21 มิถุนายน 2552 20:57 น.
ลำน้ำน่าน
อัสดงลมหวิวทิศทิวข้าว
เดือนดับดาวลานเทระเร่เหลียว
รวงระเนนลมกราวหนาวคมคียว
อยู่โดดเดี่ยวสันโดษท่ามโสตทุ่ง
หอมฝอยฝนคนเหงายิ่งเย้าย่ำ
ปรุงลำนำประทิ่นกลิ่นหอมหุง
เหมือนมนตร์แคนแก่นค่ำมาอำรุง
เป่าผดุงนิรมิตจิตวิญญาณ
อยากให้ช่อสเลเตว้าเหว่กลิ่น
ห่อผืนซิ่นระรินล้อมมาหอมหวาน
นึ่งข้าวใหม่ไอระรวยช่วยเจือจาน
ต่อตำนานสานค่าประสาจน
คลายอดีตเยาว์ย่ามนิยามจำ
ร้อยลำนำเดียงสาวันฟ้าฝน
จิบน้ำใจน้ำคำฉ่ำกมล
ได้เติบตนบวชเรียนเพื่อเพียรพบ
เด็ดสเลเตบูชาพระพุทธเจ้า
ทุกคืนคราวนิมิตจิตสงบ
พุทธรรมค้ำค่าทิวาพลบ
อยู่ปราบปรบอัตตาประดาครืน
สเลเตเสน่ห์สรมพรมจรรย์
บานกำนัลด้วยใจใช่ขัดขืน
ล้มแล้วลุกบุกทางลอมฟางฟืน
หยั่งจุดยืนเหง้ารากฝากแผ่นดิน
สายวสันต์สั่งฟ้าดอกลาลับ
สุขสลับทุกข์อยู่หารู้สิ้น
เกรี้ยวกาลกล้าพาวนบนอาจิณ
เกิดกลีบกลิ่นกลับกลายคล้ายโซ่ตรวน
ขาวกลีบดอกดาษเหลืองดูเปรื่องปราชญ์
ครองนิวาสสงฆ์ศีลสิ้นกำสรวล
เขียวไศลใบเสลาลำเนานวล
คงคู่ควรเคียงคุ้นคับคุณค่า
แตกแต่เหง้าต่ำถิ่นดินต่ำต้อย
ซางร่างน้อยซุกทรายหมายภูษา
ผละผลิช่อปลิดโศกโชคชะตา
แม้มืดมาสว่างไปได้ค้นพบ
ระบัดบานทยอยชิงเครียวกิ่งก้าน
มิทันนานทยอยโรยโดยสงบ
สายสัมพันธ์สัญญาพร่าลืมลบ
มีจากจบจดคำ..จำนรรจา
คลอเสียงแคนแล่นผสมลมยังกร้าว
ฝนยังหนาวร้าวหลั่งคล้ายคลั่งบ้า
เอ๋ยออนซอนสเลเตแรมเร่มา
ให้ใครเขาตราหน้าว่ารวนเร
ประหวั่นจิตคิดฮอดดอกข้าวเหนียว
คราแคนเคียวเสี่ยวรักมาหักเห
อยากฟื้นฟังคำพ่อพ้อบุพเพฯ
เด็ดสเลเตบูชา..พระบ้านเรา
---------------------------------------
สายฝนหน้านี้โปรยปราย
พาให้พืชล้มลุกเหง้ารากพากันแตกหน่อ
กระเจียว พลับพลึง สเลเต พากันไหวชีวิต
ประหวัดเสียงแคนลอยลมมายามย่ำค่ำ
ทุ่งข้าวแหละเถียงนายามนี้คงสงบสุข
ท่ามกลางผองมิตรพี่น้องและพ่อแม่
ดอกสเลเตคงหอมเย็น...จรุงทุ่งย่ำค่ำ
ดอกสเลเต หรือดอก **มหาหงส์**
ราชินีดอกไม้พื้นบ้านแห่งอีสานบ้านนา
เป็นดอกไม้ในอุดมคติของข้าพเจ้ามาเนิ่นนาน
นับแต่ได้พลีดอกสเลเตบูชาพระครั้งออกบวช
