5 พฤศจิกายน 2547 00:47 น.

เบิกรุ่งพิกุลระบายหล้า (Virtue of Dawning Flower)

ลำน้ำน่าน

โคลงสี่สุภาพ
       (๑) พุทธคุณไตรรัตน์ล้ำ..............รวีอรุณ
พุทธุปบาทกาลบุญ............................เบิกฟ้า
พุทธศาสนิกละมุน.............................พุทธชาด สยามนอ
พุทธบุตรโชติชวาลหล้า......................สว่างเพี้ยงพันแสงฯ

      (๒) เพชรพิกุลเกล็ดแก้วร่วง.........พะไลทราย
พันพร่างธรรมทองพราย.....................พิจิตรฟ้า
กลีบหล่นร่วงโรยวาย..........................วัฏจักร
เบิกรุ่งบุญระบายหล้า.........................โบสถ์เบื้องระเบียงวิหารฯ

กาพย์ยานี ๑๑

อ่อนหวานแลอ่อนไหว
บานละไมในริ้วลม
ดอกไม้ไว้แย้มชม
กลิ่นชื่นสมมิสิ้นไป

ขจรร่อนขจาย
ร่วงลานทรายพรายบ่วงใบ
พรมเนินเพิ่งกวาดใหม่
หอมลมไล้ใกล้โบสถ์พุทธ

พิกุลบุญราศี
แทนความดีพลีพิสุทธิ์
ร่วงลงลานวิมุตติ
แทนสายหยุดหยุดสายลา

ดอกไม้สมุนไพร
โบราณไขแต่ใดมา
ปลูกไว้ในวัดวา
เกสรห้าเครื่องยาไทย

เหลืองนวลชวนให้หอม
ภู่ผึ้งตอมห่อนกรายไหน
เขียวแซมแย้มเรือนใบ
ดอกดวงใจก็แย้มตาม

มาลัยดอกพิกุล
ร้อยพวงบุญกรุ่นทุกยาม
คนเฒ่าเล่าลือนาม
ร้อยแสนงามพุทธบูชา

ดอกไม้คล้ายรูปจักร
ร่วงลงตักรักบ่ลา
ดอกตูมเต่งแตกตา
มินานช้าจักหล่นพราย

ผลิบานตระการต้น
ดอกอำพนบ่วางวาย
เหี่ยวแห้งแล้งเรือนกาย
หอมบ่หน่ายสนิทนาน

หอมธรรมแสนล้ำเลิศ
หอมประเสริฐเทิดผสาน
หอมกลิ่นอภิญญาณ
หอมนิพพานเคล้าพิกุล

พรรษาล่วงลาเลย
ดอกไม้เอยยังเกื้อหนุน
คล้องร้อยสร้อยบ่วงบุญ
คล้องค่าคุณไว้ด้วยกัน

ร่มไม้ในลานวัด
สงบสงัดมิแปรผัน
ระหงในวงศ์วรรณ
พิกุลพรรณพุทธผกา

-----------------------------
เมื่อลมฝนล่องไล้สวนรุกขชาติในวัดป่า
ดอกพิกุลต่างก็โปรยดอกลงแต่งแต้มลานทรายกวาดใหม่
กลิ่มหอมดอกพิกุลนั้น หอมร่ำ อบอวลไปทั่วอาณาบริเวณ
แลเสียงขลุ่ยแว่วหวานดังมาในสายลมเมื่ออรุณเบิกฟ้า

ในมโนคติเนิ่นนานของข้าพเจ้านั้น 
ดอกพิกุลคือดอกไม้แห่งพุทธศาสนา
คนเฒ่าคนแก่โบราณมักใช้เวลาบั้นปลายชีวิตอยู่กับวัด
กวาดลานทรายและร้อยดอกพิกุลเพื่อเป็นมาลัยพุทธบูชา
ภาพหญิงชรานุ่งซิ่นนั่งเก็บดอกพิกุลในวัดป่าแห่งหนึ่ง
ยังคงงดงามตราตรึงอยู่ในความรู้สึก

ดอกไม้หอมที่แพทย์แผนโบราณไทยเราในสารบบ
เป็นเกสรทั้งห้า ได้แก่ ดอกพิกุล ดอกมะลิ ดอกสารภี 
ดอกบุนนาค และ ดอกบัวหลวง

ห้วงพรรษาจะเวียนมาแล้ว ลองหาเวลาเดินไปตามวัดป่าต่างๆ
โชคดีเจอดอกพิกุล แล้วเราจะพบว่า ดอกพิกุลนั้น
กำลังบานพรายแต่งต้นงดงามอยู่ท่ามกลางวงล้อม
แห่งพุทธธรรมทั้งปวง

--------------------------------------------------------
ภาพดอกพิกุลบนใบสักทอง 
ถ่ายโดย ม.ล.ปรมาภรณ์ เทวกุล
สถานที่ วัดภูมินทร์ จังหวัดน่าน


				
4 พฤศจิกายน 2547 01:33 น.

