรัทธาเริ่มท้าทาย
ความเจ็บปวดรวดร้าวที่เฝ้าแฝง
เริ่มอ่อนแรงดาวดิ้นสิ้นความหมาย
ปัสสิทธิ์แผลงฤทธิ์เข้าครองกาย
ดั่งอุบายลวงร้ายให้กรายลา
ขอสงบรำงับกับความจริง
สรรพสิ่งจึงเผยงามอย่างอุษา
เกลี่ยเกรียวรักมาอาทรในแววตา
สัมผัสค่าศรัทธาแห่งจิตใจ
วอนพิรุณบนฟ้าหล่นลาร่วง
ล้างบาทบ่วงคราบน้ำตาที่พร่าไหว
บ่มวิญญาณชะความชังในวังใจ
สลายไหลให้เหลืองามตามครรลอง
ขอทะลายกำแพงแห่งความกลัว
สำนึกชั่วที่เกรียวกล้าท้าผยอง
ให้พึงครืนดับดิ้นสิ้นทำนอง
น้อมธรรมทองแทนท้นเข้าถมทรวง
แม้นมนตราราตรีครอง...เจ้าของพิภพ
ใบไม้ซบหลบน้ำค้างพร่างจากสรวง
กลัวไปใยเหน็บหนาวรวดร้าวลวง
เมื่อจันทร์ร่วงอุ่นอรุณ.....จะรุ่งมา
..........................
ในวันเวลาของฤดูกาลที่แปรเปลี่ยนเป็นนิจ บางครั้งเราเหน็ดเหนื่อยกับการเดินทางชีวิต ใครบางคนกำลังท้อ ใครบางคนน้ำตาเอ่อ และอีกหลายคนกำลังจะพ่ายให้กับความมืดมิดแห่งจิตใจ.....ในวันนี้ที่อยากจะบอกทุกดวงใจว่า อรุณรุ่งวันพรุ่งนี้ยังมีมาเสมอ...น้อมนำมารุ่งในหัวใจ..บ้างคงเห็นงามและกำลังใจเกิดก่อ...เห็นเส้นทางสายดอกไม้..ในวันรุ่งพรุ่งนี้.......
2 กรกฎาคม 2546 13:07 น.
ลำน้ำน่าน
ต้นวสันต์กับค่ำคืนนี้ที่สายฝนกำลังหว่านไหวอาบทาความมืดหม่น.....
ท้องฟ้าในยามต้นฝนนั้นมัวซัว ม่านหมอกของเมฆฝน...พาให้ใจตรม..
หนุ่มนาเพิ่งจะเสร็จจากงานหว่านไถ ที่เพียรพยายามสืบสาน...
ด้วยหัวใจรักและพลีใจให้กับท้องทุ่ง ดอกผักบุ้งและรวงข้าว..มานานนับ
อายดินกลิ่นฝนที่โรยอวลมาแตะต้องจมูกในยามนี้..กำซาบ..ซ่านหัวใจ
ในวันนี้ที่ฝนเดือนเจ็ดกำลังบ่งสัญลักษณ์แห่งการเริ่มต้น...ของชาวนา
หนุ่มนาไม่รอช้าที่จะบ่มเพาะเมล์ดพันธุ์แห่งชีวิต...กับต้นกล้าแห่งความฝัน
หอมหยาดฝนที่ราดรดลงบนดวงหน้าที่เมื่อเช้านี้ พาให้หัวใจยังตื่น ชื่นมื่นรับฝัน
กับวันนี้ที่ได้เรียนรู้ว่า..ฝนฟ้าและฤดูกาลคือรางวัลที่ธรรมชาติกำนัล
ให้กับผู้ที่มีดวงใจละมุนละไม..ไม่อ่อนแอ และแพ้พ่ายต่อชะตาชีวิต
แต่กลับรู้ซึ้งถึงคุณค่าแห่งสายฝน...ที่ยังหมุนเวียนมาประสบพบเจอทุกๆ ฤดูกาล
ในยามที่เราท้อแท้ ในวันใดวันหนึ่งของชีวิต..เพียงได้ยินเสียงฟ้าฝนคะนอง
และสายลมที่พริ้วพราว..ทำให้ความทุกข์ที่มีอยู่อันตรธานอย่างน่าอัศจรรย์
ยอดผักบุ้งที่แข่งกันชูช่อชัน อวดโฉม คอยรอสาวนามาเด็ดเดี่ยว..เกี่ยวเก็บ
บางคนอาจจะขาดประโยชน์ในยามที่สายกระหน่ำ.. แต่สำหรับชาวนาอย่างฉัน
สายฝนทำให้ยอดผักบุ้งและตำลึงอวบอิ่มและเขียวสด...เด็ดมาผัดมาแกง...