อยู่ในพระพุทธศาสนา วัดป่าดงดอน
บัดนี้กลิ่นสเลเตยังคงหอมอบอวล
อยู่ในจิตวิญญาณ...หอมนั้นมิมีวันจางคลาย
ดอกสเลเตเป็นตัวแทนแห่งความต่ำต้อย
เกิดจากเหง้ารากฝังร่างอยู่ในแผ่นดิน
หากผลิดอกหอมงามสูงค่าสื่อพุทธนัย
ดังพุทธวจนะ **มืดมาสว่างไป**
อุปมาบุรุษผู้เกิดในตระกูลต่ำ ยากจน ต่ำต้อย
หากเพียรฝึกตัวและพาตนไปพบทางสว่าง
และพบความเจริญรุ่งเรืองเป็นที่สุด
เขียนบทกวีแทนใจมิตรอีสานและผู้หลงรักสเลเต
หนุ่มผู้หวังเด็ดสเลเต และสาวผู้หวังให้
มีคนมอบดอกสเลเตมาแซมเสียบผมและทัดหู
สืบตำนานความหอมงามสงบแห่งท้องทุ่ง
โอ้แม่ดอกสเลเตหอมเหว่ว้า
ระรินรักลมพามาหอมหวล
ว่าต่ำต้อยด้อยค่าหาใครควร
กลีบขาวนวลด่วนเหี่ยวในเปลี่ยวไพร
พลีชีวิตอุทิศพรมจรรย์
น้อมกำนัลพุทธรรมนำไสว
ตราบวัยวันแผ่นดินสูญสิ้นไป
จีวรใจขาวเหลืองปราชญ์เปรื่องพบ
ลำน้ำน่าน บุรุษแห่งสายน้ำนิรันดร์
กับวันที่แสนจะออนซอนสเลเต
10 มิถุนายน 2552 00:15 น.
ลำน้ำน่าน
อุทิศแด่ทุกผู้ทุกนาม
ผู้มั่นหมายจะดำรงความหมายนิรันดร์
เมื่อวันหนึ่งวันนั้นพลันมาถึง
อย่ารัดตรึงกายฉันพันตราสังข์
อย่าร่ำไห้ครวญคร่ำร่ำประดัง
อย่าคุ้มคลั่งตกใจให้วุ่นวาย
วันที่ฉันทอดร่างอย่างสงบ
ขอเป็นศพเปี่ยมท้นบนความหมาย
ณ ห้องอับคับคร่ำดำแดนตาย
ทุกขันธ์กายต่างพบจบชีพลง
ณ จุดหนึ่งแห่งห้วงบ่วงเวลา
แพทย์บ่งว่าสมองของฉันหลง
หยุดทำงานนิ่งว่างอย่างมั่นคง
ไม่ประสงค์เครื่องเทียมเตรียมต่อวัน
อย่าเรียกขานเตียงฉันว่ามรณา
จงเรียกว่าเตียงชีวิตลิขิตฝัน
ให้แล่ร่างหนังเนื้อเถือจากกัน
แล้วแบ่งปันบริจาคฝากเป็นทาน
เพื่อช่วยเหลือชีวิตอื่นฟื้นชีวิต
ไพบูลย์สิทธิ์ศักดิ์มนุษย์ทุกสถาน
เพื่อเติมเต็มกระแสกรรมธรรมธาร
ยามสังขารล่วงลับดับวัยวัน
ให้ดวงตาแก่ชายบอดยอดลำเค็ญ
ผู้ไม่เคยได้เห็นแสงสวรรค์
ไม่เคยซึ้งแสงพราวดาวพระจันทร์
ยามฉายหน้าสรวลสันต์ของทารก
เขาอาจเห็นความจริงในแววตา
ของชาวนายากเหลือเหงื่อต่ำตก
น้ำตารินนานเนาว์ร้าวสะทก
เห็นหัวอกทุกข์ทนบนแผ่นดิน
อุทิศใจของฉันกำนัลคน
ผู้หลงมนต์วัตถุตมชมทรัพย์สิน
