30 มกราคม 2548 15:45 น.
ลำน้ำน่าน
เส้นทางไกลทอดยาวยามหนาวล่วง
กลางริ้วรวงข้าวหลงจากดงไสว
ตื่นมารับอมฤตรสหยาดหยดไพร
กลางกลิ่นอายแดดใหม่ในรุ่งราง
เป็นแดดอ่อนเหลืองอุ่นเคล้ากรุ่นหอม
พร้อมกลิ่นอายพะยอมยามฟ้าสาง
จากพลบค่ำบานพรายรายริมทาง
สู่ดื่นดึกอ้างว้างกลางคืนคราว
ได้ยินไหมเสียงเพรียกสำเหนียกนก
ยามโผผกคืนคอนตอนสิ้นหนาว
นอนละเมอสิ้นหวังกลางค่ำยาว
จนรุ่งเช้าแดดอ่อนย้อมเรือนรัง
จึงจรสู่เส้นทางระหว่างเนิน
มาเพลิดเพลินรวงข้าวหลงไร้กรงขัง
ที่ชูช่อล้อลมตรมตอซัง
จนระฆังดังแว่วจากแนววัด
แล้วแตกพรูหรู่ตรงสู่ดงโบสถ์
อันสันโดษเก่าคร่ำลำไผ่ดัด
เพียงเสียงสวดแว่วเปรยลมโบยพัด
สงบสงัดงดงามนิยามธรรม
ข้าวก้นบาตรจึงหว่านไหวลงในดิน
ต่างจิกกินเศษบุญอุ่นอิ่มหนำ
อิ่มพระพุทธอิ่มสุขทุกกลืนคำ
อิ่มลึกล้ำลำนำแผ่เมตตา
ทุกชีวิตสามัญของวันนี้
คือเสรีเส้นทางต่างค้นหา
เพื่อไปสู่อิสระแห่งวิญญาญ์
สู่ปรมัตถ์สัจจาพระนิพพาน
ชีวิตน้อยหมุนเวียนรอยเกวียนกง
ต่างจบลงกรงกลัดวัฏสงสาร
แม้นไม่พ่ายสิ่งใดในดงมาร
หากต้องแพ้สังขารอนิจจัง
เมื่อแดดใหม่ทอแสงสู่แหล่งหล้า
เถิดนกกาหากินอย่าสิ้นหวัง
หากทุกอย่างสิ้นไปไม่จีรัง
เพียงรับฟังธรรมะจากพระพุทธ
เห็นไหมนั่นเส้นทางกลางท้องนา
เมื่อบุปผาบานแต้มแย้มสายหยุด
คือวิถีอันงดงามความวิมุตติ
กลางประทุษสังคมนิยมเมือง
ความหมายใดจะยิ่งใหญ่ไปกว่านี้
ยามสะแบงบานคลี่ในฟ้าเหลือง
ประสานเสียงสกุณาฟ้ารองเรือง
สุขนองเนืองสถิตอยู่มิรู้ร้าง
เส้นทางไกลทอดยาวหนาวล่วงแล้ว
อาทิตย์แก้วทออาบทาบแดนสาง
ออกเดินสู่ทุ่งนาทองหมองหมอกพราง
ตราบสุดทางแสนไกลเวไนยนา
------------------------------------
สายลมหนาวแห่งเหมันต์เริ่มจรจางจากแผ่นดินถิ่นนาแล้ว
กาลฤดูยังคงหมุนเวียนและทำหน้าที่อย่างมิรู้เหน็ดเหนื่อย
พร้อมๆ กับต้นสะแบงหลวงต้นใหญ่เริ่มทิ้งใบลงลาเลือน
บ่งสัญญาญของสายลมแล้งกำลังจะมาเยือนในไม่ช้านี้
แม้นจะหนาวๆ อยู่บ้างในยามอุษาฟ้าสาง...