รุ่งอรุณแห่งสันโดษ (The Dawning Freedom)

ลำน้ำน่าน

ลมเหมันต์มาเยือนเหมือนปีกลาย
จุดมุ่งหมายอีกไกลไปไม่ถึง
เพียงเพ้อฝันรำไรในคำนึง
พอลึกซึ้งซาบซ่านสนานใจ

อรุณแล้วอีกคราวในหนาวนั่น
เสียงผู้ใดรำพันถึงฝันใหม่
จากโพ้นทุ่งรุ่งรางกลางพฤกษ์ไพร
แผ่วมาไกลสันโดษลับโบสถ์บรรพ์

ว่าเหมันต์รวงข้าวที่พราวทุ่ง
รอจรุงประภัสสรตอนแสงสรรค์
รอน้ำค้างกลางหาวมาพราวพรรณ
รอฉายภาพเกษมสันติ์วันหนาวนา

ฉายความงามริ้วรวงให้ช่วงโชติ
เมื่อสันโดษผลิแย้มแต้มอุษา
รับมิ่งมนตร์อุ่นอรุณเมื่อหมุนมา
ส่องมรรคานาข้าวของชาวพุทธ

เผยสามัญเงียบงามตามทุ่งถิ่น
หลังสู้ดินสู่ฟ้านาวิสุทธิ์
สืบศรัทธาก้าวสู่ผู้วิมุตติ
ผู้โชนจุดธรรมาอารยชน

หยดน้ำค้างร่วงเผาะเพราะทำนอง
เสียงแซ่ซ้องโกกิลาทุกนาหน
วิเวกไหวสันโดษในโสตตน
กล่อมมณฑลบ้านนาอยู่ช้านาน

วิหคเช้าชาวไพรไม่ทิ้งถิ่น
ไปหากินพลัดหลงดงสังขาร
ไปจมโลกย์โศกเศร้าเป็นเต่าทาน
ไปห่างไกลนฤพานย่านคบคา

ตื่นมาเถิดแก้วตาหน้าหนาวแล้ว
แสงจันทร์นวลจวนแคล้วจากเวหา
เมื่อแสงเงินแสงทองส่องผืนนา
คือสัญญาบรรพบุรุษรุดจับงาน

แม่หุงข้าวหอมใหม่ไว้ใส่บาตร
เด็ดบุปผชาติบัวบุษย์พุทธศานต์
พ่อเตรียมคราดคันไถใต้เพิงลาน
ท้ายหมู่บ้านตะโพนโยนเสียงมา

ตื่นแตกพรูวิหคเริ่มผกผิน
ต่างโผบินสู่พงดงตาลหนา
พระสงฆ์พุทธออกเดินเพลินภาวนา
คือสามัญธรรมดาแห่งชีวิต

ตระหนักถึงง่ายงามของความว่าง
โน้มหนทางไตรลักษณ์พิทักษ์จิต
สรรพสิ่งแนวทางต่างนิมิต
ธรรมชาติแท้ลิขิตความสมดุล

ลมเหมันต์มาเยือนเหมือนปีกลาย
จุดมุ่งหมายแท้สุขทุกโลกหมุน
สถิตทุ่งสถิตข้าวคราวอรุณ
เนื้อนาบุญค่าอุโฆษสันโดษชน

------------------------
ชีวิตที่แตกโตขึ้นท่ามกลางความงดงาม
และความสันโดษแห่งธรรมชาตินั้น เป็นวิถีที่น่าเสน่หา 
และน่าประภัสสรอยู่ไม่น้อย... เราปฏิเสธไม่ได้ว่า
บรรพบุรุษของมนุษย์แห่งเรานั้นเป็นเกษตรกรผู้สันโดษ
เป็นชาวนาอารยชนผู้สืบสายวัฒนธรรม ทุ่งข้าว ประเพณีดีงาม

ถึงแม้เราจะก้าวไปสู่ความวัฒนาของโลกเทคโนโลยี่สักเพียงไหน
เราก็หนีความเป็นธรรมชาติไปไม่พ้น เราปฏิเสธไม่ได้ที่จะมองภาพอันวิลาสีนี
แห่งท้องทุ่งข้าว รวงเรียวระบัดงามท่ามกลางสายหมอก ภาพป่าเขาลำเนาไพร
เราหนีไม่พ้นกฎธรรมชาติ.... 