ไม่เคยฟังเสียงธรรมพร่ำยลยิน
เสียงสุดสิ้นอนิจจังร่ำประดา
ให้เลือดฉันแก่เด็กแหละวัยรุ่น
ผู้วนหมุนรักโศกโลกย์ปัญหา
ยามถูกดึงจากซากรถลากมา
ต่อเวลาให้สำนึกตรึกตรองใจ
ให้ตับฉันแด่คนทุกข์ทนหนัก
กับเครื่องจักรกึกก้องคะนองไหว
กลางเคมีคละคลุ้งพลุ่งควันไอ
ของโรงงานระอุไฟไร้ค่าแรง
เอากระดูกกล้ามเนื้อที่เหลือทุกมัด
เส้นประสาทสัมผัสทุกแขนง
ไปก่อร่างเพาะใหม่ให้สำแดง
เพื่อก้าวแรกก้าวตะแคงเด็กพิการ
โปรดสำรวจทุกห้องสมองมุม
แหล่งชุมนุมขุมโลหิตนิดสังขาร
แล้วสังเคราะห์เนื้อเยื่อเพื่ออภิบาล
จนเวลาล่วงผ่านงอกงามพอ
แล้วปลูกถ่ายให้ชายเป็นใบ้นั้น
เผื่อสักวันเสียงร้องจะก้องหอ
ให้น้ำตาไหลอิ่มปริ่มเปรมพอ
ตะโกนก้องหัวร่อให้ได้ยิน
เพื่อเด็กหญิงหูหนวกที่รวดร้าว
จักยินข่าวคนไกลในถวิล
ยามหน้าต่างกระทบหยดฝนริน
สื่อสำเนียงจากดินปริ่มพรมใจ
แล้วเผาสิ่งที่เหลือสละสลาย
ถมรอยตายรอยทางอ้างว้างไหว
นำเถ้าถ่านมอดเหลือจากเชื้อไฟ
ไปโปรยไว้บนถนนหนทางเดิน
เพื่อดอกไม้สันติภาพจักงอกงาม
นกป่าข้ามพลัดถิ่นมาบินเหิร
ชมศรัทธาป่าสุสานให้นานเพลิน
ร่อนลงเดินเหยียบดินทุกถิ่นไป
ถ้าจะฝังบางสิ่งหรือทิ้งซาก
ฉันขอฝากอคติที่หลงใหล
ที่เหลืออยู่ก่อนตายในกายใจ
ขอขมามอบไว้แด่ทุกคน
ความอ่อนแอของฉันวันก่อนเก่า
ฝังพร้อมเงาอย่าให้เหลือเพื่อออกผล
ให้บาปหนักของฉันนั้นหลอมตน
เป็นดอกฝนสลายร่วงลงห้วงธาร
ให้วิญญาณเป็นทาสบาทพระพุทธ
บริสุทธิ์เพียรธรรมกรรมฐาน
สถิตย์สูงปลายฟ้านภากาล
กลางนิพพานบริสุทธ์พบพุทธา
ถ้าบังเอิญใครใครจะจดจำ
จุดเทียนธรรมปฏิบัติตัดตัญหา
เป็นของขวัญวันตายหมายบูชา
เพียรนำพาเพื่อนมนุษย์จนสุดทาง
ฉันจะอยู่ด้วยแรงแห่งความดี
ตราบราตรีห่มหล้าอุษาสาง
ปณิธานจักคลี่ใยผลิใบบาง
แม้นเรือนร่างสลายลับ....ไม่กลืบคืน
----------------------------
ในวันที่สายวสันต์กระหน่ำทุ่งนาป่าเมือง
ข่าวคราวความทุกข์ยากของพี่น้องชายแดน
และการสูญเสียเพื่อนมนุษย์จากเหตุอวิชชา
นำความโศกเศร้าอบอวลมากับสายฝนพรำ
ดอกไม้แห่งเสรีภาพไม่อาจเบ่งบาน
ท่ามกลางความยึดติดและยึดมั่น...