กลางวัดป่าดงดอนในท้องนาอุษาตำบลหนึ่งในแผ่นดินสยาม
ข้าพเจ้าดื่มด่ำกับความงดงามแห่งธรรมชาติ เสียงวิหคป่า และแดดใหม่
เพียรให้นึกไปถึงเส้นทางสายหนึ่ง ที่ทอดตัวสู่ท้องทุ่งทองของชาวนา
เป็นเส้นทางสายดอกพะยอมและสะแบงหลวง เส้นทางสายลอมฟืนตอซัง
ที่ข้าพเจ้าชอบนักชอบหนาในวีถีความงดงามสามัญเช่นนี้
หมู่มวลวิหคบินผกมาแต่รังนอน ทุกฉากภาพแปรไปตามวิถีธรรมชาติ
เสียงระฆังกังสดาลดังเหง่งหง่างมาจากวัดเก่าคร่ำ โบสถ์ทำด้วยไม้ไผ่นา
ข้าพเจ้าคิดว่าทุกเวทีชีวิตนี้มีเส้นทางที่ถูกลิขิตไว้แล้วจากพระพุทธ
เกิดขึ้นมา ดำรงชีวิตอยู่ แล้วก็มีมรณาเป็นที่สิ้นสุด
และคิดลึกเลยไปว่า ในหมู่นักปฏิบัติธรรมแล้วต่างตระหนักกันดีว่า
วัฏสงสารนี้น่ากลัวเพียงใด เขาเหล่านั้นจึงเพียรเดินไปสู่ความวิมุตติ
ตามทางที่พระบวรพุทธศาสดาได้แสดงไว้แล้ว...
ไม่ปรารถนาการเกิดในภูมิใดภูมิหนึ่งอีกต่อไป
เป็นการเดินทางไกลในเส้นทางสายท้าทาย ทว่าจุดหมายนั้นงามนัก
เริ่มย่างเข้าสู่ฤดูใหม่แล้ว วันเวลาไม่เคยหยุดนิ่ง
หวังให้ทุกดวงใจตระหนักในความไม่กลับคืนแห่งเวลา
และเพียรพยายามใช้เวลาให้คุ้มค่า มีสติ ปัญญา และระลึกรู้ถึงสัจจะชีวิต
มีชีวิตที่งดงามอยู่ทางกลางวงล้อมแห่งพุทธะธรรมทั้งปวง
24 มกราคม 2548 01:06 น.
ลำน้ำน่าน
เมื่อแสงไต้รอนแรมลับแผ่นหิน
สุริยนจะตกดินอยู่ไหวไหว
วิมานหนึ่งปรากฎกลางอกไพร
หลังม่านพรางสุราลัยในวนา
ในแสงอ่อนเลื่อมพรายทิพย์สถาน
คือวิมานโลกเสรีคลี่พฤกษา
จากเรือนยอดเสียดเสยเย้ยเมฆา
สู่ผืนดินรากป่าพนาราม
เมื่อน้ำค้างพรมโปรยโรยอรัญ
ปวงสุคันธ์พนาวาสหยาดสยาม
ก็อวลกลิ่นเกสรละอองนาม
ระเหยข้ามวนาลีราตรีแดน
ลอยไปสู่วิมานรุกขเทวา
สู่ทิพย์ทองธาราพระยาแถน
ในเอื้อมเงาปราสาทนิวาสแมน
กลางรำแพนยูงทองผองนางไม้
เหล่าเถาวัลย์พันเกี่ยวในเกลียวกิ่ง
ราวลูกปัดสะบิ้งสไบไหว
เมื่อลมอ่อนพัดโบกเข้าโตรกไพร
พร้อมหิ่งห้อยรำไรพเนจร
รุกขชาติมิ่งไม้คล้ายนิทรา
พนาวาน้อมจิตนิมิตหมอน
ก็ทอดกายอ่อนโยนตรงโคนคอน
เอื้ออาทรไม้ใหญ่ได้หลับตา
เริ่มราตรีรังสรรค์แห่งวังนั้น
ด้วยมนต์เพลงจั๊กจั่นลั่นพฤกษา
ระงมงามหรีดหริ่งพริ้งพนา
บรรเลงกล่อมเทวาพระสุรินทร์
ทุกรื่นรมย์ซ่อนตัวรอบรั้วป่า
กลางมณฑลภูผาปราการหิน
