2 กรกฎาคม 2548 18:32 น.
ลำน้ำน่าน
น้อมอารมณ์ดุจพรหมมาเนรมิต
ภาวนาเจิมจิตอธิษฐาน
บริกรรมจากปฐมบรมฌาน
ตราบรุ่งลานละวางสว่างไสว
สาลิกากล่อมป่าพณาสณฑ์
เหล่าอุบลชุบชื่นจิตตื่นใหม่
หอมวิเวกอุ่นอ่องละอองไพร
คลายครรไลลับว่างอยู่วังเวง
ทิ้งเกียรติศักดิ์จบไว้ใจกลางเมือง
สารพัดราวเรื่องร้าวข่มเหง
จิตรกเรื้อกิเลสรัดเส็งเคร็ง
นำบรรเลงคีย์ชีวิตผิดทำนอง
สู่วิมานใบไม้บรรณศาลา
มณฑลรุกขเทวาพฤกษาสนอง
กลางกลิ่นกรุ่นเสาวคันธ์วิรังรอง
ฟังแซร่ซ้องสกุณีตราบตรีกาล
อโณทัยจะแย้มแต้มลานโลก
อุษาโยคทินกรซ้อนแสงศานต์
โกกิลาครวญเสียงจำเรียงกาล
จิตฟุ้งซ่านกลับสงบภพอุรุ
เงียบสงัดเพียงครู่ก่อนกรูเกรียว
ในเถาวัลย์พันเกี่ยวเรียวไผ่ผุ
ดุเหว่าแว่วกระจาบจรอ้อนวายุ
เกลือกวาริพินทุน้ำดอกไม้
อิ่มอุดมสมบูรณ์เกื้อกูลผอง
วังวัฏฏะครรลองของป่าใหญ่
ปรมัตถ์สัจจาสารัตถะใจ
อสังขตธรรมอำไพไร้ปรุงแปลง
เมื่อแดดสายพรายยิ้มปริ่มผิวน้ำ
เรงเร้าพนารามอย่าย่ามแสง
เงาไม่เที่ยงหดตรงรงค์จำแลง
มิอาจแข่งไตรลักษณ์กฏจักรกาล
รอนสายัณห์ผันแปรแท้เหนื่อยนัก
หยุดพักริมฝั่งฟ้าอวสาน
เอกอุบัติเคล้าคลอมรณานต์
ผ่องผิวธารส่องสรวงยวงเมฆสลาย
จิรกาลสัทธรรมอันล้ำลึก
ตกผลึกเงียบว่างกระจ่างหมาย
ไม่มีบวกมิมีลบไม่มีตาย
ยังกระแสวาวผกายนฤพาน
วิศววนาลัยไพรพลันพลบ
ราตรีสงบพบอรูปกรรมฐาน
เนวสัญญานาสัญญายตนฌาน
วิเศษซ่านพรหมนิมิตจิตประพุทธ์
มิอาจกลับไปเกี่ยวเกียรติศักดิ์
ดับไฟรักโลภโกรธหลงปลงจุด
เพียรไปสู่ศิวโมกข์โลกวิมุตติ
สิ้นสุดวัฏฏะพบพระนิรพาณ
------------------------------
วันเวลาแห่งชีวิตมนุษย์นั้นสั้นลงทุกขณะ
มิเว้นแม้เวลาแห่งชีวิตผู้รจนาธรรมกวีอย่างเราๆ ท่านๆ
ดังพระมิ่งมงกุฏพระประทีปแก้วตรัสไว้ว่า
มรณะมีอยู่คู่ลมหายใจเข้าออก
ภาพพระผู้แสวงหาวิมุตตินั่งบำเพ็ญเพียรภาวนา
ซึ่งเหน็ดเหนื่อยจาริกรอนแรมมาจากชนบทแสนไกล
มาภาวนาอยู่กลางธรรมชาติวิสุทธิ์ เพิงผา และม่านไทร
ส่งเสริมให้เวไนยนิกรชนบทคามนิคม บังเกิดความศรัทธา
หันหัวเรือชีวิตบ่ายหน้าสู่ธารพระธรรมกันจำนวนมาก
เหมือนพุทธวนจะที่ว่า *ดั่งพระมาลัยมาโปรด*
พยายามมีชีวิตงดงามอยู่ท่ามกลางความเสื่อมสลายทุนนิยม
พระท่านเพียรปิดอบาย แล้วยังดวงจิตให้จุติ ณ อรูปาวจรภูมิ
หรือ พรหมไม่มีรูป ซึ่งอาจแน่ใจได้ว่า กุศลกรรมอันอุกฤษ์นี้
จักไม่ชักนำไปบังเกิดในทุคติภูมิ ไม่ว่าในชาติหน้าหรือชาติไหน