ความสันโดษและพอใจในสิ่งที่ตนมี  ใช้ชีวิตเรียบง่ายท่ามกลางกระแสวัฒนา
น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับยุคโลกาภิวัฒน์อันเร่าร้อน  รู้เท่าทันความเจริญ 
ในขณะเดียวกัน ก็โน้มความสันโดษ เข้ามาประคองชีวิต 
เฉกเช่นเราดื่มน้ำหวาน น้ำมธุรส มายมายฉันท์ใด สุดท้ายเราก็ต้องดื่มน้ำจืด 
อันบริสุทธิ์ปิดท้ายฉันท์นั้น นี้คือกฎแห่งธรรมชาติ

ลมหนาวเริ่มแล้ว  หวังให้ทุกดวงใจได้โน้มวาระของรุ่งอรุณแห่งเหมันต์นี้
พิจารณาเวลาที่ผ่านมา ความทุกข์ ความสุข และความทะยานอยากตามกระแส
บางที่เราอาจพบทางเดินใหม่ที่ สงบ และสันโดษ งดงามอยู่ท่ามกลางความวัฒนา
เป็นพุทธศาสนิกชนที่เรียบง่ายตามเจตนารมย์แห่งองค์สัมมาฯ

ลำน้ำน่าน บุรุษแห่งสายน้ำนิรันดร์
				
3 ตุลาคม 2547 01:02 น.

สุขใจในจาตุมหาราชิกาภูมิ (The Endless Heaven)

ลำน้ำน่าน

สุขใจในจาตุมหาราชิกาภูมิ
ปฐมบทจาตุมหาราชิกา  (กาพย์ฉบัง ๑๖)

ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๑๐ ประการเป็นผู้ถูกเชิญมาประดิษฐานไว้ในสวรรค์ เหมือนสิ่งของที่นำมาประดิษฐานไว้ ธรรม ๑๐ ประการเป็นไฉน  ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ งดเว้นจากการลักทรัพย์ เว้นขาดจากการประพฤติผิดในกาม เว้นขาดจากการพูดเท็จ เว้นขาดจากคำส่อเสียด เว้นขาดจากคำหยาบ เว้นขาดจากคำเพ้อเจ้อ ไม่อยากได้ของผู้อื่น ไม่มีจิตคิดปองร้าย มีความเห็นชอบ ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๑๐ ประการนี้แล เป็นผู้ถูกเชิญมาประดิษฐานไว้ในสวรรค์ เหมือนสิ่งของที่เชิญมาประดิษฐานไว้ ฯ
  **ภูมิวิลาสินี** โดย พระธรรมธีรราชมหามุนี (วิลาศ ญาณวโร ป.ธ.๙)