คือวิมานสุดท้าย ณ ปลายดิน
ให้เทวินทร์คุมผองลงครองตน
เพื่อสมดุลแห่งโลกจตุรทิศ
มานุษภูมิใช้ชีวิตตามเหตุผล
เชื้อชุมนุมรุกขเทวาสู่ป่าคน
ยกระดับวิญญาญชนสู่ปัญญา
อัศจรรย์วัลก์หนึ่งซึ่งสีหม่น
ในเผ่าพนปัจเจกเพศพฤกษา
ไม่เปลี่ยนแปลงเขตขันธ์พันธุ์วนา
แม้นราตรีล่วงฟ้าดารากลาย
ทิพย์ดนตรีบรรเลงเพลงจบแล้ว
น้ำค้างแก้วแนวป่าต้องพร่าสาย
ม่านพระอินทร์ทิ้งเถาว์ในเงาพราย
วิมานพฤกษ์ปิดตายทิวากาล
ปรากฎเสียงสะอื้นเมื่อคืนล่วง
วิมานลวงที่ไหนไหนได้ถูกผลาญ
สันนิบาตรุกขเทวาล้าบันดาล
เหลือเผ่าพันธุ์ติรัจฉาน...วิมานเมือง
-------------------------------------
ท่ามกลางสวนรุกขชาติป่าเขตร้อน
มีสวนป่าน่าอัศจรรย์
ที่ปรากฎพันธุ์ไม้งามหลายชนิดอยู่สวนหนึ่ง
กลางวิมานวนานั้น มีเสียงดนตรีธรรมชาติ
เสียงกบเขียดน้อย ระงมในยามย่ำค่ำ
ทั้งเถาวัลย์พันเกี่ยวก็ห้อยระยับย้า
หนึ่งในเถาวัลย์งามนั้นนาม *ม่านพระอินทร์*
เถาวัลย์ที่มีรากห้อย เป็นม่านสีม่วงไพร
เป็นม่านป่าพันธุ์หายากของไทย
ประหวัดไปถึงวิมานแห่งเหล่ารุกขเทวา
และพระสุเรนทร์ ที่มักจะท่องลงสู่โลกมนุษย์
ในยามที่ไม่ปรารถนาวิมานสวรรค์....
พุทธศาสนาสอนให้มนุษย์เคารพเทวดา
ด้วยเหตุที่เป็นภูมิที่มีกุศลกรรมอันบริสุทธิ์..
และลงมาเยือนวนาอยู่เป็นนิจ
อีกมิ่งไม้ใหญ่ไม้เล็กต่างดำรงอยู่ในโลกรื่นรมย์
สมดุลมาตั้งแต่โบราณ
น่าเสียดายนักที่วิมานวนาเหล่านี้ถูกทำลายลง
ด้วยความเจริญวัฒนาแห่งมนุษย์
วันหนึ่งเมื่อวิมานวนาในภูมิได้ถูกทำลายลง
คงจะเหลือแต่วิมานเมืองอันวุ่นวน
และวันนั้นความสุขสงบและความงดงาม
ตามธรรมชาติคงจะปิดตาย
แล้วเราจะดำรงอยู่ในโลกได้อย่างไรกัน
ด้วยเหตุที่ชีวิตเราต้องพึ่งพิงธรรมชาติ
จนกว่าจะคืนสู่ธรรมชาติเมื่อมรณามาเยือน
และเพราะว่า.......
ทุ่งนาป่าชัฏช้าอัญญิกาลัย
เทือกผาใหญ่เสียดดาวดึงส์สวรรค์
เนื้อเบื้อเสือช้างลิงค่างนั้น
มดแมลงนานาพันธุ์ทั้งจักรวาลฯ
เสมอเหมือนเพื่อนสนิทมิตรสหาย
เกิดร่วมสายเชี่ยววัฏฏะสังสาร
ชีพหาค่าบ่มิได้นับกาลนาน
หวานเสน่ห์ฟ้าหล้าดาราลัยฯ
ถึงใครเหาะเหินวิมุติสุดฝั่งฟ้า
เดือนดาริกาเป็นมรคายิ่งใหญ่
แต่เราขอรักโลกนี้เสมอไป
มอบใจแด่ปฐพีทุกชีวีวายฯ
(ปณิธานกวี อังคาร กัลยาณพงศ์)
16 มกราคม 2548 02:00 น.