ยังแต่จะบ่ายหน้าไปสู่ปรินิพพาน
อานิสงค์อันใดอันพึงมีจากการรจนาธรรมของข้าพเจ้านี้
ที่ยังจิตผู้อ่านให้สุขใจยามสดับกวีได้แม้เพียงเสี้ยววินาทีเดียว
ขออธิษฐานจิตให้บังเกิดกุศลแก่บิดามารดาและตัวข้าพเจ้า
พี่น้องร่วมท้องญาติสนิทมิตรสหายทางโลกและทางจิตวิญญาณ
และเวไนยนิกรทุกผู้ทุกนาม
-----------------------------------------------
***เนวสัญญานาสัญญายตนฌาน***
คือ อรูปฌานชั้นสูงสุดที่ชักนำผู้สำเร็จไปจุติ ณ อรูปาวจรภูมิ
บนพรหมโลกชั้นสูงสุด
ลำน้ำน่าน บุรุษแห่งสายน้ำนิรันดร์
วันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๖
1 มิถุนายน 2548 00:16 น.
ลำน้ำน่าน
โรยละอองน้ำทิพย์วะวิบวาว
จับเมฆขาวครืนครืนบนฝืนฟ้า
เหนื่อยไหมพระพิรุณบุญเทวา
เฝ้าชุบชีวาทุ่งกร้านละหานไพร
ปรารถนาอะไรในโลกเล่า
ทุกข์เรงเร้าทุ่งหมองคลองสมัย
ผีพรายน้ำร้อนกายร่ายอาลัย
เงือกคระไลปลาตายสาหร่ายสุสาน
เติมมิเต็มสายธารทอดผ่านเมือง
อย่าขุ่นเคืองรามสูรขว้างขวาน
เมขลาหลับไหลอนันตกาล
ปิดตำนานล่อแก้วแววแสงทิพย์
งามเกล็ดน้ำพรายทองยองยวงเมฆ
สรวงเสกการะเวกฟ้าบินมาจิบ
หยาดน้ำพราวขนสร้อยพลอยระยิบ
เกาะขลิบปีกทับทิมสู่หิมพานต์
สลัดฝนโอยธาตุน้ำรุกขเทวา
อ้อมฟ้าห่มดินถิ่นไพศาล
ปรารถนาอโนดาตชาติตระการ
เริงวิมานกินรีศรีมนุษย์
รัตนากรมหาธาราแผ่นดิน
แต้มศิลป์แต่งหล้าคงคาสมุทร
เสกทิพย์ขลังประพรมน้ำมนต์พุทธ
วิเศษสุทธิ์ปราบอเวจีผีพราย
น้ำท้นตาชาวนายากจน
รดดอกผลกสิกรรมล้ำหลาย
ชโลมแล้งแห้งผากจากวาย
ชลชาติแหวกว่ายปิติน้ำตา
สูงศักดิ์น้ำอมฤตนิมิตมนตร์
เทวาวนกวนเกษียรเวียนเวหา
แก่นสุเมรุอสูรยุดสมุทรนาคา
อสัญแดหวาชนะอสุรี
น้ำมะพร้าวล้างหน้าอสุภซาก
ฟื้นฝากธรรมเนียมเยี่ยมเมืองผี
น้ำอาบศพสงบพบดุษณี
ไหลรี่ธารน้ำตามหาญาติ
ปรารถนาสายน้ำสนานสมัย
โบกธงชัยยุคทองผองนักปราชญ์
สิ้นอโศกกำสรวลโซ่ตรวนทาส
อเนจอนาจน้ำเลือดเหือดคาตา
ชีวิตอิ่มธาตุมนุษย์บุตรเรืองรอง
มิเคยพร่องน้ำนมแม่ไร้ริษยา
เมืองน้ำเงินน้ำเน่าเปล่าราคา
ขุ่นข้นกว่าน้ำมันพรายจากโลกันตร์
ปรารถนาอะไรสมัยนี้
สายวารีธารทองละอองสวรรค์
หรือสายเลือดธารโศกโลกจาบัลย์
ไหลดิ้นดั้นพรากฆ่าอารยชน
ฤามิปรารถนาพระนิพพาน
น้ำทิพย์อภิญญาณมรรคผล
ฤาน้ำกามกิเลสจับสัปดน
อุทกท้นธารากามานคร
ฉันปรารถนาคงคาสวรรค์
โบกขรณีเทพธรรพ์ปัญจสิขร
ธาราธรรมรองเรืองกว่าเมืองรอน
ล่องเรือจรข้ามฟ้าปราการนที
