5 เมษายน 2546 16:31 น.

ดั่งสายฝน...พรมโลกหล้า

ลำน้ำน่าน

ทำนอง: พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช
คำร้อง: พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริ 

เมื่อลมฝนบนฟ้ามาลิ่ว
ต้นไม้พลิ้วลู่กิ่งใบ
เหมือนจะเอนรากคลอนถอนไป
แต่เหล่าไม้ยิ่งกลับงาม 

..............พระพรหมท่านบันดาลให้ฝนหลั่ง
..............เพื่อประทังชีวิตมิทราม
..............น้ำทิพย์สาดเป็นสายพรายพลิ้วทิวงาม
..............ทั่วเขตคามชุ่มธารา 

สาดเป็นสายพรายพลิ้วทิวทุ่ง
แดดทอรุ้งอร่ามตา
รุ้งเลื่อมลายพร่างพลายนภา
ยามเมื่อฝนมาแต่ไกล 
พระพรหมช่วยอำนวยให้ชื่นฉ่ำ
เพื่อจะนำดับความร้อนใจ
น้ำฝนพลั่งลงมาจากฟ้าแดนไกล
พืชพรรณไม้ชื่นยืนยง

บทเพลงพระราชนิพนธ์ในล้นเกล้าฯ บรรเลงเศร้า...เคล้าสายฝนและลมหนาว 
ทายทักมากับฟากฟ้าคืนนี้...ที่ฉันนั่งอยู่ริมระเบียงไม้ไผ่....
มองดูสายฝนที่กำลังโปรยพร่าง หลั่งมา...เหมือนฟ้าพิโรธใคร
หรือจากถิ่นไหนสักแห่ง....บนฟากฟ้า...เป็นฝนหลงฤดู
ไม่หนักหน่วงแต่โปรยพร่าง...และสาดซัดเป็นละออง....

มองออกไปยังท้องทุ่งที่อยู่ติดกับบ้านเล็กในทุ่งใหญ่หลังนี้....
บ้านฉันที่เป็นบ้านไม้ไผ่เล็กๆ อยู่ติดกับท้องทุ่งนา
ที่ฤดูกาลนี้ข้าวกล้ากำลังระบัดใบ..ตั้งท้อง..รองรวง
เห็นใบข้าวล่อลู่ไปตามแรงลมฝน..สวยงาม....
สายฝนเป็นแรงบันดาลใจให้รจนาบทกวี...ที่รักในหัวใจ
ฝากไปกับสายฝน....เป็นกำลังใจให้ใจทุกดวงในค่ำคืนนี้
ที่กำลังดิ้นรนต่อสู้ท่ามกลางพายุและฟ้าฝนทุกที่....ในโลกหล้า
ให้เรียนรู้และซาบซึ้ง..กับธรรมชาติและสิ่งดีงามบนโลกใบนี้
กับสิ่งที่เป็นธรรมดา ธรรมดา เรียบง่าย งดงาม.....
และด้วยกำลังใจจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ 
สายฝนเหมือนสายน้ำพระทัยที่หลั่งไหล...รดโลกทั่วหล้า
ให้ชุ่มเย็น...สายธารแห่งความรัก ความดีงาม...ไหลหลั่ง
เป็นสายยาวพราวพลิ้ว....งามงด.. เนิ่นนานในใจดวงนี้....
กับค่ำคืนนี้...ข้าวกล้าเริ่งร่า..ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ 
ดั่งสายฝน...หลั่งโลม.

ฉันเป็นอะไร....ในสายฝน....