ลำน้ำน่าน
ในความนิ่งเงียบงันของวันหนึ่ง
ความคำนึงเก่าก่อนจึงย้อนหวน
กลิ่นไม้ดอกบ้านนาน่ารัญจวน
มาอุ่นไอเคล้าอวลจิตวิญญาณ
ในหอมนั้นงดงามความเรียบง่าย
หอมสันติกำจายในแสงศานต์
เมื่อเสียงเพรียกแผ่วเบาเงาตำนาน
กระซิบผ่านบึงบัวทั่วท้องนา
เสียงกระซิบแผ่วเบาบอกเช้าใหม่
จากฟากฝั่งโพ้นไกลไพรพฤกษา
อยู่ในเสียงครวญคร่ำโกกิลา
ในน้ำค้างร้อยห่าที่พร่าพราย
อยู่ในความอบอุ่นแห่งลอมฟาง
อยู่ในเถียงนาร้างไร้จุดหมาย
กลางกองฟืนซีดเซียวอันเดียวดาย
อยู่ในกายในจิตนิดหนึ่งนี้
เพราะเสียงนั้นอัศจรรย์ในวันพระ
สื่อเสียงเพรียกพุทธะทุกวิถี
เมื่อวิหคเบิกบานม่านรพี
แล้วผกลาจากเวทีไม่จีรัง
เสียงเพรียกทุ่งรุ่งแล้วในแนวจิต
ปลุกชีวิตตื่นรับกับความหวัง
ในอุษาท้องนานี้มีพลัง
ด้วยบทเพลงประดังระฆังนา
เมื่อตอซังแห้งหอมย้อมลำแสง
จึงแสดงเกล็ดน้ำวาวเย้าวรรษา
สื่อสำเนียงเสียงเพรียกสำเหนียกนา
ว่ารอคอยฝนฟ้าหน้าฤดู
อีกเสียงหนึ่งแว่วซึ้งท้ายหมู่บ้าน
สู่ผืนงานไร่ข้าวแต่เช้าตรู่
กระดึงดิ่งพลิ้วไหวในเกลียวกรู
ยามวัวควายคุมหมู่สู่ดงตาล
ในเวทีธรรมชาตินิวาสดง
ใต้เผ่าพงศ์พุทธรรมนำสังขาร
เปิดฉากภาพด้วยชีวิตนิมิตงาน
แล้วดำดิ่งสู่นิพพานทุกกาลเยือน
ทุกสรรพเสียงชนบทคำรบไหน
ทุกตำบลพงไพรที่ใดเหมือน
แท้งดงามท่ามชะตาอันพร่าเลือน
รอวิถีอันบิดเบือนทุกเดือนปี
ศักราชหมุนอยู่ไม่รู้เหนื่อย
แต่เสียงเพรียกหน่ายเนือยเริ่มจรหนี
พร้อมกับการเหือดหายสายวารี
ชนบททุกวันนี้...ไม่มีแล้ว
-----------------------------
ข้าพเจ้าเปิดศักราชใหม่แห่งชีวิต
ด้วยการไปเยือนท้องทุ่งชนบท
แห่งอำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี
ดินแดนปทุมชาติ ทุ่งนาและหมอลำ
ที่เคยไปฝากรักฝากใจไว้ใน มนต์รักที่ราบสูง
คราวไปเยือนเมื่อปีกลาย
ในยามเช้าหนึ่งนั้น
ท่ามกลางเส้นทางสายหมอกพราง....