สู่สายน้ำนิรันดร์สวรรค์ทิพย์
เอื้อมหยิบปาริชาตดาษวิถี
จุติพรหมโลกกวินสตินทรีย์
นิมิตทิพย์วารีชโลมแผ่นดินฯ
-----------------------------------
พระพิรุณแห่งวสันตฤดูลาฟ้าไปไม่นานนัก
พลบค่ำแล้ว หากข้าพเจ้ายังได้กลิ่นกรุ่นละอองเย็นแห่งฝน
จิตวิญญาณของนักอยากจะเขียนมักจะบรรเจิดในสายฝนพรำ
ท่ามกลางม่านฝนและม่านฟ้าไกลแสนไกล
ทำให้ประหวัดไปในอดีต ที่ติดฝนอยู่ในกระท่อมเถียงนา
เมื่อลมฝนบนฟ้ามาลิ่ว.......
ในยามที่ทุ่งข้าวอาบฝน ระบัดใบพลิ้วไหวในตำบลท้องทุ่ง
ชาวนาก็ยิ้มได้ นึกขอบคุณเทพพิรุณบนสวรรค์
สายฝนก่อเกิดสายธารน้ำ หล่อเลี้ยงผืนแผ่นดินและผู้คน
สายน้ำในวันนี้นั้นมีความหมายนิรันดร์
เป็นตัวแทนแห่งความสงบร่มเย็น อารยธรรม ความดีงามทั้งปวง
แต่อีกแง่มุมหนึ่งก็เป็นสายน้ำที่ระทมทุกข์เพราะโลกแปร
จิตวิญญาณของผู้คนก็เปลี่ยนไป ดีเลวคละเคล้ากันเป็นครรลอง
แล้วสายน้ำสายใดเล่าจักนำเราไปสู่ความหมายนิรันดร์แห่งฝั่งนิพพาน
และนำความดีงามและความอุดมสมบูรณ์สู่ผืนแผ่นดิน?
สู่สายน้ำนิรันดร์สวรรค์ทิพย์
เอื้อมหยิบปาริชาตดาษวิถี
จุติพรหมโลกกวินสตินทรีย์
นิมิตทิพย์วารีชโลมแผ่นดินฯ
.....(๑) แว่วตะโพนแผ่วพ้น.........เพลบุญ
โพ้นวรรษาราพิกุล.....................เกี่ยวข้าว
พระปรางค์วัดอรุณ.....................ระยอด ทรงแฮ
บุญสยามค่ำเช้า.........................ชาติฟื้นเกษตรศานต์ฯ
.....(๒) เงาเมรุเงาวัดเวิ้ง.............วิหาร
พุทธะหลั่งวิญญาณ......................หยาดไว้
ชะรอยพุทธเพรงกาล..................มาล่ม ลงนา
ธารพระธรรมผากไร้...................ร่อยร้างวิญญูขวัญฯ
.....(๓) ปรารถนาภาพลึกล้ำ..........ละเลงบุญ
เกร็ดทิพย์ลิบละมุน......................ม่านน้ำ
อารยธรรมค้ำจุน.........................จวบค่ำ
เจ้าพระยาพาล่องข้าม...................ขอบฟ้ามหานทีฯ
.....(๔) ทอดสะพานล่องข้าม..........แขนงชล
ระยับหมอกดอกอุบล....................เบ่งใต้
บัวเรียมระเมียรยล......................หยั่งย่าน น้ำแล
บัวสี่เหล่าเนาไซร้.........................สร่างสิ้นธรรมสรรค์ฯ
.....(๕) พรายน้ำวาววับน้ำ.............นองพระยา
เงาโบสถ์คร่ำลำนาวา.....................ลิ่วลื้น
ไหลลอยล่องชีวิตมา........................มาดมุ่ง เมืองแล
ครืนคลื่นวายไร้ฟื้น........................ฝากน้ำซากสลายฯ
18 พฤษภาคม 2548 14:21 น.