สี่พันหกร้อยโยชน์ยล
เทวะมณฑล
ยอดยุคนธรพิมาน
				
แสงสรวงสวรรค์บันดาล
เกล็ดดาวพราวลาน
ภพภูมิเทพยดา 

หอมมรรคผลอภิญญา
ไอทิพย์ทิพา
อัปสรว่อนฟ้ารื่นรมย์

รอเฝ้ามหาอินทร์พรหม		
รับพรนิยม
ประกอบแก้วเจ็ดประการ

อร่ามเหลืองเมืองโอฬาร
จาตุทวาร
กำแพงกั้นใสใยยอง

สี่เทพนครครอบครอง
เรือนแก้วเรือนทอง
เหลื่อมลอยลับสลับกัน

ประตูแก้ววิลาวัณย์
วิเศษทองพรรณ
ประเสริฐสุดในดินแดน

ซุ้มปราสาทวาดเมืองแมน
ม่านบานแผ่แพน
ใต้ร่มฉัตรแก้วแพรวพลอย

กลางนครไอเมฆลอย
ห่มคลอหอคอย
ยอดปราสาทแก้วอรุณ

คือวิมานกามคุณ
เสวยผลบุญ
ของเหล่าเทพยาดา

เบื้องต่ำเท้ามรคา
ทองทาบฉาบทา
ทอดอร่ามตามทางเดิน

เหล่าเทวดาเพลิดเพลิน
ทอดนำดำเนิน
นวลนุ่มเนื้อเจือแพรพรม

เท้าเทวาวางย่างจม
เจิมเต็มทิพย์ลม
ไร้ร่องรอยเทวดา

สระหนึ่งไม้ดอกดาษดา
สระน้ำแก้วตา
สระแก้วโบกขรณี

เหล่าปทุมชาติวารี	
ทิพย์กลิ่นอินทรีย์
ละอองสรวงปวงสุคันธ์

พฤกษชาติดาดาษพันธุ์
สลับสีสัน
พรรณรายพรายธารครอง

ผลไม้ใหญ่น้อยเนืองนอง
ดอกผลทิพย์ทอง
แท้รสเลิศล้ำโอชา

ไร้เขตกัปกัลป์เวลา	
สุขทุกเทวา
ทวยเทพมหาอภิรมย์


ปุญญกิริยาวัตถุสูตร
(อังคุตตรนิกาย อัฏฐกนิบาต ข้อ ๑๒๖ หน้า ๒๔๕ บาลีฉบับสยามรัฐ)
"ดูกรเธอผู้เห็นภัยในวัฏสงสารทั้งหลาย! บุคคลบางคน ในโลกนี้ ทำบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยทานมีประมาณ ยิ่ง ทำบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยศีลมีประมาณยิ่ง ไม่เจริญบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยภาวนาเลย เมื่อตายไป แล้วเขาย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดา ชั้น จาตุมหาราช

"ดูกรเธอผู้เห็นภัยในวัฏสงสารทั้งหลาย! ท้าวมหาราช ทั้ง ๔ นั้น ได้ทำบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยทานเป็น อดิเรก ทำบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยศีลเป็นอดิเรก ย่อมก้าวล่วงเทวดาชั้นจาตุมหาราชิกาโดยฐานะ ๑๐ ประการ คือ อายุทิพย์ วรระณะทิพย์ สุขทิพย์ ยศทิพย์ อธิปไตยทิพย์ รูปทิพย์ เสียงทิพย์ กลิ่นทิพย์ รสทิพย์ โผฏฐิพพทิพย์