เสรีภาพใดจะยิ่งใหญ่ไปกว่าการปล่อยวาง
ไม่ว่าจะเป็นร่างกาย อำนาจ ชื่อเสียงเกียรติยศ
ทรัพย์สิน และที่สำคัญ คือ ***เงินตรา***
หยิบหนังสือ **Tuesdays with Morrie** มาอ่าน
ความตอนหนึ่งกล่าวถึงการสละในวาระสุดท้าย
เป็นการไม่ยึดมั่นไม่ยึดติด เป็นมหาทานยิ่งใหญ่
เมื่อม่านดำแห่งชีวิตกำลังรูดปิดลงรำไร
มิปล่อยให้เป็นภาระแก่ผู้อยู่เบื้องหลัง
ตัวเราเองเท่านั้นที่จะทำลายโซ่ตรวนอันไร้สาระ
ทำลายกำแพงแห่งมานะทิฐิลงเสีย
ทำลายตราจำแห่งการยึดติดยึดมั่น
ในวันที่เรามิอาจใช้ประโยชน์ใดใดจากขันธ์
เพื่อการกลับสู่ความหมายนิรันดร์อันแท้จริง
ลำน้ำน่าน บุรุษแห่งสายน้ำนิรันดร์
กับวันที่ตั้งใจอุทิศร่างกายในวันสุดท้ายของชีวิต
5 มิถุนายน 2552 14:49 น.
ลำน้ำน่าน
อุทิศแด่นักเดินทางทุกนาม
ขอให้ไฟฝันอย่าพลันมอดไหม้
แหงนมองฟ้าความเหงารุมเร้าหนัก
เมฆทายทักถามมาว่าอยู่ไหน
อยู่โดดเดี่ยวเปลี่ยวร้างกลางแห่งใด
เพียงหนังสือกอดไว้ในอกเรา
มองเมฆลอยเลื่อนไปไร้ทางทิศ
ราวชีวิตรอฟื้นตื่นจากเหงา
จิตรกรรมฟากฟ้ามาบรรเทา
ท่ามร่มเงาแมกไม้สายวารี
ปุยสีนวลร่วนลมพรมสวรรค์
ม่านเมฆกั้นเนรมิตทิศวิถี
จากโพ้นฟากฝั่งฟ้ามหานที
เดินทางไกลหลายลี้ทุกวี่วัน
กลางไกลนั้นเห็นภาพฉากสีหม่น
คือเมฆฝนหนักหน่วงช่วงวสันต์
ล้านหยาดหยดโปรยรับซับน้ำทัน
โปรยละอองแบ่งปันชุ่มฉ่ำมี
ไร้ล่องลอยเส้นทางฟ้าว่างเปล่า
มีเพียงเงาทอดผ่านเมื่อวานนี้
อยู่สถิตรวงเรียวเขียวขจี
เพียงพอที่หัวเราะเพาะชีวิต
ฉันเห็นเมฆเป็นบ้านมานานแล้ว
ซุ้มดอกแก้วขาวนวลหวนตามติด
บางเวลางามเหงาเงาเพียงนิด
ให้ใกล้ชิดไม่ไกลในทุกยาม
อ้อมแขนเมฆโอบอุ้มนุ่มนวลนัก
มอบความรักให้ก่อนไม่ย้อนถาม
เมื่อลมพรูเคลื่อนไปใจเคลื่อนตาม
เพียงชั่วยามสลายลับไม่กลับคืน
ฉันเห็นเมฆเป็นเมืองเรืองโอฬาร
เงาเก่าบ้านทอดนิดไม่ติดผืน
เดิมข้ามฝั่งขอบรั้วทั่ววันคืน
เพียงลมครืนยืนหลงอยู่ตรงนี้
ฉากแสดงสะท้อนก้อนเมฆน้อย
หลับตาคล้อยบริสุทธิ์พุทธวิถี