ลำน้ำน่าน
โคลงสี่สุภาพ
............ เจียระไนก่องแก้ว............เก็จสยาม
ปลุกเปล่งระเบงนาม......................นทฟ้า
สยามศิลป์บ่มลายคราม..................ขจรรุ่ง เรืองแฮ
เกียรติศักดิ์รัตน์ท้า........................ทบท้นอวสานฯ
............นพรัตน์แก่นเก้า................เกลียวทอง
ค่ามั่นควรครรลอง...........................รากเหง้า
อธิจิตลุปอง......................................พบเพชร กุศลนา
นำเหนี่ยวภพอะคร้าว......................รัดร้อยส่งสวรรค์ฯ
..............เจียระไนแว่นแคว้น..........นาคร
ยกย่องรัตน์บวร................................เก็จเก้า
ยอยศเพชรอาภรณ์.......................... พู่แต่ง ชนแฮ
ประดับเกียรติโคตรเหง้า...................เร่งเร้าชัยฉลองฯ
กาพย์ยานี ๑๑
.......... เจียระไนสยาม.....................สมบัติงามรัตน์บุรี
ก่อเกียรติโคตรราศี..........................อัญมณีวิจิตรา
.......... ประกายเพชรไพฑูรย์............ทิพย์จำรูญจรัสตา
เกียรติศักดิ์จักอยู่ท้า..........................ตราบสิ้นโลกนิรันดร์กาล
.......... เจียระไนไขธาตุต้น...............รัตนะลนบนเพลิงพาล
ห่อนเหี้ยนเพียรล้างผลาญ.................แกร่งตำนานเพชรมาณพ
.............เจียระไนเนาวรัตน์.............ค่าพิพัฒน์แดนสงบ
สยามพิรามรพ...................................ชั่วสยบทิพย์อาภรณ์
.............ประดับเกียรติบุปผา.............ระดาษฟ้าประภัสสร
เหง้าเพชรเก็จบวร............................เลื่อมรอนรอนฉลองชัย
กลอนสุภาพ
เจียระไนธาตุแผ่นดินศิลปะ
อารยะโบราณผ่านสมัย
สารัตถะประโยชน์โคตรเหง้าไทย
ก่อกำเนิดวันวัยอารยชน
สืบจากศูนย์เป็นหนึ่งถึงล้านแปด
ตากธาตุแดดจันทร์ดาวหนาวธาตุฝน
บ่มวิญญาณแผ่นดินวิญญูสกนธ์
ดอกผลอารยธรรมล้ำถิ่นทอง
บรรพชนใจเพชรจิตเด็ดเดี่ยว
เข้าขับเคี่ยวศึกรบศพสยอง
สุโขทัยอโยธยาเลือดตานอง
พลีปกป้องกรุงศรีมิแหลกลาญ
สีแดงดาษลิ่มเลือดปู่เชือดหลั่ง
ไหลลงคั่งปฐวีศรีวิศาล
เชือดด้วยดาบศัตรูผู้รุกราน
บ่มไฟกาลแปรทัศน์สู่รัตมณี
มรกตเขียวใบไม้พรายกิ่งทอง
คือครรลองพืชป่าพนาสี
แก้วมรกตปฏิมาวิลาสินี
คู่ปฐพีปัจเจกเอกอาราม
เมื่ออรุณเรืองรองส่องเจิมหล้า
ทอทิวนารวงทองครองสยาม
สุกสีเหลืองธัญชาติดื่นดาษนาม
ดั่งพลอยงามบุษราคัมร่ำมนต์รัก
สยามภูมิภาคจากเหนือใต้