ข้าพเจ้าตื่นขึ้นมาในวันพระ
พร้อมรับฟังความบรรเจิดแห่งดนตรีท้องทุ่ง
แปลกที่ดนตรีนั้นกลับแผ่วเลือน
และแผ่วเบาลงทุกขณะๆ
ราวกับจิตวิญญาญของสรรพสิ่งที่นี้
กำลังจะหายไปเสียแล้ว
เทียนไขถูกจุดขึ้นในเถียงนาหลังน้อยกลางทุ่ง
ก่อนอุษาจะสะท้อนแสง
หยิบหนังสือเล่มงาม จากแรงมาเป็นรวง
มาเปิดอ่านบทกวีวิถีชาวนา
บทกวีกล่าวถึงความพินาศและสิ้นไป
แห่งวิถีชาวนาและชนบท
บทกวีกล่าวถึงการสูญเสียทางจิตวิญญาณ
ให้กับกระแสวัฒนา.....
ข้าพเจ้าหลั่งน้ำตาเงียบๆ
อธิษฐานเพียงเสียงเพรียกอันแผ่วเบา
ของดุเหว่านา และโกกิลาใกล้รุ่ง
และหวังให้ธรรมชาติอันบริสุทธิ์แห่งนี้
ได้กลับมาสู่แผ่นดินที่ราบสูงนี้อีกครั้ง
เป็นพลังให้ผู้คนที่วารินฯ
ได้ใช้ชีวิตอยู่ตามกลางธรรมชาติสามัญต่อไป
1 ธันวาคม 2547 23:58 น.
ลำน้ำน่าน
ชนบทแสนงามความทรงจำ
หลังฤดูหว่านดำคร่ำคราดไถ
คือเส้นทางผู้คนตำบลไกล
ผู้อุทิศดวงใจให้ผืนนา
สืบชีวิตสามัญวันวัยรุ่ง
เจิมจรุงยามเช้าหนาวพฤกษา
หยาดน้ำค้างพร่างพร้อยย้อยคบคา
หยดลงมาเย็นสงบกระทบใจ
หอมมิหน่ายอายดินกระถินป่า
ลอยลมมาปรุงทุ่งคุ้งไสว
หอมข้าวปลาไอละอองท้องถิ่นไท
มิลำบากยากไร้จนพ่ายพัง
กระจาบทุ่งจากจรขอนคบเก่า
ทิ้งลูกเต้าเกิดใหม่ไว้เบื้องหลัง
โผไปเป็นนกหลวงลืมรวงรัง
ลืมเสียงสั่งฟางหอมกระท่อมทับ
ดนตรีไพรวงเก่าร้าวบรรเลง
เป็นบทเพลงเรียกนกโผผกกลับ
แดดอบอุ่นบอบบางสว่างวับ
ฟ้าระยับทอทองในคลองตา
รอสิบห้าขึ้นค่ำวันพระพุทธ
เทียนทองจุดจันทร์กระจ่างกลางพรรษา
สิ้นคืนหนาวนานนิจอวิชชา
ตื่นมาหุงข้าวปลาหาทำกิน
ข้าวแก่นจันทร์หุงหอมพร้อมใส่บาตร
จิตสะอาดธรรมชาตินิวาสศิลป์
บุญมณฑลรวงข้าวแหละดาวดิน
เลี้ยงชีวินมวลมนุษย์ทุกยุคไป
ผ้าซิ่นสวยผืนใดให้หนาวคลาย
เท่าผ้าผวยพรรลายฝ้ายทอใหม่
ทอด้วยหยาดเหงื่ออุ่นละมุนละไม
ยามสาวนาซับไหล่ในรุ่งนี้
อีกไม่นานทุ่งทางสว่างแจ้ง
ปิ่นโตแกงห่อข้าวดาวเรืองสี
จักถวายสงฆ์แสดงแหล่งความดี
กลางวารีเรือล่องคลองบัวบาง
ชนบทปลุกตื่นคืนสมดุล
ปลุกมาหมุนวิถีทุ่งเมื่อรุ่งสาง
ปลุกชีวิตชีพจรอันอ่อนบาง
ผู้หลงหลับเลยร้างหนทางไทย