ของถนนสายเก่าเราเคยมี
เมื่อนานปีเดินผ่านไม่นานนัก
เถิดเมฆหม่นเป็นสะพานให้ผ่านพ้น
จากป่าคนเมืองใหญ่ใจจมปลัก
ไปทอดกายโหยอ่อนได้ผ่อนพัก
ทอดวิญญาณสานรักกลางท้องนา
เมฆฝนหลั่งมาแล้วแนวทิศนั่น
เงาบ้านฉันเลือนไปใจค้นหา
เห็นหยาดฝนโปรยปรายคล้ายน้ำตา
หลั่งลงมาแทนท้นล้นบ้านแล้ว
หวังวันหนึ่งชีวิตจะพลิกฟื้น
ได้ลุกยืนเกาะรั้วทั่วทิวแถว
แสงส่องฟ้าสว่างสุขทั่วทุกแนว
กลับถึงแล้วรั้วบ้าน..ข้ามเมฆมา
--------------------------------
ลมพายุในฤดูมรสุมกราดเกรี้ยว
พัดพาหมู่เฆมมาโรยคลุมท้องทุ่งและป่าฝน
ลมโอบอุ้มเมฆฝนหนักอึ้ง
มาตกต้องลงในแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์
เป็นม่านเมฆสลับซับซ้อนอยู่ในม่านฟ้าไกลโพ้น
แสนประหวัดถึงจิตกรรมม่านเมฆ
ในยามได้เยือน *เขาสามร้อยยอด**
ยามอาทิตย์อัสดงกลางบึงบัวและสายน้ำนิรันดร์
ยามนั้นที่ได้พบกับสัจธรรมอันเป็นอสังขตธรรม
เป็นธรรมที่ไม่ปรุงแต่ง เป็นความงามสามัญ
จิตรกรรมธรรมชาตินำแรงบันดาลใจกลับมาสู่
บึงบัวบานตราบจนอาทิตย์อัสดง
แต่กระนั้นลมพายุและเมฆยังลอยเคว้งไปไม่สิ้น
เปรียบเหมือนการเดินทางของชีวิตนิดน้อยนี้
ไม่รู้ว่าจะสิ้นสุดลงที่ใดและแหล่งใด
ตราบใดที่ธรรมชาติยังคงเดินทางและไม่สิ้นสุด
หวังไว้ว่า ..ตราบนั้น
การจริญงอกงามทางจิตวิญญาณยังไม่สิ้นสุด
ฉันใดก็ฉันนั้น..........
ลำน้ำน่าน บุรุษแห่งสายน้ำนิรันดร์
อุทยานแห่งชาติสามร้อยยอด ประจวบคีรีขันธ์
31 พฤษภาคม 2552 00:38 น.
ลำน้ำน่าน
กาพย์ฉบัง ๑๖
อุทิศแด่แรงงานทิ้งทุ่ง
เมื่อยามกลับสู่มาตุภูมิในยามวสันต์
เก็บไมตรีรวีอุ่น
อิ่มข้าวอิ่มบุญ
รักแรกรุ่นฤดูเกี่ยว
เก็บหยาดเหงื่อเจือคมเคียว
เก็บรวงข้าวเรียว
เหน็บเหนี่ยวใจใส่ยุ้งฉาง
เก็บกองฟืนกระโจมฟาง
ฝันคว้างลานลาง
รอยอ้างว้างรวงข้าวหลง
หากรักสลักมั่นคง
บ้านนาป่าดง
พงศ์เผ่าเกษตรกรรม
จึงเพ้อพร่ำลำนำ
ลอยลมพรมจำ
ตอกย้ำนำผองจรคืน
จำได้ไหมไฟกลางคืน
ก่อกองควันฟืน
สะอื้นไห้ใครโกงข้าว