ถักทอสายสัมพันธ์อัศจรรย์นัก
แดงโกเมทเดชไมตรีศรีจำหลัก
เอกลักษณ์จตุรทิศสถิตเดียว
อันดามันหมอกนทีคลี่เสน่ห์
ฝากจุมพิตทะเลสีครามเขียว
ห่มอ้อมหาดทรายทองละอองเพรียว
ครวญคลื่นเกรียวเกาะแก่งแหล่งมุกดา
อาบผืนน้ำพลบนั้นวัยวันสิ้น
รอนระรินสายัณห์ย่ำเคหา
ก่ำเพทายสลายแสงสนธยา
นวลนิศาสลัวจรโรยอ้อนรับ
แว่วหนึ่งนั้นยินเสียงจำเรียงมนต์
เวิ้งมณฑลหีนยานวิหารหับ
เทียนทอส่องพักตร์พุทธวิสุทธิ์วับ
สะท้อนจับพัสตร์สงฆ์รงค์ไพฑูรย์
ใต้ร่มฉัตรนพแสงแห่งสยาม
ราชนามวงศ์มณีตรีแสงสูรย์
ปลั่งชูเกียรติเผ่าไทยไท้จำรูญ
ลบอาดูรนิลดำระกำกา
เนาวรัตน์เลอค่ารัตนชาติ
ใช่เกลื่อนกลาดเก็บได้กลางทรายผา
แท้หัวใจแผ่นดินศิลป์เวลา
เฉกสมบัติเลอฟ้าอารยธรรม
เจียระไนเพชรอนันต์ศันสนีย์
ลบราคีฝูงชนปนสัตว์ส่ำ
ร่ายกวีคล้องคลอพ้อลำนำ
เพื่อตอกย้ำปึกชาติอย่าขลาดเกรง
มิกลัวมารช่วงชิงไปทิ้งเหยียบ
ทุรชนฤาอาจเทียบมาข่มเหง
เว้นหน่อเชื้อฆ่าฟันหั่นชาติเอง
จักเร้าเร่งหายนะมาครองเมือง
--------------------------
นพรัตน์ คือ แก้วเก้าประการจากธรรมชาติที่มนุษยชาติยกย่องแย่งชิง
เพชร ทับทิม มรกต บุษราคัม เพทาย ไพฑูรย์ มุกดา โกเมท นิล
สยามนพรัตน์ ดินแดนผองเราจึงอุปมาเหมือนสิ่งล้ำค่าหาได้ยากยิ่ง
จากบรรพชน สงคราม ทรัพยากรธรรมชาติ สู่อารยธรรมร่วมสมัย..
มีความเด็ดดวงอ่อนหวานและอ่อนโยนอยู่ในจิตวิญญาณ
ทั้งปวงนี้คืออัญมณีสยาม คือ นพรัตน์แห่งแดนแหลมทอง
ที่ชนชาติตะวันตกตะลึงและยกย่องในความเป็นเอเชีย
ในมุมมืดสยามวันนี้ เรามิกลัวทุรชนผองอื่นใดมาเหยียบย่ำทำลาย
หากแต่กลัวเชื้อชาติทลายด้วยน้ำมือไทยด้วยกันเอง
เขียนบทกวีแทนใจพี่น้องไทยทั้งหลายผู้โศกเศร้า อาดูร
จากการกระทำของผู้อกตัญญูแผ่นดิน จุดไฟบรรลัยกัลป์
อารยชนคนดีต้องพลีวิญญาณปกป้อง
25 เมษายน 2548 01:47 น.
ลำน้ำน่าน
คีตกะขานรับสรรพเสียง
เปล่งสำเนียงลมใจไพรบุปผา
เรงเร้าแสงสีทองให้ส่องมา
ปลุกดุเหว่าวัยชราสาธุชน
รับอรุณพุทธะดฤถี
ดุษณีไตรรัตน์นิพัทธกุศล
ธรรมธรศีลมัยไร้จินต์จล
พุทธมณฑลสงบงามยามรุ่งนี้
ดอกมะลิข้าวจ้าวหนาวค่อนคืน
สุคนธ์อื่นบ่เทียมเรียมรวงศรี
หอมข้าวใหม่ไอนึ่งซึ่งฤดี
อุ่นไมตรีอรุณฤกษ์แย้มเบิกฟ้า
อุโบสถโพ้นพรรษาจันทราล่วง
กลางไตรวัฏบาศบ่วงเสน่หา
เวไนยชาติดาษดื่นผืนพารา
ยึดเอกธรรมปฏิมาคุณากร
โหม่งตะโพนกังสดาลจากย่านวัด
ยังสงัดให้คลายคล้ายเสียงสอน