แกล้มแกงส้มปลาหมอและผักลิ้น....เป็นกับข้าวงามง่ายที่ไม่ต้องแลกด้วยเงิน
ดอกไม้ดินที่เบ่งบาน..รอให้มือเรียวงามแห่งสาวชาวนามาประคองเด็ด...
อย่างรู้รักรู้ค่าในงามดอกดินและกลิ่นฝน....หาใช่ดอกเบี้ยงามในกรุงกรง
ผืนแผ่นดินที่เหี่ยวแห้งกลับอุ้มน้ำ..พร้อมให้ต้นไม้ได้หยั่งรากและฝังหัว...
ผักกระเฉดในคลองก็เริ่มยืดยอด...กับสายน้ำที่ขุ่นข้นด้วยโคลนดินและตม
เป็นวิถีที่เกื้อกูลและเอื้ออาทรให้ผักกระเฉดได้ดูดซับอาหารจากโคลนดิน
และให้สมค่าที่ธรรมชาตินั้น เป็นวงจรที่เอื้ออาทรในทุกๆ ชีวิต.....
คนเพาะปลูกเห็นประโยชน์ในสายฝนและผืนแผ่นดิน.
ผักกาดขาวและผักกวางตุ้งในร่องสวนระบัดใบอรชร...หน่อไม้แตกกอรอรัก
อีกเม็ดฝนที่ตกกระทบหลังคามุงจาก เป็นเสียงดนตรีที่หาฟังได้ยาก
แต่ชาวนากลับชอบใจและพิสมัยในเพลงสายฝนพรำ.....
เป็นดนตรีบรรเลงเพลงรักและเพลงช้ำระกำทรวงได้ในเพลงเดียว...
ฉันชอบถอดรองเท้าเดินย้ำโคลนดินที่เหลวนุ่มและอุ่นเท้า...
ราวกับว่าหัวใจไม่ได้รู้สึกถึงความหนาวเหน็บแห่งสายฝนนี้
หอมดินเคล้ากลิ่นไอฝน...เพลงครวญดั่งแววเหนือยอดกระถินอวบน้ำ
เป็นเพลงรักเพลงหวานที่บันดาลหัวใจให้หนุ่มสาวชาวนาหัวใจบรรเจิด..
เสียงขูดมะพร้าวจากบ้านไหนดังแว่วมา...ราวกับจะแข่งกับเสียงฟ้าฝน
ที่คะนองคึก...ผสมผสานเป็นเสียงดนตรีบรรเลงกล่อมท้องทุ่งในยามเย็น
ในยามนี้ฉันคิดถึงบทเพลงแสนรักบทเพลงหนึ่ง....ที่ขึ้นต้นว่า
พี่ลืมยอดเถาตำลึงรายเรียง...
น้องเก็บเอามาแกงเลียงเพื่อเลี้ยงพี่เจ้า
แกงคั่วถั่วฝักยาว...
อีกน้ำพริกปลาเจ๋า
เราสองคนทนกินทนกลืน.......
สายฝน หอมดินเคล้ากลิ่นไอฝนยังทำให้ดอกรักในหัวใจผลิบาน...
ให้คิดถึงยอดดวงใจสำหรับบางคนที่รักร้าว...กับหัวใจแห้งเหี่ยว
รอให้หยาดฝนมาประทานพรให้เห็นงามในคุณค่าใกล้ตัว.....
ไม่ต้องไขว่คว้าหาดวงใจที่แห้งแล้งมาครอบครอง..ให้เปลืองใจ
ดอกกระเฉดสีเหลืองที่เก็บมากองอยู่ตัดกับใบตองสีเขียวสด
เป็นศิลปกรรมที่บรรจง...แต่งแต้มให้หรูเริดได้ไม่ยาก......