จาตุโลกบาลทั้งสี่แห่งจาตุมหาราชิกา

สี่เมืองใหญ่วโรดม		
ยิ่งยศต่างพรหม
ปกครองผองเทพแต่บรรพ์

นครหนึ่งยลคนธรรพ์
ดนตรีสรวลสรรค์
ท้าวธตรัฏฐะบูรพา

ร่ายรำฟ้อนอ้อนลีลา
ชุมนุมเทวา 
กลอนกล่อมเพลงพิณรินใจ

หนึ่งเทพบุตรงามใน
พรเทพปางใด
ปัญจสิขรคนธรรพ์

กุศลก่อนเบื้องเนื่องบรรพ์
ศิลป์พิณจำนรรจ์
น้อมเกิดภูมิราชิกา

เทพบุตรสุดโสภา
จอมเทพเมตตา
เหนือธรรพ์ชั้นฟ้าถิ่นใด

ร่อนลงนิมิตบันได
ดื่มด่ำอำไพ
เพลงพิณเพราะโกกิลา

ร่ายเสียงเยี่ยงสกุณา
ลิ้นทิพย์มนตรา
เยื้องกรายนำหน้าพระอินทร์

เข้าเฝ้าองค์เอกภูมินทร์
ร่ายธรรมย้ำยิน
แต่องค์พุทธบิดา

นครทิศทักษิณา
กุมภัณฑ์พารา
ท้าววิรุฬหกาครอง

ไกรอิทธิฤทธิ์ช่ำชอง
คุมยักษ์กระบอง 
ยักษ์ทาสจงรักภักดี

อีกปวงเทพไท้ฤทธี
อุบัติมากมี 
ใต้แสนยามหาวิรุฬฯ

หนึ่งนครเทพการุณย์
สวรรค์สมดุล 
ด้วยปวงสมุนนาคา

ท้าววิรูปักษ์ราชา
องค์เจษฎา 
รักษาประจิมพิมาน

ฤทธิ์นาคีบริวาร
ทิพย์จิตวิญญาณ 
นฤมิตกายได้ไว

มนุษย์อมนุษย์ใน
รูปลักษณ์อำไพ 
เที่ยวท่องสมุทรธารา

เนรมิตเทวดา
เยี่ยมเยือนนภา 
เสพสุขกามาพจร

ยามนาคพ่นพิษขจร
เนื้อหนังขาดรอน 
ชีพม้วยมรณ์ในพริบตา

วรรณะสูงส่งนาคา
สั่งสมบุญญา 
เกิดภพภูมิใดไม่กลาย

หนึ่งนครสวรรค์ปลาย
ครองยักษ์เหล่าร้าย 
ท้ายแว่นแคว้นแดนอุดร

องค์เวสสุวรรณบวร
ฤทธาขจร 
คุ้มยักษ์ภักตะสันดาน

อานิสงส์บริบาล
ก่อนจุติกาล 
สั่งสมบุญบารมี

กายสุกปลั่งดั่งสุรีย์	
รุ่งรัศมี 
ระย้าระยับเมืองแมน

ทานสูตร
(อังคุตตรนิกาย สัตตกนิบาต ข้อ ๔๙ หน้า ๖๐ บาลีฉบับสยามรัฐ)
"ดูกรสารีบุตร ในการให้ทานนั้น บุคคลมีความหวัง ให้ทาน มีจิตผูกพันในผลแห่งทานแล้วให้ทาน มุ่งการ สั่งสมทาน ให้ทานด้วยคิดว่า เราตายไปแล้วจักได้ เสวยผลแห่งทานนี้ เขาผู้นั้น เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึง ความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นจาตุมหาราช"

ปัจฉิมบทจาตุมหาราชิกา

ท้าวจตุมหาแถน
สี่ทิศชิดแดน
พ้นด่านทวีปมนุษย์

เหล่าเทวาบริสุทธิ์
อัปสรนงนุช
เริงสุขไพศาลถาวร

ปราสาทสถานอัมพร
กามาวจร
ใต้บวรจตุโลกบาล

ปาริชาตบานตระการ
ทิพย์ไต้วิมาน
มวลละอองล่องสะท้อน

รูปอินทรีย์มิอาวรณ์
อายุฤารอน
ใต้ร่มมหาราชิกา

ภุมมัฏฐเทวดา
กรรมดีมีมา
สถิตสถานแผ่นดิน

ปวงพฤกษ์ไม้พรายถิ่น
เทพองค์ทรงยิน
รุกขัฏฐะเทวดา

ทิพย์พิมานเมขลา	
ไอศูรย์เมฆา
อากาสัฏฐะเทพองค์

สุดยอดโยชน์โขดเขาดง
สิเนรุลง
ลาดจรดจดตอนกลาง

ทั่วพื้นภพจบสรรพางค์
เทวาอำพราง
ศานติสุขราชิกา


(อังคุตรนิกาย เอกนิบาต ข้อ ๒๐๕ หน้า ๔๖ บาลีฉบับสยามรัฐ)
      ดูกร เธอผู้เห็นภัยในวัฏสงสารทั้งหลาย! สัตว์ที่จุติจาก มนุษย์ ไปแล้ว จะกลับมา เกิดเป็นมนุษย์อีก มีเป็นส่วนน้อย สัตว์ที่จุติจากมนุษย์ไปแล้ว ไปเกิดในนรก ไปเกิดในกำเนิดเดียรัจฉาน ไปเกิดในเปรตวิสัย มีประมาณมากกว่า โดยแท้

      สัตว์ที่จุติจาก มนุษย์ ไปแล้ว ไปเกิดเป็นเทพยดา มีเป็นส่วนน้อย สัตว์ที่จุติจากมนุษย์ไปแล้ว ไปเกิดในนรก ไปเกิดในกำเนิดเดียรัจฉาน ไปเกิดในเปรตวิสัย มีประมาณมากกว่า โดยแท้

      สัตว์ที่จุติจาก เทพยดา ไปแล้ว จักกลับไปเกิด เป็นเทพยดาอีก มีเป็นส่วนน้อย สัตว์ที่จุติจาก เทพยดาไปแล้ว ไปเกิดในนรก ไปเกิดในกำเนิด เดียรัจฉาน ไปเกิดในเปรตวิสัย มีประมาณมากกว่า โดยแท้

      สัตว์ที่จุติจาก เทพยดา แล้ว จักได้มาเกิดเป็น มนุษย์ มีเป็นส่วนน้อย สัตว์ที่จุติจากเทพยดาแล้ว ไปเกิดในนรก ไปเกิดในกำเนิดเดียรัจฉาน ไปเกิดในเปรตวิสัย มีประมาณมากกว่า โดยแท้