	เมื่อลมฝนบนฟ้า....มาลิ่วลู่
	หลงฤดูพรูลมบน....ฝนจากสรวงฯ
	ฉันคือใครในโลกหล้า...ลดาดวง
	เป็นรุ้งรวงห่มความฝัน.....อันพร่างพราว

	อยากรู้ไหมฉันเป็นใคร....
	ฉันเป็นเงาของใคร...ในไพรกว้าง
	เป็นหนทางในแว่นแคว้น....แดนระโหย
	เป็นต้นไม้รอสายฝน....พรมพร่างโปรย
	เป็นลมโชยโรยละออง....ล่องท้องธาร

	ดินแดนฉันอยู่แห่งไหน...ใครรู้บ้าง
	ไม่เอ่ยนามปรากฏความ...ไต่ถามฝัน
	ฉันนอนหลับทับแสงดาว...ข้างเงาจันทร์
	ฉันปลุกฝันอันพิไล....ใกล้แรมลาง

	ฉันโปรดดินถิ่นต่ำต้อย....ในรอยรัก
	ชัดประจักษ์มอบรักมา......ณ ป่าฝัน
	ฉันคือแสงแห่งฟ้า....ของนวลจันทร์
	เป็นตะวันในยามรุ่ง.....ของทุ่งนา

	เป็นต้นข้าวพราวไสว....ในสายฝน
	บินสู้ทนบนทางเดี่ยว....เปลี่ยวเวหา
	ปลุกตัวตนในความเหงา.....เงาจันทรา
	เป็นสกุณาพาฝนหลวง....ร่วนกับลม
	
	เห็นฉันไหม.....
	เห็นฉันใหม่ในสายฝน....พรมพร่างนี้
	คือความดีที่หลั่งโลม.....ชโลมแห่งหน
	เห็นชีวิตแตกโตขึ้น.......ฟื้นจากโคลน
	เพื่อคนจน...ฉ่ำฝน....ฉันเป็นอะไรฯ
	
	ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะฯ				
4 เมษายน 2546 12:58 น.

สัจธรรมแห่งสงคราม

ลำน้ำน่าน

สงครามสงคร่าสร้าง..........สงกา
เลือดอาบแผ่นพสุธา.........บ่งร้าย
วางวายฆ่าปูปลา................ดุจดั่ง ทรชน
ห้ำหั่นเผ่าพันธุ์พ่าย...........แน่แท้ เดรัจฉานฯ

ทั่วโลกหล้าเร่าร้อน.............สรรพสิ่ง
หวังเพื่อครอบครองชิง........อำนาจ
เหมือนฝังชั่วลงดิน............ ทับต่ำ  ถมตน
ปิดบังห่อชั่วชาติ.................ยังฟุ้ง  ถึงนรกฯ

เหล่าโลกหล้าร่มรื่น...........สงบสุข
อริยสัจดับทุกข์..................สิ้นซาก
อริยชนสัปบุรุษ.................ฟูเฟื่อง เห็นงาม
ปกปิดใคร่ให้ยาก.............ทั่วฟ้า สรรเสริญฯ

กลเกมศึกป่าวก้อง.............จตุรภูมิ
ไหลร่วงตายทั้งยืน.............ฝ่ายแพ้
ใบไม้ร่ายลมครืน...............ตกหล่น  ดินนา
สัจธรรมบ่งธาตุแท้.............อยู่คู่ ฟ้าสลายฯ

--------------------------------------------------------------
เมื่อสงครามก่อเกิด.. ฉันเห็นดอกไม้แห่งสันติภาพกำลังร่วงโรยลง ผู้คนต้องทนทุกข์ทรมาน..เชลยศึก..อำนาจฝ่ายต่ำแสดงตัวตนที่แข็งกร้าว ไร้รักร้อยเล่ห์ด้วยกลศึก ขจรกระจายไปทั่วทิศ. นี่หรือคือสิ่งที่มนุษย์กำลังหยิบยื่นเพื่อจรรโลงโลกสวยใบนี้...เห็นแล้วก็ได้แต่สังเวชใจ .....ชีวิตผู้บริสุทธิ์นั้นดั่งใบไม้ในกำมือที่รอวันเพียงเพื่อโดนบดขยี้ให้แหลก สลายลง...และในวันนี้ คงถึงวันที่มนุษย์นั้น กำลังห้ำหั่น เผ่าพันธุ์ ของตนเอง  ใครเป็นฝ่ายชั่ว ใครเป็นฝ่ายดี  ฟ้าดินหยั่งรู้และสนองรับเนิ่นนาน....				
3 เมษายน 2546 16:09 น.