จำได้ไหมใต้หมู่ดาว
ดึกดื่นสกาว
น้องสาวพี่ชายหมายชม
พ่อแม่แก่เฒ่าอบรม
แข่งเสียงระงม
ระงำงามหรีดหริ่งพนา
จำได้นอกชานชายคา
แสงตะเกียงส่องฟ้า
ส่องหน้าหยาบกร้านงานหนัก
จำได้ไหมไออุ่นรัก
มอบให้ใจภักดิ์
สลักจำวันแรมรา
วันฝนตกไม่ทั่วฟ้า
เปียกฝนน้ำตา
นกนาทิ้งถิ่นบินจร
สู่เมืองใหญ่ไพร่นคร
ไปซุกซบซอน
กอดหมอนเข่าเศร้าโศกนัก
ไปรุ่งไปล่มจมปรัก
สิ้นผองร้องทัก
ทะลักคำย่ำศักดิ์ศรี
ไปเหน็บหนาวร้าวฤดี
ตกตมอเวจี
ว่ายเวิ้งวารีสังคม
วันราคาข้าวล่มจม
ร่ำไห้ระงม
หริ่งเรไรตรมเดียวดาย
เธอจำได้แล้วใช่ไหม
ดวงตาพร่าใคร
เอ่อซึ้งห่วงใยน้ำพราย
จับมือฉันฝันอย่าสลาย
ฉันอยู่คู่กาย
จุดหมายบ้านนาพาคืน
ไปเริงเล่นสายลมครืน
ก่อกองไฟฟืน
หลับตื่นกลางทุ่งรุ่งรวี
ลืมฝันร้ายป้ายราคี
หมอพื้นเมืองดี
มอบไมตรีรักษามิตร
อภัยคนเมืองโรคจิต
ย่ำยีชีวิต
ไม่ติดข้องหมองใจกัน
เธอจำได้คล้ายหลับฝัน
น้ำตาเอ่อพลัน
อกสั่นสวมกอดพรอดไห้
กระซิบเบาเบาหนาวใจ
อยากผิงอิงไอ
กองไฟคืนจันทร์วันเพ็ญ
น้ำตาพลอยพร่ากระเซ็น
แผ่นมือเยือกเย็น
กลับอุ่นผ่าวเร่าอบร้อน
ควายน้อยเถียงนาอาวรณ์
ลอมฟางสะท้อน
ออดอ้อนต้อนรับกลับนา!
----------------------------------------
ลมร้อนผ่อนลาฟ้า วสันต์ลีลามาเยี่ยมเยือนอีกครั้ง
หากเป็นสัญลักษณ์ให้แรงงานทิ้งทุ่งคืนสู่มาตุภูมิ
กลับมาสู่ความหมายนิรันดร์แห่งข้าวปลา
มนต์เพลงแห่งฤดูกาล บรรเลงเพลงเรียกกลับ
ลอมฟางกองฟืนเดียวดายจะกลับมามีชีวิตอีกครา
ด้วยจิตวิญญาณแห่งเจ้าของท้องทุ่งอย่างแท้จริง
หาใช่นายทุนหรือพวกทาสวัตถุนิยม
เสียงขลุ่ยแผ่วแว่วมาบอกข่าวน้ำท่าในยามนี้
ฟางฟืนเก็บไว้จักได้ก่อไฟควันโขมงไล้หลังคา
พระจันทร์แรมค่ำคืน ส่องดวงหน้าแห่งความปิติ
ใบตองข้าวกล้ารอการกลับมาของหนุ่มสาวชนบท
ด้วยรักและเป็นแรงใจให้หนุ่มสาวชนบท
กับในวันนี้ที่ได้รู้ว่า.......
ท้องทุ่งนั้นความฝันมิเคยสลาย
ลำน้ำน่าน บุรุษแห่งสายน้ำนิรันดร์
๓๐ พฤษภาคม ๒๕๕๒
6 เมษายน 2552 12:57 น.