ต่างจากดอกผักบุ้งและอัญชันที่ริ้มรั้วข้างบ้าน...ม่วงครามและง่ายงาม
เป็นพลังใจให้เรียนรู้ว่า..ทุกเฉดสีของธรรมชาติ มีความงามงด...
ที่สมดุลในหน้าที่และเผ่าพันธุ์ของตนเอง...หาได้ไร้ค่าแม้แต่สิ่งเดียว
ครึ้มฟ้าครึ้มฝน ทำนาหว่านกล้า เดี่ยวก็เปียก เดี่ยวก็แห้ง........
แต่ชาวนาอย่างฉันก็สุขใจที่ได้ยืนอยู่กลางสายฝน...
ชื่นชมกับดอกดินและดอกฝน ปนดอกไม้ใบหญ้าที่เริงระบำ
ฝนจ๋า.....ดินจ๋า ในวันนี้ที่อยากจะบอกว่า สายฝนพรำ
และหอมดินกลิ่นไอฝนนั้นเป็นโอสถสมานใจที่รานร้าว..
ให้ฟื้นคืน รวมเรี่ยวแรงหยาดสุดท้ายที่มี....ขุดเสาะหาทรัยพ์สมบัติ
ที่บรรพบุรุษได้ฝังไว้ในผืนดิน ...พลิกท้องนาท้องไรให้มีค่าอีกครั้ง
ฉันจะได้ยินเสียงเพลงมนต์รักลูกทุ่งบรรเลิงแกล้มเสียงขลุ่ย.....
ที่ต้องแหงนหน้ามองยอดต้นตาล ...หาเสียงขลุ่ยครวญแผ่วมา
พลิ้วผ่านทิวแถวต้นตาล.....เป็นมนต์เพลงที่ตรึงหัวใจได้ชะงัก
ฝนเริ่มหนาเม็ดอีกครั้งแล้ว บทเพลงแห่งฤดูกาลกำลังทำหน้าที่
ฉันทานข้าวอิ่มเต็มท้อง แกงส้มผักลิ้นกับน้ำพริกแมงดา......
ที่วันนี้ได้แสดงฝีมือ ต้มยำตำแกงเอง...ด้วยขาดยอดดวงใจที่ลาลับ
ท้องนากำลังระงมงำด้วยเสียงกบผสานเขียดตัวจ้อย....ราวกับจะสอนใจ
ให้ดวงใจได้รับรู้โลกสองด้าน...ทั้งงามและรานร้าวในคราวเดียว...
ฝากบทเพลงแห่งสายฝนในค่ำคืนนี้.....ถึงยอดดวงใจคนไกล
ว่าสายฝน หอมดิน และกลิ่นอายของทุ่งรวงทองยังรอรับฝัน.......
ในทุกๆ ฤดูกาลแห่งใจ......ฉันเปิดเพลง ฝากดิน เพื่อกล่อมเกลาหัวใจ
ให้หลับใหลไปกับสายวสันต์...ดอกดินและกลิ่นทุ่งทอง...นิรันดร์
ดินเจ้าเอ๋ยข้าเคยอยู่ใกล้มาก่อน..
ดินอุ่นร้อนหรือเย็นก็เป็นเพื่อนฉัน
ยามเมื่อเขาร้างไป ไกล
ใจก็ยังนึกหวั่นหวั่น นี่อีกสักกี่วันถึงมา
ดินอ้างว้างระทมขื่นขมตรมเศร้า..
ดินก็เหมือนเช่นเรารักเขาหนักหนา
เขาเป็นเหมือนเจ้าดวงใจ..ดินเรียกเขาคืนมามา..
บอกเขาเถิดดินจ๋าข้าคอย
อภัย เถิด ดิน..
ได้แนบซบไอกลิ่น ดินนั้นอุ่นไม่น้อย...
อุ่นอกเขา อุ่นอกเขา เราก็พลอย..
อุ่นจากรัก ที่ฝังรอย อุ่นไม่น้อย ประทับใจ
ดินช่วยซับน้ำตาข้าขอลาจาก..
ช่วยฝากซากรักเศร้าของเราได้ไหม
ถ้าหากเขาไม่มาเยือน คงได้พบรักใหม่ ใหม่
ดินถมร่างฉันไว้ ให้จม