      สัตว์ที่จุติจากกำเนิดเดียรัจฉานแล้ว ไปเกิดเป็น เทพยดา มีเป็นส่วนน้อย สัตว์ที่จุติจากกำเนิด เดียรัจฉานแล้ว ไปเกิดในนรก กลับเกิดในกำเนิด เดียรัจฉาน ไปเกิดในเปรตวิสัย มีประมาณมากกว่า โดยแท้

ลำน้ำน่าน บุรุษแห่งสายน้ำนิรันดร์
วันศุกร์ที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๑๔๔๒



				
2 ตุลาคม 2547 02:05 น.

ใบตองปัจจยาการ (The Role of Leave)

ลำน้ำน่าน

ตองเหลืองอ่อนซ้อนใบในลมป่า
แซมวนาเหลืองร้อยกับสร้อยฝน
เมื่อน้ำค้างพรมภพนภดล
ทั้งสกลโบกบุษย์พุทธพนา

พระพิรุณเมตตาป่าสวรรค์
กลั่นน้ำตาคนธรรพ์ชั้นเวหา
หยดมณีแต้มแต่งแหล่งเวลา
หยาดวิญญาณ์ปลุกฟื้นผืนพรมไพร

กระเซ็นแสงแพร่งพรายทุกลายพฤกษ์
หว่านผลึกอาบผิวริ้วปวงไผ่
เมื่อม่านเขียวคลี่ละมุนรับอุ่นไอ
ตองนวลใยก็ไหววับรับอรุณ

สไบตองราวม่านวิมานฟ้า
ดั่งผืนไหมรุกขเทวามาเกื้อหนุน
มรกตผืนงามความสมดุล
โบกใบบุญร่มทานพรานวนา

เกลียวตองไหมเหลืองเขียวเกี่ยวริ้วหมอก
งามกว่าดอกไม้บรรพ์พันธุ์บุปผา
ราวสไบอัปสรซ่อนกายา
กลางวิมานยามาสุขาวดี

สตรีงามพลิ้วพรูอยู่กับป่า
ตองวนาอาภรณ์อ้อนแสงสี
ยอดอ่อนเยาว์ดรุณวัยไร้ราคี
เติบท่ามกลางดินดีเพาะพลีมา

เมื่อเรือนใบต้องแสงแห่งอรุณ
ทุกโลกหมุนเปลี่ยนไปไร้เดียงสา
ค่อยแย้มกายเขียวเข้มเต็มพารา
รอเวลาขีดสายวาดลายไพร

สไบเขียวนางไม้กลายเหลืองทอง
เหลืองผุดผ่องประกายลวดลายใหม่
ผลแห่งนางเรืองรองเป็นยองใย
เพื่อสัตวาเยาว์วัยได้เก็บกิน

ตองอ่อนแรงบอบบางกลางลมป่า
สกุณาออกลูกแก้วแล้วผกผิน
เรือนหลังคาตองน้อยคล้อยลงดิน
ทั้งปวงป่าอวลกลิ่นอนิจจัง

หยาดน้ำค้างระโหยโปรยละออง
สไบตองเหี่ยวไปไร้ความหวัง
แท้สรรพสิ่งสิ้นไปไม่จีรัง
ยามประดังด้วยเหตุด้วยปัจจัย

ตองงามเหลืองแห้งคาป่าสวรรค์
หมื่นน้ำตาคนธรรพ์ไม่หวั่นไหว
คงหยาดชื่นรื่นพราวสู่ราวไพร
แล้วระเหยแห้งไอตามวัฏกาล

สไบไหมนางไม้ได้ดื่มด่ำ
เกลียวลำนำน้ำค้างวางสังขาร
ไร้ยึดมั่นสิ่งใดในห้วงกาล
รู้เหตุปัจจยาการรู้เหลืองตอง

รู้หนทางนิรพาน...เพราะเหลืองตอง

-----------------------------------
ชีวิตข้าพเจ้าตอนเยาว์วัยนั้นคุ้ยเคยกับใบตองอยู่เนืองนิจ
ห่อข้าวเด็กชนบทมักจะห่อด้วยใบตอง  แม้บัดนี้เวลาเลยผ่าน
กลิ่นหอมใบตองนายังหอมรินพรมพรำอยู่ในอณูความรู้สึกทรงจำ
ก่องข้าวปลาในยามสายกลางทุ่งนานั้นก็ช่างอบอวลด้วยกลิ่นใบตอง
ในมโนสำนึกของข้าพเจ้าคิดว่าใบตองคือใบไม้ในอุดมคติ
ที่ให้มนุษย์ได้ใช้ประโยชน์คุณูปการ..เป็นใบไม้ตัวแทนชาวชนบท
ทาน ความดี ความเรียบง่าย สงบ และความสามัญแห่งชีวิต...