ฝูงวิหคแตกพรูสู่ดงดอน
จากคบขอนเดียวดายปลายทิวตาล
จัดสำรับเตรียมข้าวก่อนดาวเลื่อน
เด็ดบัวเผื่อนพับจีบกลีบผสาน
ถวายสงฆ์เอกบุรุษพุทธทาน
อภิบาลศาสนาสรณตรัย
พลีศรัทธาสืบทอดยอดพระธรรม
ด้วยเสียงสวดมนต์ร่ำเจิมสมัย
กำแพงแก้วคุ้มเหตุปวงเภทภัย
แว่วรำไรโชยคว้างพร่างธูปควัน
พุทธสาวกเดินผินบิณฑบาต
น้ำค้างทรงหยดหยาดดาษสวรรค์
ทั้งไตรทิพย์เทวาอภิวันท์
พรหมจรรย์ผืนผ้ากาสาวาพัสตร์
จบขันข้าวตั้งจิตอธิษฐาน
ไตรทวารน้อมนพสงบสงัด
รัศมีธรรมภพนพรัตน์
ดั่งมนต์ขลังธรรมสัจทรรศนีย์
ฤาแสงไต้ฤกษ์ฟ้าวนาสวรรค์
ร่วมเสกสรรค์จาตุรนต์รัศมี
สว่างวาบอาบสัตว์ทั้งภพตรี
ดุษฏีศรีไตรสรณคมน์
จวักแรกข้าวตักพักลงบาตร
จิตสะอาดศรัทธาถาถั่งถม
ดั่งบัวบานเหนือนทีหนีหล่มตม
ตื่นจากหลงโง่งมอวิชชา
จวักสองครองจิตพิศพระธรรม
ประกาศย้ำพระธาตุศาสนา
รู้พระไตรฯ ชินสีห์อภิญญา
เอกธาดาอริยะพุทธเจ้า
จวักสามนิยามนามมรรคผล
เบิกบานตนบนทางพร่างสีขาว
เดินทางไกลในวัฏฏะอันยืดยาว
สุขอะคร้าวเหนือใจธไนศวรรย์
คีตกะบรรเลงเพลงสันโดษ
กล่อมอุโฆษกล่อมแคว้นแถนรังสรรค์
สัตว์ไตรจักรนฤทุกข์สุขวัยวัน
เพราะยึดมั่นในไตรสรณคมน์
------------------------------
คืนนี้พระจันทร์กำลังทอแสงอวดนวลระยิบเต็มดวง
ชวนให้นึกถึงคืนวันพระจันทร์งามในอดีต
และเงางามแห่งการเวียนเทียนในวัดเก่าโบสถ์คร่ำ
รุ่งเช้าที่ข้าพเจ้าตื่นขึ้นมาใส่บาตรพร้อมกับลำนำน้ำค้างทรงหยด
ชวนนึกไปถึงฉากภาพหนึ่งของนักเขียนในดวงใจ *ทมยันตี*
บรรยายตอนแม่มณีจันทร์ตื่นขึ้นมาในเรือนไทยโบราณ
ของท่านเจ้าคุณอัครเทพวรากร ไว้อย่างจับใจว่า
ดาวเลื่อนเดือนลอยคล้อยเคลื่อน
ไก่แก้วขันเตือนแซร่ศัพท์
ดุเหว่าแว่วหวานขานรับ
น้ำค้างหยัดหยดย้อยพร้อยพราย
(ทวิภพ)
ข้าพเจ้าคิดว่าเวลาที่เรามีความทุกข์ที่สุด
สิ่งเดียวที่จะอธิบายและแก้วิกฤตภายใจได้คือพระธรรม
และอายตนะอันสะอาดบริสุทธิ์แห่งธรรมชาติ
จึงเพียรพยายามโน้มใจเข้าหาพระไตรสรณคมน์
หากภาระบนบ่ายังหนักอึ้งท่ามกลางกระแสสังคม
ลองยึดพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์เป็นที่พึ่ง
ไตรสรณคมน์ อาจเป็นคำตอบสุดท้ายกับครรลองชีวิตที่ทุกข์ทน
ในสังสารวัฏอันยาวยึดนี้........
คืนนี้แหงนหน้ามองพระจันทร์บนฟ้าซิ
แล้วเจอกันที่บนนั้น แสงจันทร์พรรณรายนวลธรรม
ที่ข้าพเจ้ากำลังจ้องมองอย่างดุษณีสิโรราบ
20 เมษายน 2548 02:33 น.