แว่วไก่แก้วขันรับหรีดหริ่งพฤกษ์
จากดื่นดึกรุ่งแล้วแนวพงไผ่
กังสดาลหวานหวังวังเวงไป
กล่อมชีวาป่าไพรให้งดงาม
ชนบทบึงบางกลางพรรษา
ทุกทิวาราตรีนี้ไต่ถาม
ทุกเหมันต์แอกไถไร่นาทาม
คือนิยามแสนสามัญตราบวันนี้
--------------------------------
ทุกฤดูกาลชีวิตที่ว่ายเวียนอยู่มิรู้เหน็ดเหนื่อย
หลังฤดูเก็บเกี่ยวรวงข้าว ตะแบกแหละคูนพากันบานพราว
ให้แสนจะคิดถึงชนบทที่เคยพาใจไปพัก
กับบึงบัวบานสะพรั่งและกองฟืนลอมฟางซีดเซียว
สะแบงหลวงต้นใหญ่ทิ้งใบลงลาเลือนยามอาทิตย์อัสดง
ท่ามยากไร้และแล้งแห่งคิมหันต์ ธรรมชาติเปลี่ยนสี
หากสุดแสนจะงดงามยินดีในความรู้สึกสามัญ...
และดำรงไว้ซึ่งคุณค่าแห่งธรรมที่ไม่ปรุงแต่ง
แหละในวันนี้ที่พบว่า...
ท้องถิ่นชนบทกำลังรอให้จิตวิญญาณที่แสนจะอ่อนล้า
ได้ชุบชื่นและมีพลังหวังอีกครั้ง แค่เปิดใจให้เห็นงาม
ลำน้ำน่าน บุรุษแห่งสายน้ำนิรันรด์
กับวันที่ชนบทเรียกหา 6 เมษายน 2552
14 พฤศจิกายน 2547 01:54 น.
ลำน้ำน่าน
พอสิ้นสายสร้อยฝนพรมทุ่งท่า
ลมเหมันต์หลั่นฟ้ามาอีกหน
ห่มท้องทุ่งสีทองของคนจน
เจิมตำบลข้าวนาก่อนลารวง
ป่าวเพลงเกี่ยวโห่ร้องจึงก้องไป
สู่ทิวตึกศิวิไลซ์ในเมืองหลวง
บอกข่าวนาไม้ดอกออกพุ่มพวง
ว่าตะแบกหม่นม่วงจะร่วงลา
เรียกหนุ่มสาวชาวทุ่งมุ่งกลับถิ่น
สู่แผ่นดินเถียงนาน้อยคล้อยพรรษา
คืนมาเกี่ยวรวงทองของท้องนา
คืนมาสู่วิญญาญ์ชาวป่าพฤกษ์
สู่วิมานฟางข้าวเมื่อหนาวเยือน
ฟังพ่อแม่สอนเตือนจนเดือนดึก
ตราบน้ำค้างหยดยวงในห้วงนึก
ร่วมรำลึกเพลงเกี้ยวเกี่ยวอุรา
แหล่ะเมื่อคลายวังเวงบทเพลงไพร
ครวญหรีดหริ่งเรไรใกล้อุษา
กล่อมอรุณเสียงโนรีสาลิกา
ยามฝั่งฟ้าแสงทองเรืองรองรับ
แม่ดอกกระถินริมรั้วทั่วท้องทุ่ง
บานจรุงอีกคราวเกล็ดหนาวจับ
ไกลออกไปโพ้นคุ้งรุ่งระยับ
ปวงไก่ป่าแซ่ศัพท์เสียงลับลอย
ข้าวอ่อนโยนโอนช่อพ้อหมอกหนาว
ระบัดโศกทิ้งเศร้าร้าวร่วงผล็อย
โน้มรวงรอคล้องเกี่ยวคมเคียวคอย
จากมือน้อยสาวบ้านนามิช้านาน
หน้าเกี่ยวข้าวอกหนุ่มก็รุ่มร้อน
เมื่อกระโดนแดงดอนซ้อนสีหวาน
บานสาดทุ่งหนุ่มคอยรอยกันดาร
กลัวโรยลาญลิ่วลับไปกับลม