ใบตองในวันนี้นั้นได้กลายเป็นตัวแทนแห่งพุทธคติ
ใบตองงามราวสไบนางไม้ในปวงป่าพฤกษ์ที่ข้าพเจ้าได้ไปเยือนมา
ณ กลางป่าตะนาวศรี เขตรอยต่อชายแดนไทย-พม่า ดินแดนสวรรค์วนา
จากยอดอ่อนเหลืองนวลยามต้องแสงเช้า ราวมรกตเขียวไพร 
เป็นแหล่งร่มไม้ชายคาแก่สรรพสัตว์ยามพระพิรุณพิโรธ
เปรียบประดุจหญิงงามในป่าพฤกษ์ ที่มีความงามซ่อนเร้น
งดงามยิ่งยามจับกับเกร็ดน้ำค้างไพรสะท้อนแสงในยามเช้า....

จุดสุดท้ายตองนวลเหลืองอ่อนย่อมเหี่ยวแห้งไปตามกฎธรรมชาติ
จากเหลืองอ่อนกลายเป็นเขียวแล้วก็เหลืองแห้งตายไปเป็นที่สิ้นสุด
ไม่มีสิ่งไหนคงอยู่ถาวร ไม่มีความจีรังในทุกสรรพสิ่ง...
ทุกๆ ธรรมชาติสอนให้เราเข้าใจความเปลี่ยนแปลงอันเป็นนิรันดร์...
เสมอมาแลเสมอไป...เพียงเราเพียรพยายามและเปิดใจสัมผัสธรรมชาติ
เพราะสิ่งทั้งหลายทั้งปวงเป็นเหตุเป็นปัจจัยซึ่งกันและกัน
เพราะแสงอรุณแผดเผา น้ำค้างจึงระเหย
เพราะอำนาจแสงแดดและโลกหมุน ตองนวลจึงชรา
ด้วยเหตุที่ทุกๆ สิ่งสัมพันธ์กันตามธรรมชาติเป็น ปัจจยาการ

				
23 กันยายน 2547 02:15 น.

ทุ่งแสงสงฆ์ (The Enlighten Field)

ลำน้ำน่าน

หอมเอยหอมดอกไม้ในลานรุ่ง
กลิ่นจรุงกำจายคล้ายศีลสงฆ์
หอมละมุนกรุ่นกุฎิที่แดนดง
ประกายพรึกคล้อยลงตรงฝั่งฟ้า

อุษาโยคทอแสงทุกแหล่งถิ่น
ปวงนกไพรโผบินสู่เวหา
ผกสู่ทุ่งรุ่งรางกลางมรรคา
สู่อภิญญานิรพานลานชีวิต

ภิกษุสงฆ์บวชใหม่ในพรรษา
ยึดพุทธามั่นไว้ในดวงจิต
จากย่ำค่ำรุ่งแจ้งแสงนิมิต
ตราบแสงธรรมเจิมทิศบูรพา

บริสุทธิ์น้ำค้างพร่างจากสรวง
สู่ดอกดวงไร่ฝ้ายไพรบุปผา
หยาดสู่ห้วงสายธารอนัตตา
อยู่คู่เดือนคู่ฟ้าตราบตาปี

ตื่นขึ้นรับแสงใหม่ในวันพระ
ท่ามงามเงียบสภาวะอันดิถี
เมื่อปทุมแย้มพรายสายวารี
เจิมนทีครรลองอยู่นองเนือง

แว่วบทเพลงโพธิ์แก้วเจื้อยแจ้วมา
ประสานเสียงสกุณาเมื่อฟ้าเหลือง
สายหยุดย้อยเริ่มหอมในรองเรือง
ทุกมุมเมืองท้องทุ่งเริมรุ่งรับ

ภิกษุใหม่ไหว้พระพุทธเจ้า
สวดมนต์เช้าแผ่วเบาเงาเทียนจับ
อัญเชิญแสงแห่งสงฆ์ลงประทับ
จีวรวับสบงเหลืองงามเรืองรอง