ลำน้ำน่าน
แปรธาตุหินดินดานสมานพิภพ
จากสงบสู่อุโฆษโกฏิสมัย
สู่อนันตสภาวะของวันวัย
ตราบอันตรธานอายุขัยสากล
อสุภซากอินทรีย์แตกสลาย
สำรวมกายสังวรซ้อนเหตุผล
แหลกละเอียดเสียดสีสุรีย์ลน
เกิดตัวตนลมหายใจปฐวี
มาจากไหนสายน้ำปรารถนา
จากนภสินธุ์คงคานภาวิถี
มาจุนเจือเอื้อมิตรชีวิตินทรีย์
จบมิ่งเมืองบุรีสิเนรุราช
สายวสันต์พฤกษ์พงพรมดงดอน
ทั่งไร่ข้าววนาดรดกดื่นดาษ
เพื่อสันติอโศกโลกธาตุ
ทุกหยดหยาดวรุณช่วยหมุนวัย
เสียงกระซิบแผ่วลอยอ้อยอิ่งมา
กระซิบค่าปวงสุคันธ์อันอ่อนไหว
คือสารัตถะอุรุวายุไพร
คือลมใจสรรพสัตว์นับอนันต์
นั่นพรายแสงสุริโยอักโขคุณ
ยามอโณทัยมิ่งหมุนสมดุลสรรค์
ปลุกไตรโลกโตรกฟ้าวนาวัลย์
ลบโศกศัลย์หม่นเศร้าร้าวราตรี
ทั้งดินน้ำลมไพรในจักรวาล
สุริยกาลลากรถม้าสารถี
ต่างรังสรรค์ปั้นแต่งแหล่งความดี
สู่อายตนะทรรศนีย์ศรีแผ่นดิน
มหรสพปัจเจกโลกเสกสร้าง
ห่อนเลยร้างเร่งสรรค์สุวรรณศิลป์
ปฐมมิติเรียบง่ายได้ยลยิน
ปลาสนาการมลทินอวิชชา
บางมิติซ่อนเร้นและเป็นไป
ในแรงสั่นหวั่นไหวเพิงภูผา
เพ่งสายน้ำสงบพบภาวนา
อนัตตาอนิจจังพรั่งแซมซ้อน
ทินกรร่อนลับกับเหลี่ยมโลก
วายุโบกเมฆสลายคลายจิตถอน
ฝูงมัจฉาแตกพรายสายน้ำจร
ต่างกอปรอมตะธรรมอันล้ำลึก
กลางมิติธรรมทัศน์สัทธินทรีย์
ธรรมจารีตระหนักภักดิ์ตรองตรึก
ทุกประณีตธรรมคุณหนุนสำนึก
ผลผลึกตกสังขารการปล่อยวาง
ผีพุ่งไต้อุกกาบาตพาดโค้งฟ้า
ดาวเคราะห์ล่วงดาวเหนือลาอุษาสาง
พระจันทร์เคียวเกี่ยวฟ้านานภางค์
ต่างเดินทางอายุขัยหลายพันปี
มิอาจเทียบชีวิตกระจิดกระจ้อย
มนุษย์น้อยสำคัญผิดคิดบัดสี
ความยิ่งใหญ่สูงส่งแค่ผงคลี
แท้ธุลีลอยคว้างกลางจักรวาล
ธรรมสัจธรรมชาติจริยธรรม
ต่างลึกล้ำพร่ำสอนก่อนอวสาน
เทือกขุนเขาแดดบ่มลมพัดพาล
ยังตระหง่านฤาหวาดหวั่นสั่นตามลม
เพราะมนุษย์มั่นคงดำรงจิต
โลกธรรมนิมิตคิดทับถม
อย่าหวั่นไหวอย่าไกวใหลสู่ตม
เพียรเพาะบ่มความสดใสให้ชีวิต
เมื่อสิ้นยุคพระมณีศรีโคดม
เกียรติยศคำชมใดไม่ยึดติด
โลกุตรธรรมนำวิญญาสารทิศ
สู่แดนดิฐพระศรีอาริยเมตไตรย
ด้วยอายตนะพรหมจรรย์ธรรมชาติ
มิติทัศน์อากาศธาตุไศล
ด้วยพรายรุ้งเรืองรองผ่องอำไพ
ด้วยดินบรรพ์ดวงไฟจักรวาล
มิติธรรมชาติปราชญ์มนุษย์
บริสุทธิ์เหนือหล้าอัครสถาน
เพื่อปรมัตถ์พุทธินทรีย์อภิญญาณ
ตราบสิ้นโลกอวสานนิพพานเทอญฯ
--------------------------------
ลำน้ำน่าน บุรุษแห่งสายน้ำ
วันอังคารที่ ๑๙ เมษายน ๒๕๔๘