ดอกโสนรอแย้มแต้มมนต์รัก
พยานภักดิ์สองใจได้สุขสม
เพลงสงฟางกลางนายังน่าชม
เคียวลับคมเหน็บฝาสัญญาไว้
ท้องทุ่งเหลืองอร่ามแล้วแก้วกานดา
เสียงนกร้องเตือนว่าอย่าหวั่นไหว
น้ำในคลองลงตลิ่งนิ่งรำไร
กลัวน้ำใจเหือดแห้งแล้งหน้านาง
ข้าวรอยุ้งของน้องก็อ้อนโหย
กลัวร่วงโรยไร้ใครเกี่ยวใส่ฉาง
จะเรี่ยรายหล่นดินสิ้นหนทาง
หากไร้คู่เคียงข้างช่วยงานนา
ช่อรวงทองเหลืองสุกทุกท้องทุ่ง
เถิดหมายมุ่งคืนถิ่นทิ้งยศฐา
พี่ลับเคียวรอรับกับน้ำตา
รอสาวนาคืนมาเกี้ยวเกี่ยวรวงโอนฯ
-----------------------------
มนต์เสน่ห์แห่งบ้านนานั้นงดงามเป็นอมตะ
ฤดูเก็บเกี่ยวก่อตำนานรักระหว่างสาวหนุ่มบ้านนา
เมื่อเพลงเกี่ยวข้าวดังขึ้น บทเพลงแห่งท้องทุ่งก็เริ่มบรรเลง
หลังจากที่จากบ้านนาหลังฤดูปักดำเสร็จ ข้าวก็แตกกอรอรวง
จนกระทั่งบัดนี้ ข้าวในนาเหลืองสุกอร่ามทาบทาไปทั้งทุ่งแล้ว
หนุ่มสาวชาวนาที่ทิ้งถิ่นไปทำมาหากินในเมืองหลวง
ก็ได้เวลากลับมาจับเคียวเกี่ยวรวงโอน ความรักในฤดูนี้ก็งอกงาม
ด้วยหนุ่มสาวมีโอกาสใกล้ชิดกันในงานนา
ผู้คนมากมายที่กินข้าวเลี้ยงชีวิตอยุ่ทุกเมื่อเชื่อวันในโลกนี้
น่าเสียดายที่บางคนไม่มีโอกาสซาบซึ้งกับความงดงามเบื้องหลังเมล็ดข้าว
ตำนานความลำบาก การเสียสละ ตำนานแห่งกระดูกสันหลังของชาติ
และที่สำคัญตำนานแห่งความรักอมตะท่ามกลางความยากไร้
แต่ทว่างดงามงามและงอกเงยขึ้นด้วยความสามัญและความรักเที่ยงแท้
เฉกเช่นนวนิยายอมตะ อย่าง *ขวัญเรียม* หรือ *มนต์รักลูกทุ่ง*
ที่ได้รับการกล่าวขวัญอย่างไม่มีวันตายไปกับกระแสวัฒนา
หากกำลังท้อใจ ลองใช้เวลาว่างออกไปมองท้องทุ่ง มองวิถีชีวิตชนบท
ออกไปมองธรรมชาติรายรอบตัวที่หนีออกไปจากกรงกรุง
บางที่เราอาจจะพบทางออกและคำตอบบางอย่างให้กับชีวิต
พบความสุขในมิติใหม่ที่หาไม่ได้ในเมืองหลวง
มิติที่เรียบง่าย สามัญ และงดงามตามธรรมชาติของทุกสรรพสิ่ง
แล้วโน้มความสุขที่ได้นั้นมาเป็นกำลังใจในยามที่ท้อแท้
ด้วยคิดว่า โลกนี้ยังมีธรรมชาติที่มีค่าคู่ควรแก่การดำรงอยู่
เยี่ยงผู้ให้และผู้รับ เป็นความรักที่บริสุทธิ์และยั่งยืนนิรันดร์