เนื่องด้วยข้าว..ที่พร่างพราวเป็นรองรวง..ภาคที่ ๒

ลำน้ำน่าน

เสร็จจากงานไถหว่าน...กลางพรรษา
ตะแบกป่าโรยละออง....ล่องลมแรก
ร้อยเม็ดข้าวขาวฝน...บนดินแตก
รอยดินแยกแทรกดิน...ริ้นเรียวใบ

ฝนแรกพรำฉ่ำฟ้า...ทาทาบทุ่ง
เขียวทั่วคุ้งผักบุ้งร่า...ต้นกล้าไหว
น้ำเจิ่งนองคันนา...ปลาเล็มไคล
ใต้เงาไทรปลายทุ่ง....คุ้งทิวตาล

เห็นไกลไกลชาวนา...ถอนกล้าไว้
สุขวัวควายลุยน้ำ...ตามประสา
ย่ำคราดไถตมเลน...เต็มท้องนา
หมู่นกกาจับหว้าใหญ่...ไล่ระบำ

เท้าลุยโคลนโคนกล้า...พาลงปัก
เกณฑ์พร้อมพลักลงแขก...แรกนาขวัญ
ดอกทองกวาวพราวพร่าง....นั่นบัวบาน
สุขสำราญเสร็จนา...กล้ารัดใบ

เพลงขลุ่ยหวานผิวแผ่ว...แว่วฟังว่า
หนุ่มบ้านนาร้างคู่...ดูเดือนหงาย 
เดือนสิบเอ็ดล่องนาข้าว...หนาวหัวใจ
รออุ่นไอไล่ลมหนาว....ข้าวรอรวงฯ

..........................................................
เสร็จจากงานหว่านไถแล้ว  ฝนโปรยลงมาน้ำท่าเต็มทุ่ง
ถึงเวลาที่กล้าระบัดใบงามรอถูกถอนไปปักดำ
ดอกไม้ทุ่งบานฉานล้อลมฝน.....สุขใดไหนหนา สวรรค์บ้านนา				
1 เมษายน 2546 23:08 น.

ราตรีสวาท....

ลำน้ำน่าน

ณ ราตรีหนึ่งจันทร์แรมแต่งแต้มฟ้า
วิหคป่ากล่อมทุ่งก่อนรุ่งสาง
กรุ่นกลิ่นรักพรมพริ้วผิวเบาบาง
รักอ้างว้างถามความเหงาในเงาจันทร์ฯ

หอมราตรีที่กลางภูอยู่เปล่าเปลี่ยว
น้ำค้างเชี่ยวเรียวไหลสลายฝัน
เรไรร้องก้องป่านานัปกัลป์
รักเนิ่นนานร้างมากี่ราตรีฯ

วิเวกไหวหวานแว่วแผ่วลุ่มลึก
ถึงยามดึกคึกท่วมทนล้นเต็มปรี่
เพียงพริบตาสลายพร่ากลีบราตรี
เปรมฤดีสว่านรักปักครางครวญฯ

ณ ราตรีหนึ่งเคยลิ้มรสจดประจักษ์
บรรเลงรักหักสวาทนิราศสรวง
แผ่ซาบซ่านดั่งต้องมนต์กลเกมลวง
ดอกโศกร่วงดอกรักรุ่งกรุ่นกลกามฯ

หนาวซมซานผ่านมาราตรีหนึ่ง
ยังซาบซึ้งรัญจวนหนักรักคืนนั้น
ช่อราตรีคลี่โลมเล้าเข้าโรมรัน
เนื้อกายสั่นหวั่นวาบไหวในราตรีฯ

..................................................
ตะวันตกดินแล้วให้หอมๆ หวานๆ ดอกราตรีที่ไหนสักแห่งโชยมา
พาให้ใจดวงนี้ที่ร้างร้าวไร้รัก..มาเนิ่นนาน พลันหอมกำจรจรุงกับดอกราตรี
ณ คืนนี้ที่ยังกรุ่น....กำนัลทุกดวงใจร้างไร้รัก..พอกัน				
1 เมษายน 2546 00:32 น.