อรุณวดีคลี่แสงอาบแหล่งหล้า
สกุณาทิ้งถิ่นบินสู่หนอง
ในอุษาผ้าสงฆ์สีจีวรครอง
บิณฑบาตรตามครรลองสู่ท้องนา

พื้นอัมพรสว่างแก้วทุกแนวทาง
หน่อพุทธางค์สว่างไหวในพรรษา
เพียรไปสู่หนทางแห่งปัญญา
สู่มรรคาเงียบสงบพบนิพพาน

เมื่อแสงเช้าทอทาบอาบผ้าพุทธ
ดั่งวิสุทธิ์แสงธรรมนำสังขาร
สุดสว่างเรืองระยับจับสายธาร
ส่องจักรกาลไตรลักษณ์จับจิตใจ

ทุ่งรวงข้าวไหวช่อพอพระผ่าน
ทุกหมู่บ้านมณฑลตำบลไหน
แสงแห่งสงฆ์ส่องทางกลางเวไนย์
ส่องพระไตรฯ ปรมัตถธรรมสัจจา

ทุ่งแสงสงฆ์สามัญในวันนี้
งามหน้าที่อสังขตธรรมล้ำพรรษา
พ้นปรุงแต่งแห่งรอยอวิชชา
แท้ทุ่งแสงอภิญญาธรรมาพุทธ

-------------------------------------------
เทียนไขสีเหลืองอร่ามถูกจุดขึ้นท่ามกลางวัดป่าดงดอน
ก่อนอรุณกลางพรรษาหนึ่งในดินแดนแห่งพุทธะ...
ครั้งหนึ่งที่ข้าพเจ้าเคยเป็นพระภิกษุบวชใหม่
ในวัดป่าแห่งนั้น  ทุกๆ ยามเช้าใกล้อุษาวดี 
ตื่นขึ้นมาพร้อมเสียงนกกา และน้ำค้างทรงหยด  
พร้อมกลิ่นหอมแห่งสายหยุดมวลบุปผาไพร
ที่กุฎิของข้าพเจ้าตั้งอยู่ใต้ร่มสายหยุด
และหมู่มวลดอกพิกุล ก่อนที่จะสวดมนต์
และห่มจีวรออกบิณฑบาตรตามธรรมยาตรา

บรรยากาศในลานรุ่งแห่งนั้น
ส่งเสริมให้มีความสงบเย็นในจิต เสียงวิหคไพร
บึงและเสียงดนตรีธรรมชาติรับอรุณนั้น
เป็นสภาวะบริสุทธิ์แห่งธรรมชาติ
ส่งเสริมให้สติปัญญาข็งแกร่ง
ธรรมชาติเดิมแท้อันไม่ปรุงแต่ง 
เป็นความสงบ ว่าง ไม่มีบวก
ไม่มีลบ ไม่มีเกิด ไม่มีตาย เป็นอนัตตสภาวะ 
ป็นปรมัตถสัจจะ เป็นอสังขตธรรม 

เส้นทางบิณฑบาตรข้าพเจ้าผ่านทุ่งนา
อันเรียงรายด้วยข้าวรวงหมอกเหมย  สายน้ำ  
และดงตาลนา... เมื่อยามพระสงฆ์ห่มผ้าเหลือง
ต้องแสงแรกแห่งอรุณ ราวท้องทุ่งทั้งปวงต้องแสงสงฆ์ 
เหลืองงามอร่ามไปทั้งทุ่ง  
ประหวัดไปถึงอานุภาพแห่งพระธรรมที่อาบหล้า
เป็นแสงสว่างให้เหล่าเวไนยสัตว์ทั่วพื้นนพดล  

เพียรตระหนักดีว่า........
ชีวิตที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความสามัญ 
สงบงามและเรียบง่ายเข้าใจในความจริง
และความเป็นไปในกฎธรรมชาติ
แห่งกฎไตรลักษณ์นั้นเป็นชีวิตที่ศาสดาทรงสรรเสริญ
ด้วยเหตุที่เราหนีธรรมชาติไม่พ้นฉันใดก็ฉันนั้น......
				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟลำน้ำน่าน
Lovings  ลำน้ำน่าน เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟลำน้ำน่าน
Lovings  ลำน้ำน่าน เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟลำน้ำน่าน
Lovings  ลำน้ำน่าน เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงลำน้ำน่าน