ลำน้ำน่าน
ประหวัดขลุ่ยครวญเพลงบรรเลงค่ำ
เลาะลำนำแนวนาคราคราดไถ
ขอนิยามยากจนจากคนไกล
เป็นฝนใหม่ไอรักสักเวลา
โดยประเลงเพลงหวังโลกยังรุ่ง
เพื่อหมายมุ่งจิบชาติปรารถนา
หยดน้ำค้างเปลี่ยวปล่อยย้อยคบคา
แปรน้ำตาหยาดสงบกระทบใจ
ให้เหงื่อไคลคลายกลิ่นจนสิ้นเหงื่อ
ทุกชนเชื้อค่าวทุ่งคุ้งไสว
แหละรวงข้าวแกร่วเกรียวได้เกี่ยวไป
ยังยุ้งใหม่เก็บคอยค่อยค่อยยัง
กระจาบทุ่งจากจรคบขอนเก่า
ทิ้งลูกเต้าเกิดใหม่ไว้เบื้องหลัง
โผไปเป็นนกหลวงลืมรวงรัง
ลืมเสียงสั่งฟางหอมกระท่อมทับ
มโหรีเขียดเก่าเร้าบรรเลง
พร่ำบทเพลงเพรียกนกโผผกกลับ
เรียกแดดอุ่นบอบบางสว่างวับ
มาระยับทอทองท่ามคลองตา
รอสิบห้าขึ้นค่ำวันพระพุทธ
เทียนทองจุดจันทร์กระจ่างพ่างพรรษา
สิ้นคืนหนาวนานนิจอวิชชา
ตื่นมาหุงข้าวปลาหาทำกิน
ข้าวเสาไห้หุงหอมพร้อมใส่บาตร
จิตสะอาดธรรมชาตินิวาสศิลป์
บุญมณฑลรวงข้าวแหละดาวดิน
เลี้ยงชีวินมวลมนุษย์ทุกยุคไป
ผ้าซิ่นสวยผืนใดให้หนาวคลาย
เท่าผ้าผวยพรรลายฝ้ายทอใหม่
ทอด้วยหยาดเหงื่ออุ่นละมุนละไม
ยามผู้สาวซับไหล่ใกล้รุ่งนี้
อีกไม่นานทุ่งทางสว่างแสวง
ปิ่นโตแกงหวดข้าวดาวเรืองสี
จักถวายสงฆ์แสดงแหล่งความดี
หว่างวารีเรือล่องคลองบัวบาง
อุษาโยคปลุกตื่นคืนสมดุล
ปลุกมาหมุนสามัญวันรุ่งสาง
ปลุกวิถีชีพจรอันอ่อนบาง
ปลุกรอยทางเสรีที่ครรไล
นกกู่ไก่ขันขับรับหริ่งพฤกษ์
จากดื่นดึกจวนรุ่งทุ่งทิวไผ่
กังสดาลหวานหวังวังเวงไป
บ่มพอเพียงพงไพรให้ยิ่งงาม
ชนบทร้องเรียกพร่ำเพรียกหา
เราบากหน้ามาไฉนใจยังถาม
เมื่อรอยควายแอกไถไร่นาทาม
ยังนิยามอัศจรรย์..ตราบวันนี้!
โถ..รอยควายแอกไถใครนิยาม
คืนนาทามดับฝัน..เสียวันนี้!
--------------------------------
ทุกฤดูกาลชีวิตที่ว่ายเวียนอยู่มิรู้เหน็ดเหนื่อย
หลังฤดูเก็บเกี่ยวรวงข้าว ตะแบกแหละคูนพากันบานพราว
ให้แสนจะคิดถึงชนบทที่เคยพาใจไปพัก
กับบึงบัวบานสะพรั่งและกองฟืนลอมฟางซีดเซียว
สะแบงหลวงต้นใหญ่ทิ้งใบลงลาเลือนยามอาทิตย์อัสดง
ท่ามยากไร้และแล้งแห่งคิมหันต์ ธรรมชาติเปลี่ยนสี
หากสุดแสนจะงดงามยินดีในความรู้สึกสามัญ...
และดำรงไว้ซึ่งคุณค่าแห่งธรรมที่ไม่ปรุงแต่ง
แหละในวันนี้ที่พบว่า...
ท้องถิ่นชนบทกำลังรอให้จิตวิญญาณที่แสนจะอ่อนล้า
ได้ชุบชื่นและมีพลังหวังอีกครั้ง แค่เปิดใจให้เห็นงาม
ลำน้ำน่าน บุรุษแห่งสายน้ำนิรันรด์
กับวันที่ชนบทเรียกหา 6 เมษายน 2552