เนื่องด้วยข้าว..ที่พร่างพราวเป็นรองรวง..ภาคที่ ๑

ลำน้ำน่าน

แว่วกลองโพนแผ่วมา...พรรษาแล้ว	
หอมดอกแก้วโรยล่องมา...ว่ารุ่งสาง
เมล็ดข้าวหนาวทุกข์ทน...ล้นเพิงลาน	
อีกไม่นานจะหว่านไหว...ในรอยเดิมฯ

จนดาวเลื่อนเคลื่อนคล้อย...ลอยลับแล้ว	
เหล่าไก่แก้วแจ้วเสียง...สำเนียงขรม
น้ำค้างหยดนกละเมอ...เพ้อไพรพง	
มุ่งทางตรงหยัดยืน...ผืนแผ่นดินฯ

พี่แบกไถมุ่งสู่นา...ฝ่าน้ำค้าง		
ดงทิวตาลท้องทุ่ง...มุ่งสู่ถิ่น
รอยไถแปรแล่ผืนนา...หาทำกิน
ตราบจนสิ้นแรงควาย...มลายราญฯ

จนแดดกล้าร้อนรุ่ม...ขึ้นคลุมฟ้า	
มวลนกกาพาหลบร่ม...ดงป่าร้าง
ทนไถอยู่คู่เพื่อนตาย...ในนาลาน	
รอนงคราญก่องข้าวน้อย...คอยเจ้ามาฯ

จะสุขไหนใดหนอ...พ่อแม่ลูก		
รักพันผูกดูลูกชาย...หว่านไถกล้า
รดราดเหงื่อให้ไหลท้น...จมผืนนา	
รอเวลากล้าระบัดใบ...ให้แผ่นดินฯ

.......................................................................................................................
ด้วยรักมากล้นในท้องทุ่งรวงทองผ่องอำไพ ให้หวนตลบถึงที่มาที่ไป จับปากการจนาบทกวี เป็นแรงใจให้กระดูกสันหลังของชาติ กับในวันนี้ที่ได้เรียนรู้ว่า ข้าวกล้านั้นมีคุณค่าในใจดวงนี้..ที่ให้ซาบซึ่งกับบุญคุณยิ่งนักแล้ว...


กลองโพนแว่วมาพรรษาล่วง
เดือนดวงฉายอ่อนก่อนรุ่งสาง
เมล็ดข้าวหนาวท้นบนเพิงลาน 
เนิ่นนาน..หว่านไหวในรอยเดิม

ดาวเลื่อนเคลื่อนคล้อยลอยต่ำแล้ว 
ไก่แก้วแจ้วเสียงสำเนียงเสริม
น้ำค้างพร่างรินหอมกลิ่นเดิม
เมื่อวันเริ่มเจิมแต่ง...ระแหงดิน

แบกไถ-สู่นาฝ่าน้ำค้าง 
ทิวทางตาลทุ่งมุ่งสู่ถิ่น
พลิกแปร..แล่นาท้าทำกิน
จนสิ้นแรงควายมลายราญฯ

เปลวแดดร้อนรุ่มขึ้นคลุมฟ้า 
ชาวนาเหงื่อย้อยรดรอยผาน
ม่วงหม่นดอกแรกตะแบกบาน
นงคราญก่องข้าว..ก้าวทันมา

ถ่ายทอดผืนงานผลัดผ่านรุ่น
ยังกรุ่นกลิ่นไอของใบกล้า
หยาดเหงื่อ...รินล้นบนผืนนา 
เพียงกล้าระบัดใบ...ให้แผ่นดินฯ
....................
หยาดเงื่อ..ที่ล้นบนผืนนา
แม้นเหนื่อยล้า....ภูมิใจให้แผ่นดินฯ				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟลำน้ำน่าน
Lovings  ลำน้ำน่าน เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟลำน้ำน่าน
Lovings  ลำน้ำน่าน เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟลำน้ำน่าน
Lovings  ลำน้ำน่าน เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงลำน้ำน่าน